20 มี.ค. เวลา 05:33 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์

แกะรอย Debunkology ศาสตร์แห่งการสลายความเชื่อผิดๆ 🧐

AI ปะทะ เฟคนิวส์! 🤖💥 เมื่อแชทบอทท้าชนทฤษฎีสมคบคิด ใครจะชนะ?
คนเราจะถูกชักจูงให้เลิกเชื่อในข้อมูลบิดเบือนได้หรือไม่? 🤔
ใครที่ตามการเมืองอเมริกันช่วงนี้ 🇺🇸 คงได้เห็นข่าวปลอม ข่าวลวงกันให้พรึ่บ! เช่น USAID หน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศของอเมริกา ส่งถุงยางอนามัย 50 ล้านดอลลาร์ไปกาซา 😱, คนตายไปแล้วยังได้รับเงินประกันสังคม 💸, เงินช่วยเหลือภัยพิบัติถูกเอาไปใช้จ่ายค่าโรงแรมหรูให้นักท่องเที่ยวในนิวยอร์ก 🏨 โอ๊ยยย! แล้วทำไมคนถึงเชื่อกันเยอะขนาดนี้? 🤯 ยุคโซเชียลมีเดียกับความขัดแย้งทางการเมืองมันทำให้เส้นแบ่งระหว่าง "ความจริง" กับ "ทฤษฎีสมคบคิด" มันเบลอไปหมดไงล่ะ 😵‍💫
ศาสตร์แห่งการล้างความเชื่อ (Debunkology) ที่พยายามจะแก้ปัญหานี้ ก็ยังตามไม่ค่อยทัน 🏃‍♀️💨
หลายคนมักจะใช้วิธี "เถียง" หรือ "โต้วาที" 🗣️ แต่มันไม่ค่อยได้ผลหรอก! เคิร์ต แบรดด็อก นักวิจัยด้านการชักจูงจากโฆษณาชวนเชื่อ และวิธีรับมือ ที่มหาวิทยาลัยอเมริกันในวอชิงตัน ดี.ซี. บอกว่า บางทีมันยิ่งทำให้คนเชื่อฝังหัวเข้าไปอีก! 🤪 แต่งานวิจัยใหม่ๆ บอกว่า ถ้าให้ AI 🤖 มาช่วยเกลี้ยกล่อม อาจจะได้ผลมากกว่านะ! 😉
กันยายน 2024 โทมัส คอสเตลโล และทีมงานที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ทำการศึกษาว่า ถ้าให้ ChatGPT 💬 มาคุยกับคนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด จะเกิดอะไรขึ้น? ปรากฏว่า หลังคุยกัน 3 รอบ ความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้ลดลง 20%! 🎉 แถม 1 ใน 4 เลิกเชื่อไปเลย! 🥳
บอทนักโต้วาที 🤖🗣️
ดร.คอสเตลโล เชื่อว่า แชทบอทได้ผล เพราะมันตอบด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ แถมยังค้นข้อมูลมหาศาลที่ถูกเทรนมา เพื่อหาข้อโต้แย้งที่แม่นยำ ไม่ใช่เถียงแบบกว้างๆ เหมือนคนทั่วไป 👍
AI แชทบอทยังช่วยแก้ปัญหาการ "จับผิด" คนที่พยายามล้างความเชื่อได้ด้วยนะ ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน PNAS Nexus ตุลาคม 2024 ทีมงานของ ดร.คอสเตลโล ชี้ว่า คนที่ถูกท้าทายความเชื่อ มักจะมองหา "แรงจูงใจแอบแฝง" ของคนที่มาแก้ต่างให้ เช่น พวกเดโมแครต 🔵 อาจจะบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020 ไม่ได้มีการโกง เพราะอยากรักษาผลการเลือกตั้งไว้! แต่ถ้าเป็น AI ที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างในโลก 🌍 อาจจะดูน่าเชื่อถือกว่า 😉
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมเถียงกับเครื่องจักรนะ 🙅‍♀️🙅‍♂️ สำหรับคนที่อยากป้องกันไม่ให้ความเชื่อผิดๆ ฝังราก การ "prebunk" หรือ "ป้องปราม" อาจจะได้ผลกว่า 👍
แนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้ว แค่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเก๋ๆ ว่า "การสร้างภูมิคุ้มกันทางทัศนคติ" (attitudinal inoculation) 😎 วิลเลียม แมคไกวร์ นักจิตวิทยาสังคม เป็นคนคิดค้น โดยบอกว่า ให้บอกคนไปเลยว่า มันมีความเชื่อแปลกๆ หรือข้อมูลบิดเบือนอยู่ แล้วยกตัวอย่างให้ดู พร้อมแนะวิธีหลีกเลี่ยงและรับมือ 💪 ดร.แบรดด็อก บอกว่า ถ้าเรา "หักล้าง" ความเชื่อให้ใครสักคนได้ก่อน พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะต้านทานข้อมูลบิดเบือนได้มากขึ้น 👍
งานวิจัยปี 2023 ที่ศึกษาการแทรกแซงหลายรูปแบบ พบว่า การสร้างภูมิคุ้มกันแบบนี้ มีผล "ปานกลาง" ถึง "มาก" ในการต่อต้านความเชื่อผิดๆ 👍 แต่คาเรน ดักลาส ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเคนต์ บอกว่า ยังไม่แน่ใจว่า "prebunking" จะได้ผลนานแค่ไหน 🤔
ยังมีวิธี "แฮ็ก" ความสนใจคนอีกนะ
งานวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน บอกว่า ข้อความ debunking ที่โพสต์โดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ใน TikTok 📱 จะได้ผลกว่า ถ้าใส่เพลงจังหวะเร็วๆ 🎶 นักวิจัยเชื่อว่า เพลงจะไปรบกวนสมองส่วนที่พยายามหาข้อโต้แย้ง ทำให้ข้อความดูน่าเชื่อถือขึ้น 😎 การใช้ "เรื่องเล่า" ที่มีตัวละครและรายละเอียดชัดเจน ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้สมองไม่สามารถต้านทานข้ออ้างผิดๆ ได้ จากงานวิจัยก่อนหน้านี้ 📚
แน่นอนว่า เทคนิคพวกนี้ คนปล่อยข่าวลวงก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน! 😈 แต่มีอย่างหนึ่งที่พวกนั้นทำไม่ได้ คือ "การสอนคิดวิเคราะห์" (critical-thinking education) 🤓 ซึ่งสอนให้คนประเมินหลักฐาน เพื่อตัดสินใจอย่างมีข้อมูล งานวิจัยปี 2018 ที่ศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัย 806 คน พบว่า การสอนแบบนี้ ช่วยลดความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว 👽 และวิทยาศาสตร์สุขภาพจอมปลอมได้ 👍 แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ผลกับการต่อต้านเรื่อง การปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และความเชื่อว่า การลงจอดบนดวงจันทร์เป็นเรื่องหลอกลวง 🌕
แต่นี่ก็อาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เราหวังได้แล้วล่ะ จอห์น ซินนอตต์ นักวิจัยด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์สฟีลด์ บอกว่า เราทุ่มทรัพยากรทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด เพื่อหาวิธีเปลี่ยนใจคนอื่นได้ 🔬 แต่สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นเอง ว่าจะเชื่ออะไร 🤷‍♀️
โฆษณา