17 เม.ย. เวลา 12:00 • ธุรกิจ

‘Copper Buffet’ มีแค่ 2 สาขา แต่ทำเงินไป ‘800 ล้าน’ปีที่แล้วมีลูกค้าเกือบ 5 แสนคน

จ่ายหลักพันแต่คิวก็ยังแน่น! เปิดใจ “พจนีย์ พินิจศักดิ์กุล” ทายาทรุ่นที่ 2 แห่ง “Copper Beyond Buffet” มีแค่ 2 สาขา แต่โกยรายได้ไป 800 ล้านบาท เริ่มทำร้านอาหารเพราะอยากสร้างแม่เหล็กดึงคนเข้าห้าง ปีนี้ตั้งเป้าทะยานสู่พันล้านบาท มั่นใจคุณภาพดี-ไร้คู่แข่งโดยตรง ทำถึงจนต่างชาติยังต้องมาเยือน
1
เซกเมนต์บุฟเฟ่ต์แทบจะเป็นเบอร์ต้นในตลาดร้านอาหารที่มีอัตราการแข่งขันดุเดือดมากที่สุด โดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์ที่มี “Entry Price Point” ไม่สูงมาก ตรงกันข้ามกับบุฟเฟ่ต์พรีเมียมที่มีเพียงบรรดาเชนโรงแรมปักธงลงแข่ง ด้วยเหตุผลเรื่องต้นทุนราคาวัตถุดิบ กำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงการเฟ้นหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมต้องกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่นัก
แต่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ กลับมี “หน้าใหม่” ที่ตั้งใจขายความพรีเมียม ด้วยราคาเริ่มต้นคนละ 1,359 บาท เชื่อหรือไม่ว่า ราคานี้และยังสูงกว่านี้สำหรับแพ็กเกจอื่นๆ กลับทำให้ “คอปเปอร์ บียอนด์ บุฟเฟ่ต์” (Copper Beyond Buffet) เติบโตจากการบอกปากต่อปากด้วยร้านที่มีเพียงสาขาเดียวเท่านั้น กระทั่งปีที่ผ่านมา “คอปเปอร์” เพิ่งจุดพลุสาขาที่ 2 ไปหมาดๆ โดยในปี 2567 บุฟเฟ่ต์นานาชาติพรีเมียมแห่งนี้ทำรายได้มากถึง “800 ล้านบาท” พร้อมกำไรสุทธิอีกราวๆ 80 ล้านบาท จากร้านอาหารเพียง 2 สาขาเท่านั้น
1
“เหมี่ยน-พจนีย์ พินิจศักดิ์กุล” ผู้บริหารร้านคอปเปอร์ และทายาทรุ่นที่ 2 บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากย้อนกลับไปก่อนจะมีร้านบุฟเฟ่ต์เกิดขึ้น ครอบครัวของเธอไม่เคยคลุกคลีในวงการอาหารมาก่อน “สมศักดิ์ พินิจศักดิ์กุล” ผู้เป็นพ่อ เริ่มต้นจากการทำธุรกิจจิวเวลรียาวนานเกือบ 60 ปี
ถัดจากธุรกิจจิวเวลรี“สมศักดิ์” มองเห็นลู่ทางสู่น่านน้ำธุรกิจค้าปลีกจึงขยับไปทำคอมมูนิตี้มอลล์แถบปิ่นเกล้า โดยหลังจากเปิดเดอะเซ้นส์ ปิ่นเกล้า (The Sense Pinklao) มาได้ 2 ปี เขาก็เริ่มตั้งโจทย์ใหม่อีกครั้ง คิดอยากทำร้านอาหารเพื่อเพิ่มทราฟิกให้พื้นที่ “พจนีย์” เล่าว่า อีกหนึ่ง Pain Point ที่ทำให้คุณพ่อหันมาทำร้านอาหาร เป็นเพราะต้องการดูแลธุรกิจด้วยตัวเองแบบจบในตัว ขณะที่การทำห้างต้องใช้วิชาบริหารพื้นที่ และมีผู้เช่าเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญในการพลอตกราฟการเติบโต
เพราะธุรกิจพื้นที่ให้เช่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของห้างแต่เพียงผู้เดียว หากร้านค้ามีกระแสน้อยลง คนไม่ควักกระเป๋าจ่าย แลนด์ลอร์ดก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ จะเป็นอย่างไรถ้าเจ้าของลงมาทำร้านอาหารในพื้นที่ด้วยตัวเอง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “คอปเปอร์ บียอนด์ บุฟเฟ่ต์” ในปี 2559
ตอนแรก “คอปเปอร์” ยังไม่มีเมนูและแพ็กเกจหลากหลายเท่านี้ เริ่มต้นจากการเป็นบุฟเฟ่ต์พรีเมียมหัวละ 678 บาท ยอมขาดทุนติดต่อกัน 8-9 เดือน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเมนู-วัตถุดิบ พร้อมกับการปรับราคาขึ้นอีก 200 บาท ซึ่งการขยับตัวครั้งนี้ “พจนีย์” คิดว่า สิ่งที่ลูกค้าได้กินต้องคุ้มค่ามากกว่าเงิน 200 บาทที่จ่ายเพิ่ม
ผ่านไป 1 ปี “คอปเปอร์” เริ่มโผล่พ้นน้ำจากสภาวะขาดทุน จากที่มีลูกค้าหลักพันคนต่อเดือนเพิ่มเป็นหลักหมื่นคน และพีคสุดๆ เมื่อยูทูบเบอร์สายกินเข้ามารีวิว ทำให้หลังจากปี 2561 เป็นต้นมา “คอปเปอร์” มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมีการขยายพื้นที่ร้านบริเวณชั้นบนสุดของห้างเดอะเซ้นส์ให้ใหญ่ขึ้นอีก จนถึงตอนนี้คอปเปอร์ สาขาเดอะเซ้นส์ ปิ่นเกล้า มีขนาดพื้นที่ทั้งหมด 2,300 ตารางเมตร จุคนได้มากถึง 400 ที่นั่ง
1
สิ่งที่ทำให้คอปเปอร์แตกต่างจากร้านอื่นๆ คือการเฟ้นหาวัตถุดิบที่มีซัพพลายเออร์ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ใช่แค่หากุ้งตัวใหญ่หรือเนื้อชิ้นหนาหนุ่ม แต่ทีมคอปเปอร์มองลึกไปถึงสภาพอากาศ ต่างอุณหภูมิ ต่างภูมิประเทศ ก็มีผลกระทบกับปลายทางบนจานผู้บริโภค ช่วงเวลาในการจัดเก็บวัตถุดิบหลัก รวมไปถึงการขนส่ง การหั่น ความหนา-บาง อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำครัว เทคนิคหน้าเตา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ คือ “Key Success” ที่ทำให้ “คอปเปอร์” ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น
ทายาทรุ่นที่ 2 เล่าว่า ขณะนี้งบลงทุนต่อสาขาอยู่ที่ “100 ล้านบาท” เฉพาะเครื่องครัวกินสัดส่วนไปแล้ว 40% อย่างเตาย่างและเครื่องรมควันที่ใช้ในครัวก็มีราคาสูงถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นเตานำเข้าจากสหรัฐ ชาวต่างชาติที่มากินบอกกับ “พจนีย์” ว่า ไม่เคยเห็นอุปกรณ์เหล่านี้ในร้านพรีเมียมที่ประเทศบ้านเกิดด้วยซ้ำไป ประกอบกับราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับวัตถุดิบและกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ “คอปเปอร์” เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของต่างชาติที่ได้มาเยือนเมืองไทยด้วย
โฆษณา