Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Introverted investor
•
ติดตาม
27 มี.ค. เวลา 15:49 • หุ้น & เศรษฐกิจ
MEGA
🇹🇭
กระทิง ที่ราคา 31.00
ราคาปิด 27 มี.ค. 2025
🎯[สรุป] MEGA : OPPDAY, MD&A : Year-End 2024
📈พร้อมงบกำไร-ขาดทุน ย้อนหลัง 9 ปี
🏢บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) : [MEGA]
✳️ข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น : ‘MEGA’ คือ บริษัทผู้พัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศทั่วโลก ภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ
🔹‘Mega We Care’ : เป็นแบรนด์หลักที่ ‘MEGA’ พัฒนา ผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายด้วยตนเองทุกกระบวนการ ส่งออกไปขายยังประเทศกำลังพัฒนามากกว่า 36 ประเทศทั่วโลก สินค้าภายใต้แบรนด์นี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ เช่น วิตามินหรืออาหารเสริมบำรุงผิว เสริมภูมิต้านทาน เสริมระบบทางเดินอาหาร เสริมกระดูก และผลิตภัณฑ์ยาตามใบสั่งแพทย์ เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร โรคกระดูก รวมถึงผลิตภัณฑ์ยาจำหน่ายหน้าร้านขายยา เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด
สินค้าแบรนด์ ‘Mega We Care’ ทั้งหมดผลิตจากโรงงานของ ‘MEGA’ เอง ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย และออสเตรเลีย (ข้อมูลสัดส่วนยอดขายเฉลี่ย 6 ปีย้อนหลังนั้น ยอดขายของ ‘Mega We Care’ คิดเป็นสัดส่วน 50% ของรายได้รวมทั้งหมด)
🔹‘Maxxcare’ : เป็นแบรนด์ที่ ‘MEGA’ ซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมาทำการตลาดและจัดจำหน่าย (ไม่ได้ผลิตเอง) ไปยัง 3 ประเทศหลัก คือ เมียนมาร์ เวียดนาม และกัมพูชา สินค้าภายใต้แบรนด์นี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาจำหน่ายหน้าร้านขายยา และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของ ‘Maxxcare’ คือ บริษัทยา และบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค (B2B) นั่นเอง
ปัจจุบันธุรกิจในส่วนของ ‘Maxxcare’ นั้นมีคลังสินค้าอยู่ 16 แห่ง และพนักงานอีกกว่า 2,400 คน ใน 3 ประเทศดังกล่าว ซึ่งตลาดประเทศเมียนมาร์มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในตอนนี้ (ข้อมูลสัดส่วนยอดขายเฉลี่ย 6 ปีย้อนหลังนั้น ยอดขายของ ‘Maxxcare’ คิดเป็นสัดส่วน 48% ของรายได้รวมทั้งหมด)
🔹ทั้งนี้ ‘MEGA’ ยังทำธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) อีกด้วย ซึ่งโรงงานทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลียนั้นผลิตสินค้าของตัวเองและรับจ้างผลิตในลูกค้าภายนอก (ข้อมูลสัดส่วนยอดขายเฉลี่ย 6 ปีย้อนหลังนั้น ยอดขายในส่วน ‘OEM’ คิดเป็นสัดส่วน 2% ของรายได้รวมทั้งหมด)
❄️ยอดขายจาก 8 ประเทศ คือ เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึงประมาณ 80-90% จากรายได้รวมทั้งหมดของ ‘MEGA’ เลยทีเดียว
❄️หากเจาะลึกไปยังแบรนด์สินค้าหลักของ ‘MEGA’ นั่นคือ ‘Mega We Care’ ยอดขายทั้งหมดของบริษัทมากกว่า 80% มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอีก 10% มาจากทวีปแอฟริกา
❄️สินค้าทั้งหมดเป็นอาหารเสริมหรือวิตามิน 50% ยาตามใบสั่งแพทย์ 35% และยาสามัญทั่วไปอีก 15%
🟩[MEGA] MD&A : Year-End 2024
🔹กลยุทธ์เพื่อการเติบโตในอนาคตของ ‘MEGA’ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพยายามขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกา ด้วยวิธีการพัฒนาสินค้าเดิม การออกสินค้าใหม่ๆ การมองหาหุ้นส่วนกิจการร่วมค้า รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่มีคุณภาพ (M&A)
🔹ในปี 2024 ที่ผ่านมานั้นบริษัทมีการลงทุนสำหรับโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ประมาณ 220 ล้านบาท ทั้งนี้ นอกเหนือจากงบลงทุนสำหรับการปรับปรุงซ่อมแซมโรงงานผลิตเป็นประจำตามปกติทุกปีนั้น แผนการลงทุนในอนาคตช่วงระหว่างปี 2025-2026 คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 540 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน 2 โครงการหลักๆ คือ การก่อสร้างโรงงานผลิตยาและคลังสินค้าในประเทศอินโดนีเซีย (530 ล้านบาท) และการลงทุนด้านความยั่งยืน (ESG) สำหรับโรงงานผลิตในประเทศไทย (10 ล้านบาท)
🟩งบกำไร-ขาดทุน ไตรมาสที่ 4/2024
📊ยอดขาย : 3,657 ล้านบาท (ลดลง 12% YoY) สาเหตุหลักส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ในประเทศเมียนมาร์ลดลงเยอะ แยกย่อยสัดส่วนยอดขายดังนี้
🔹‘Mega We Care’ : 2,268 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7% YoY) แบ่งเป็นยอดขายจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 5% ยอดขายจากทวีปแอฟริกา เพิ่มขึ้น 4% รวมถึงยอดขายจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 23%
🔹‘Maxxcare’ : 1,320 ล้านบาท (ลดลง 33% YoY) สาเหตุหลักคือการลดลงของยอดขายในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นตลาดหลักของแบรนด์นี้ จากปัญหาความขัดแย้งและความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน
🔹รับจ้างผลิต (OEM) : 69 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 31% YoY)
📊กำไรขั้นต้น : 1,955 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 53.50% ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 45.80%
📊ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร : 1,079 ล้านบาท (ลดลง 2% YoY) ลดลงตามแผนการใช้จ่ายของบริษัท ‘SG&A to Sale’ สูงขึ้นเป็น 29.50% สูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 26.60% เนื่องจากยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ในเมียนมาร์ลดลง
📊กำไรสุทธิ : 639 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35% YoY) สาเหตุหลักส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A)
🟩งบกำไร-ขาดทุน ณ สิ้นปี 2024
📊ยอดขาย : 15,344 ล้านบาท (ลดลง 2% YoY) สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ในประเทศเมียนมาร์ลดลงมาก จากความไม่สงบภายในประเทศ ทำให้กำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงบริษัทไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการและจัดส่งสินค้าในพื้นที่ขัดแย้งได้บางพื้นที่ แยกย่อยสัดส่วนยอดขายได้ดังนี้
🔹‘Mega We Care’ : 8,371 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5% YoY) เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาตามใบสั่งแพทย์ และยาจำหน่ายหน้าร้านขายยายังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ยอดขายในประเทศไนจีเรียลดลงประมาณ 26% เหตุเพราะราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากค่าเงิน ‘ไนรา’ อ่อนค่า ส่วนยอดขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 4% ยอดขายในทวีปแอฟริกาลดลง 5% และยอดขายจากประเทศอื่นๆที่เหลือเพิ่มขึ้น 17% โดยสรุปยอดขายแบรนด์ ‘Mega We Care’ ในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วน 55% จากยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
🔹‘Maxxcare’ : 6,667 ล้านบาท (ลดลง 10% YoY) สาเหตุจากการลดลงของยอดขายในประเทศเมียนมาร์ โดยสรุปยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วน 43% จากยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
🔹ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) : 306 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10% YoY) โดยสรุปยอดขายส่วน ‘OEM’ ในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วน 2% จากยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
📊กำไรขั้นต้น : 7,754 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9% YoY) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) 50.50% ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 45.20% สาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของอัตรากำไรขั้นต้นตามส่วนงาน และการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นแบรนด์ ‘Mega We Care’ แยกย่อยได้ดังนี้
🔹‘Mega We Care’ : GPM 66% ปรับตัวดีขึ้นจากการเติบโตของยอดขาย ส่วนผสมของสินค้า ส่วนผสมของประเทศ
🔹‘Maxxcare’ : GPM 32% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว สาเหตุจากส่วนผสมของลูกค้า อัตราแลกเปลี่ยนในเมียนมาร์ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรภาพรวมของบริษัท
📊ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร : 4,385 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5% YoY) เป็นไปตามแผนค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่ง ‘SG&A to Sale’ สูงขึ้นเป็น 28.60% จากปีที่แล้ว ที่ 26.70% หลักๆ เนื่องจากยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ลดลงมาก
📊กำไรสุทธิ : 2,013 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1% YoY) เนื่องจากแบรนด์ ‘Mega We Care’ ยังคงเติบโตได้ดี ชดเชยแบรนด์ ‘Maxxcare’ ที่ยอดขายปรับตัวลดลง รวมถึงการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงอีกด้วย
🔹หากไม่นับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว และการขาดทุนจากธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นนั้น ในปี 2024 ที่ผ่านมา ‘MEGA’ จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 2,236 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีที่แล้ว ขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท
📊สินทรัพย์รวม : 14,210 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1% YoY) หลักๆมาจากการเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
📊หนี้สินรวม : 4,333 ล้านบาท (ลดลง 10% YoY) หลักๆมาจากการลดลงของเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น
📊ส่วนของผู้ถือหุ้น : 9,877 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6% YoY) หลักๆมาจากกำไรสุทธิในปี 2024 ที่ผ่านมา
🟩[MEGA] Oppday : Year-End 2024 (ความเห็นและการตอบคำถามจากผู้บริหาร)
✴️ยอดขายรวมของ ‘MEGA’ ย้อนหลัง 5 ปี เติบโตทบต้นเฉลี่ย (CAGR) ประมาณ 7% ต่อปี (2019-2024) แยกย่อยเป็นแบรนด์ ‘Mega We Care’ เติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี และแบรนด์ ‘Maxxcare’ เติบโตเฉลี่ย 4% ต่อปี
✴️ปัญหาความไม่สงบภายในประเทศเมียนมาร์ ยังไม่จบง่ายๆ คาดว่าคงอยู่กันแบบนี้ไปอีกนาน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยากขึ้น การขอใบอนุญาตต่างๆก็ยากขึ้น ล่าช้าขึ้น ตลาดบริโภคหดตัวลง ‘MEGA’ เข้าไปบริหารจัดการได้ไม่เต็มที่ หลายพื้นที่สินค้าของเราจัดส่งเข้าไปไม่ได้เพราะสงคราม แต่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ยังขายได้ แต่น้อยลง
จากประชากรเมียนมาร์ 55 ล้านคนนั้น ประมาณ 40 ล้านคนยังเข้าถึงสินค้าของเราได้ ภาพรวมของบริษัทเรามุ่งเน้นไปที่แบรนด์ ‘Mega We Care’ หากเติบโตได้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กำไรยังคล่องตัว แบรนด์เรา GPM สูงกว่า ประมาณ 62-67% อนาคตเรามุ่งเน้นส่วนนี้อยู่แล้ว สัดส่วนยอดขายของ ‘Mega We Care’ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
✴️ในอนาคต สัดส่วนยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ จะลดลง ยอดขายในเมียนมาร์จะลดลงแน่นอน แต่เรามองเห็นโอกาสเข้าลงทุนในเมียนมาร์เพิ่มขึ้น เช่นการสร้างโรงงานผลิตภายในประเทศเพื่อลดภาระและความเสี่ยงการนำเข้าสินค้า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ประเมินโอกาส และความคุ้มค่าต่างๆ
✴️ปี 2024 ยอดขายในประเทศไนจีเรียลดลงกว่า 26% ผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินอ่อนค่า จาก 600-700 ไนรา ไปเป็น 1,500 ไนรา ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สินค้าเรามีราคาขายแพงขึ้น กำลังซื้อเลยลดลง วิธีป้องกันความเสี่ยงเช่นนี้ในอนาคต คือ การใช้เงินกู้ยืมภายในประเทศไนจีเรีย สำหรับสินค้าที่ไม่ได้นำเข้า จากนั้นส่งเงินกลับมาบริษัทเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
อีกวิธีหนึ่งคือ สินค้าในโกดังของเราที่ยังไม่ได้ขายนั้นสามารถเปลี่ยนราคาขายได้ ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีแผนจะลงทุนเพื่อขยายตลาดในไนจีเรีย ซึ่งประชากรในทวีปแอฟริกามีมากกว่า 600-700 ล้านคน เรายังมีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะ ‘Mega We Care’ ไม่ได้ขายแค่วิตามินเพียงอย่างเดียว ยังมียาสามัญอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันอีกมากมาย
✴️ประเทศเวียดนาม เรากำลังจะสร้างโรงงานผลิตที่มีพื้นที่มากกว่า 40,000 ตรม. ตอนนี้มีที่ดินแล้ว ได้ใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว เดือนมิถุนายนปี 2025 นี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี แล้วปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 น่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้ และภายในปี 2028 คงมีสินค้าใหม่ผลิตออกมาเพื่อขายภายในประเทศเวียดนาม และส่งออกไปยังประเทศเล็กๆรอบๆด้วย เราทำธุรกิจในเวียดนามมาเกือบ 30 ปีแล้ว
✴️สำหรับประเทศไทย เราก็ลงทุนเพื่อขยายไลน์การผลิตใหม่ ตอนนี้อยู่ในช่วงพัฒนา เริ่มทำยาน้ำ และยาอื่นอีก 2 ประเภท
✴️สำหรับประเทศออสเตรเลีย เราก็ลงทุนขยายโรงงานผลิต มีทำผงโปรตีน และสินค้าอื่นๆที่ไม่ได้ทำในประเทศไทย
✴️สำหรับประเทศอินโดนีเซีย เรามีเป้าหมายการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ให้มียอดขายมากกว่า 1,700 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มียอดขายประมาณ 500 ล้านบาท เราเข้าซื้อโรงงานผลิตขนาดเล็กมา ตอนนี้ลงทุนเพื่อขยายโรงงาน ซึ่งก่อสร้างใกล้เสร็จแล้วและมีคลังสินค้าด้วย ซึ่งจะวางเครื่องจักรใหม่ภายในปี 2025 นี้ และภายในไตรมาสที่ 1/2026 คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้
ทั้งผลิตภัณฑ์ยาตามใบสั่งแพทย์ และยาสามัญทั่วไป (ตอนนี้ใช้วิธีนำเข้ามาขาย) คาดการณ์ว่าภายในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า สินค้าของเราที่ขายในอินโดนีเซียจะเป็นการผลิตภายในประเทศทั้งหมด
✴️กลยุทธ์การเติบโตในปี 2025 จะอยู่ที่แบรนด์ ‘Mega We Care’ เราจะไม่พูดถึงแบรนด์ ‘Maxxcare’ ที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะยอดขาย ‘Maxxcare’ มากกว่า 70-80% มาจากเมียนมาร์ และตลาดในประเทศกัมพูชาก็ยังเล็กมากจนไม่มีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ก็คงแย่ต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศเมียนมาร์
ปัจจุบันก็ยังอยู่ได้ ยายังขายได้ ไม่ได้กระทบมากเหมือนสินค้าประเภทอื่นๆ เพียงแต่เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตมากมายอะไร แค่อยู่ได้และทำกำไรได้ก็ดีมากแล้วในตอนนี้ เช่น ประเทศยูเครนนั้นมีสงครามมาตั้งนานแล้ว สินค้าเราก็ยังขายได้ แต่พอมันมีปัญหาเราก็ประคองไป ไม่ได้แย่อะไร มันเป็นความเสี่ยงที่เราควบคุมไม่ได้
✴️กลยุทธ์การเติบโตของแบรนด์ ‘Mega We Care’ ในอนาคตคือการเติบโตของ ‘MEGA’ ในภาพรวม ตอนนี้มี Product ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและรอขึ้นทะเบียนอยู่ประมาณ 120 Product ซึ่งเรามีแผนที่จะออกวางตลาดในปี 2025 นี้ 36 Product เราวางแผนที่จะขยายตลาดแบรนด์ ‘Mega We Care’ ในทุกประเทศที่มีทีมงานพร้อมอยู่แล้ว ด้วยงบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า
เช่น การลงทุนโรงงานในเวียดนาม 800-1,000 ล้านบาท การลงทุนโรงงานในอินโดนีเซีย 300-500 ล้านบาท การลงทุนโรงงานในไทย 300 ล้านบาท และการลงทุนโรงงานในเมียนมาร์ 500 ล้านบาท นี่คือส่วนหนึ่งของการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตในอนาคต รวมถึงการใช้งบลงทุนเพื่อซื้อลิขสิทธิ์สินค้าใหม่ๆ อีกประมาณ 300 ล้านบาท
✴️ณ ปัจจุบัน ‘MEGA’ สามารถสร้างผลกำไรได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี และจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นประมาณ 60-70% เงินที่เหลือหลังจากนั้นเราคิดว่าเพียงพอที่จะเก็บไว้และนำมาลงทุนต่อเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตต่อไป
ซึ่งในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า (2029) เรามีเป้าหมายผลักดันให้กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตเป็น 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา (2024) ยอดขายอาจจะเติบโตทบต้นเฉลี่ยประมาณ 5-10% ต่อปี ด้วยกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนยอดขายแบรนด์ของเราเอง (Mega We Care) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า จะสามารถผลักดันกำไรสุทธิไปสู่ 4,000 ล้านบาทได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ (CAGR 14-15% ต่อปี)
อันนี้เราพูดคร่าวๆ ตอนนี้กำลังวางกลยุทธ์ และจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
✴️ในอนาคตหากมีประเทศใดออกกฎระเบียบห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ยา เราก็จะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตภายในประเทศนั้นๆ หากเป็นประเทศที่ตลาดเล็กก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร ส่วนเรื่องคู่แข่งภายในประเทศจีนและอินเดียก็มีเยอะขึ้น แต่มันก็แข่งขันกันมาเนิ่นนานแล้ว เรามีทีมงานอยู่ในอินเดีย 100 กว่าคน มีออฟฟิศอยู่ในเมืองมุมไบ เราก็พยายามมองความเสี่ยงจากคู่แข่งขันทั้งหมดเท่าที่ทำได้
✴️สำหรับ Product ใหม่ๆ เวลาผลิตออกมา มันต้องใช้เวลานานกว่าจะติดตลาด กว่าจะขึ้นทะเบียน กว่าคนจะรู้จัก ไม่ใช่ว่าออกวางขายปีนี้แล้วปีหน้ายอดขายจะโตทันทีเลย ที่ผ่านมาเราก็ไม่มีสินค้าตัวไหนที่ยอดขายโตระเบิดได้ภายในปีเดียว นอกจากจะเป็นสินค้าใหม่ที่ผลิตออกมาพอดีกับรัฐบาลกำลังซื้ออยู่แล้วเราเป็นผู้เล่นรายแรก แต่มันก็ต้องใช้เวลาอยู่ดี กว่าจะยื่นเสนอทุกโรงพยาบาล กว่าจะขึ้นบัญชียา ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี
✴️สุดท้าย เราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดกำไรต้องเติบโตเฉลี่ย 5-10% ต่อปี ไม่ลดการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio 60-70%) และเก็บเงินบางส่วนเพื่อลงทุนขยายการเติบโตในอนาคต เราไม่ได้ต้องการเงินลงทุนพิเศษอะไรมากมาย เพียงใช้เงินจากกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นแล้วก็เพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในโรงงานผลิต การซื้อลิขสิทธิ์ และทำการตลาด ในประเทศต่างๆ ส่วนที่เหลือจากนั้นก็อยู่ใน SG&A อยู่แล้ว
✳️ผู้ถือหุ้นใหญ่
🔸บริษัท ยูนิสเตรทช์ จำกัด : 50%
🔸นักลงทุนต่างชาติ : 6%
🔸วิเวก ดาวัน : 5% (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ)
🔸THE BANK OF NEW YORK MELLON : 4%
🔸บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) : 2%
🔸BNP PARIBAS, LONDON BRANCH : 2%
🟩ข้อมูลเพิ่มเติม
🔥รายได้รวมของบริษัท ‘MEGA’ เติบโตทบต้น 9 ปีย้อนหลังเฉลี่ยประมาณ 7% ต่อปี ถือว่าค่อนข้างดีสำหรับสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา คงเพราะมีรายได้ส่วนใหญ่จากการเติบโตในต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจขยายได้เรื่อยๆมากกว่าบริษัทที่ทำมาหากินมีรายได้เฉพาะในเมืองไทย
มองดูรายได้รวมและกำไรสุทธิช่วง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมา (2022-2024) ไม่โตเลย แถมลดลงนิดหน่อย อาจเพราะมีผลขาดทุนจากธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น (ธุรกิจอะไร ใครทราบโปรดบอกทีครับ) ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และยอดขายแบรนด์ ‘Maxxcare’ ได้รับผลกระทบมากในประเทศเมียนมาร์ จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงฐานรายได้ที่สูงในช่วง Covid-19
🔥แต่นักลงทุนอย่าเพิ่งด่วนถอดใจเร็วเกินไป หันมามองดูกันที่กำไรขั้นต้นเติบโตเฉลี่ย 9 ปีย้อนหลังเกือบ 10% ต่อปี!! กำไรจากการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปี!!! เติบโตมากขึ้นเกือบทุกปี และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 12% ต่อปี!!! เริ่มน่าสนใจแล้วล่ะสิ โครงสร้างธุรกิจและแบรนด์ผมคิดว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดอิสระเฉลี่ยเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี!!!
🔥อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เฉลี่ยประมาณ 44% เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อาจเพราะสัดส่วนยอดขายแบรนด์หลัก ‘Mega We Care’ ซึ่งมีอัตรากำไรสูงกว่านั้นเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกลยุทธ์การมุ่งเน้นของ ‘บอสวิเวก ดาวัน’ ที่ผมฟัง ‘OppDay’ แต่ละครั้งต้องมีสมาธิอย่างมาก ฮ่าๆ
ต่อมา อัตรากำไรสุทธิ (NPM) เฉลี่ยประมาณ 12% ไม่แย่เลย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ต่อปี เพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้ กำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิ เฉลี่ย ‘SG&A to Sale’ ประมาณ 28-29% คงไม่สูงมากสำหรับธุรกิจการผลิตยาที่จำเป็นต้องทุ่มงบในส่วนการวิจัยพัฒนาและการตลาด
🔥กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี!! มาส่องกันที่การจ่ายเงินปันผล จับต้องได้มากที่สุด เงินปันผลเติบโตเฉลี่ย 17% ต่อปี!!! โหดสุดๆ อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ประมาณ 60% ปีไหนที่ ‘MEGA’ รายได้ไม่เติบโต แต่เงินปันผลก็ไม่เคยจ่ายลดลงเลย
🔥ส่วนราคาหุ้นนั้นก็คงไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว ตามสภาพ เกือบ 10 ปีย้อนหลัง หุ้นขึ้นเฉลี่ยไม่ถึง 3% ต่อปี ตามแนวทางเพจหุ้นโซนต่ำอย่างเราๆ ฮ่าๆ
📌P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ของ 'MEGA' อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า (คำนวณจากราคาหุ้นและกำไรสุทธิต่อหุ้น ณ สิ้นปีของทุกปี / สูงสุด 34 เท่า - ต่ำสุด 13 เท่า)
📌P/E เฉลี่ยภาคอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า และอุตสาหกรรมบริการอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า
📌P/E เฉลี่ยของบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งทำธุรกิจคล้ายกันในต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า
📌P/E ณ ปัจจุบัน ของ 'MEGA' อยู่ที่ 14 เท่า
🔥ล่าสุด ‘MEGA’ ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 2.52% จากราคาหุ้น ณ วันที่ 24/03/2025 (31.75 บาท/หุ้น) คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Payout Ratio) 69% จากทั้งปี หรือเป็นการจ่ายเงินปันผล 5.04% ต่อปี จากราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน คิดว่าคงไม่แย่เท่าไหร่ (ส่วนราคาหุ้นตอนนี้ ราคาถูกไหม? คงต้องคำนวณกันเอง)
กับธุรกิจประมาณนี้ สร้างกระแสเงินสดประมาณนี้ ความสามารถในการแข่งขันประมาณนี้ และรับเงินปันผลปีละ 5%!
✔️XD : 07/03/2025 [จ่ายเงินปันผล : 24/04/2025]
✔️XM : 07/03/2025 [ประชุมสามัญประจำปี : 04/04/2025 : Online]
⚠️การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาแนะนำ ชักชวน หรือโน้มน้าวเพื่อให้เกิดธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินใดๆทั้งสิ้น นักลงทุนควรตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง รับความเสี่ยงด้วยตนเอง ทั้งนี้เนื้อหาในบทความมีอคติอยู่เป็นจำนวนมาก ควรวิเคราะห์ด้วยตนเอง เพราะแอดมินมีหุ้น ฮ่าๆ 🤣
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
ธุรกิจ
หุ้น
การลงทุน
10 บันทึก
9
1
10
9
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย