1 ก.ค. เวลา 03:00 • ไลฟ์สไตล์

ทฤษฎีเกม (Game Theory) ในโลกแห่งการลงทุน

การลงทุนในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว นักลงทุนไม่ได้อยู่คนเดียวในตลาด แต่ต้องเผชิญกับพฤติกรรมของนักลงทุนคนอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป การเข้าใจและคาดการณ์พฤติกรรมของผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ และนี่คือจุดที่ ทฤษฎีเกม (Game Theory) เข้ามามีบทบาทสำคัญ
🎲 ทฤษฎีเกมคืออะไร
ทฤษฎีเกมคือสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาวิธีการตัดสินใจของแต่ละฝ่ายในสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ของแต่ละฝ่ายขึ้นอยู่กับการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การแข่งขันระหว่างบริษัท การประมูล การตั้งราคา และแน่นอน “การลงทุน”
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทฤษฎีเกมในการลงทุนมักเกิดในช่วงภาวะตลาดมีข่าวลือหรือความไม่แน่นอน เช่น เมื่อผลประกอบการของบริษัทออกมาไม่ดีดังที่คาดหมายไว้ ทำให้ราคาหุ้นตกลงมา นักลงทุนต้องตัดสินใจว่าตลาดรับรู้ข้อมูลหมดแล้วหรือยัง การจะหาจังหวะขายหรือซื้อหุ้นเพิ่ม อาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของนักลงทุนคนอื่นด้วย หากตลาดยังสะท้อนข้อมูลได้ไม่หมด ราคาหุ้นอาจจะลดลงได้อีก ดังนั้นการตัดสินใจจึงไม่ใช่เรื่องของปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับ “สิ่งที่เราคาดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”ด้วย
📉 เสริมพลังด้วยเครื่องมือทางเทคนิค: RSI และ MACD
เพื่อช่วยคาดการณ์พฤติกรรมตลาดและจิตวิทยาของนักลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เราสามารถนำ RSI และ MACD เข้ามาใช้ประกอบ โดย
RSI (Relative Strength Index): สามารถบอกได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ oversold (ขายมากเกินไป) ซึ่งมักสะท้อน “อารมณ์” ของตลาดในช่วงนั้น ๆ
MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้วิเคราะห์ทิศทางและโมเมนตัม หากเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ อาจสะท้อนว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกำลังกลับมา
การใช้ RSI และ MACD ไม่ได้บอกทิศทางอนาคตแน่ชัด แต่ช่วยให้เข้าใจ “คลื่นอารมณ์” ของตลาด ทำให้เราประเมินได้ดีขึ้นว่า ผู้เล่นในตลาด อาจกำลังคิดหรือกำลังจะทำอะไร
นักลงทุนที่เข้าใจทฤษฎีเกมจะมองตลาดเป็น “สนามแข่งขัน” ที่ต้องคอยสังเกตและคาดการณ์กลยุทธ์ของผู้อื่น เมื่อผนวกกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่าง RSI และ MACD ก็จะช่วยให้มองเห็น “จังหวะ” ของตลาด และเข้าใจจิตวิทยาผู้เล่นได้ลึกขึ้น ทำให้สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่นและรอบคอบยิ่งขึ้น
โฆษณา