9 เม.ย. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ขึ้นมาขึ้นกลับไม่โกง สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมาถึงจุดที่จะเก็บภาษี 104% ได้ไง?

ย้อนไทม์ไลน์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ระอุขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ “ทรัมป์” กลับมาเป็นประธานาธิบดี จนล่าสุดสั่งเก็บภาษีนำเข้าจีนถึง 104%
“ภาษีศุลกากร” ถือเป็นหัวใจสำคัญในนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเขาได้แสดงความกระตือรือร้นมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งสมัยสองว่า จะเดินหน้ามาตรการภาษีที่หนักหน่วง
ทรัมป์อ้างว่า มาตรการภาษีนำเข้าเหล่านี้มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงชายแดนและยาเสพติดผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังเพื่อกระตุ้นการผลิตของสหรัฐฯ และแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้เกิดการขาดดุลการค้ามหาศาลในแต่ละปี
โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง (แฟ้มภาพ)
อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีของทรัมป์ได้นำไปสู่สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกับ “จีน” ที่ล่าสุดมีรายงานว่า อาจเจอภาษีนำเข้าสูงถึง 104% ซึ่งคาดว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนแบบสุดโต่งของทรัมป์ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจทั่วโลกมากขึ้น และภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้น
แล้วสหรัฐฯ กับจีนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ที่คิดอัตราภาษีกันในหลักเกิน 100% อย่างนี้ นี่คือไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
20 ม.ค.
โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 โดยในวันแรกของการรับตำแหน่งนี้ นอกจากเขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารหลายร้อยฉบับแล้ว ยังได้ประกาศให้สัญญาว่าจะดำเนินการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10%
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นไปเพื่อกดดันให้ทั้งสามประเทศเอาจริงเอาจังเรื่องการควบคุมผู้อพยพผิดกฎหมายและการไหลเข้ามาของยาเฟนทานิล (Fentanyl)
โดยปี 2021 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 100,000 คนเป็นครั้งแรก ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากการใช้เฟนทานิลสูงถึง 66 % ประกอบกับผลการศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ช่วงปี 2010-2021 มีสัดส่วนชาวอเมริกันใช้เฟนทานิลร่วมกับยาเสพติดประเภทอื่น ๆ มากขึ้น เกิดวิกฤตที่ผู้คนใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
1 ก.พ.
ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีสินค้าทั้งหมดจากจีน 10% ตามที่ให้สัญญาไว้
ทรัมป์ยังประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระดับประเทศ โดยใช้พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งทำให้เขามีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการจัดการสินค้านำเข้า
ทรัมป์กล่าวในเวลานั้นว่า “เนื่องจากภัยคุกคามร้ายแรงจากคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและยาเสพติดร้ายแรงที่คร่าชีวิตพลเมืองของเรา รวมถึงเฟนทานิลด้วย เราจำเป็นต้องปกป้องชาวอเมริกัน และเป็นหน้าที่ของผมในฐานะประธานาธิบดีที่จะต้องดูแลความปลอดภัยของทุกคน”
4 ก.พ.
ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีให้แคนาดาและเม็กซิโก แต่ไม่ยกเว้นให้จีน ทำให้มาตรการภาษีนำเข้าต่อจีนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ. เวลา 00.01 น. ตามเวลาเขตตะวันออก
ในวันเดียวกันนี้ จีนประกาศแผนตอบโต้ โดยกระทรวงการคลังของจีนประกาศว่า จะเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ LNG ของสหรัฐฯ และ 10% สำหรับน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์บางรุ่นจากสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ 10 ก.พ.
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนและสำนักงานศุลกากรจีนยังกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกทังสเตน เทลลูเรียม รูทีเนียม โมลิบดีนัม และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรูทีเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุหายากที่สหรัฐฯ มีความต้องการค่อนข้างมาก
4 มี.ค.
ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% รวมเป็น 20% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 00.01 น. ของวันที่ 4 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ โดยอ้างว่าจีนไม่ดำเนินการมากพอที่จะหยุดยั้งการไหลของเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน จีนได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญของสหรัฐฯ สูงถึง 15% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มีนาคม และยังได้ขยายจำนวนบริษัทสหรัฐฯ ที่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการควบคุมการส่งออกและข้อจำกัดอื่น ๆ
10 มี.ค.
มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ 15% ของจีนมีผลบังคับใช้ ส่วนสินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่งจะได้รับการยกเว้นภาษีจนถึงวันที่ 12 เม.ย.
2 เม.ย.
ประธานาธิบดีทรัมป์แถลง “วันปลดแอก” ประกาศกำหนดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อ 185 ประเทศ/ดินแดนทั่วโลก โดยรายชื่อบนสุดของตารางที่เขานำมาโชว์คือประเทศจีน ซึ่งจะโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 34% ทำให้รวมแล้วจีนจะโดนภาษีนำเข้าสูงถึง 54% มีผลวันที่ 9 เม.ย.
ทรัมป์กล่าวว่า “หากคุณดูที่แถวแรก จีนเรียกเก็บจากสหรัฐฯ 67% นี่คือรวมทั้งภาษี การจัดการสกุลเงิน และอุปสรรคการค้าต่าง ๆ ดังนั้นมันคือ 67% ดังนั้นเราจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้แบบลดราคาแล้ว เหลือ 34% พวกเขาเรียกเก็บเงินจากเรา เราก็จะเรียกเก็บเงินจากพวกเขา เราเรียกเก็บเงินจากพวกเขาน้อยกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นจะมาโกรธกันได้อย่างไร”
หลังการประกาศดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้สหรัฐฯ “ยกเลิกมาตรการภาษีทันที”
กระทรวงพาณิชย์จีนเตือนว่า มาตรการดังกล่าว “เป็นอันตรายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก” และจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ “จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีฝ่ายเดียวทันที และแก้ไขความขัดแย้งกับพันธมิตรทางการค้าอย่างเหมาะสมผ่านการเจรจาที่เท่าเทียมกัน ... ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า”
กระทรวงพาณิชย์จีนยังเสริมว่า “จีนจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง”
4 เม.ย.
จีนประกาศแผนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ 34% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีน โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. นี้
กระทรวงพาณิชย์จีนยังกล่าวว่า จะกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากเพิ่มเติม ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ไฮเทค เช่น ชิปคอมพิวเตอร์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเพิ่มบริษัทอเมริกัน 27 แห่งเข้าไปในรายชื่อบริษัทที่อยู่ภายใต้การคว่ำบาตรทางการค้าหรือการควบคุมการส่งออก
7 เม.ย.
ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ข้อความไม่พอใจที่จีนคิดจะตอบโต้สหรัฐฯ โดยขู่ว่า หากรัฐบาลจีนไม่ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ต่อสินค้าของสหรัฐฯ ภายในวันที่ 8 เม.ย. จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 50% ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีทั้งหมดพุ่งขึ้นไปเป็น 104%
8 เม.ย.
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่อัตรา 104% ตั้งแต่ 00.01 ของวันที่ 9 เม.ย. ตามเวลาตะวันออก (11.01 น. วันที่ 9 เม.ย. ตามเวลาประเทศไทย) หลังจากที่ทางการจีนไม่ยกเลิกมาตรการกำแพงภาษี 34% ต่อสินค้าสินค้าสหรัฐฯ ภายในเวลาที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขีดเส้นตายไว้
9 เม.ย. 11.01 น. ตามเวลาประเทศไทย
ภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่อัตรา 104% เริ่มมีผลบังคับใช้
เรียบเรียงจาก NPR / PBS News
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/246534
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา