13 เม.ย. เวลา 07:09 • ประวัติศาสตร์

ตามรอยโทลคีน 5

อาชีพการงานของโทลคีนทั้งในด้านการศึกษาและด้านวรรณกรรม ไม่อาจแยกออกจากความรักของท่านที่มีต่อภาษาและนิรุกติศาสตร์ได้เลย เมื่อทำงานที่มหาวิทยาลัย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในนิรุกติศาสตร์ของภาษาอังกฤษที่จบการศึกษาโดยมีภาษานอร์สเป็นวิชาพิเศษในปี ค.ศ. 1915
เมื่อทำงานในโครงการจัดทำพจนานุกรมฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดในปี ค.ศ. 1918 ท่านได้รับการยกย่องในผลงานที่เกี่ยวข้องกับคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษร W รวมทั้งคำ walrus ที่ท่านใช้ความพยายามเป็นพิเศษ
โดยส่วนตัวแล้ว โทลคีนหลงใหลใน "เรื่องที่มีนัยสำคัญต่อชาติพันธุ์และภาษา" เป็นที่ยิ่ง ครั้งหนึ่งในการบรรยายเกี่ยวกับภาษาอังกฤษและเวลช์ในปี ค.ศ. 1955 โทลคีนชี้ให้ผู้ฟังเห็นถึงแนวคิดเกี่ยวกับ "ความชื่นชอบในภาษาศาสตร์โดยธรรมชาติ" ซึ่งสำคัญยิ่งต่อความรู้และความเข้าใจที่ท่านมีต่อชาติพันธุ์และภาษา ท่านยังริเริ่มใช้คำ "ภาษาพื้นเมือง" (native language) ที่ตรงกันข้ามกับ "ภาษาถิ่นเกิด" (cradle-tongue) อันเป็นภาษาแรกที่คนคนหนึ่งเรียนรู้เป็นภาษาแรก
ท่านยืนยันว่า ภาษาถิ่นเวสต์มิดแลนด์ในภาคกลางของอังกฤษ เป็นภาษาพื้นเมืองของท่าน พร้อมทั้งประกาศว่าท่าน "เป็นชาวเวสต์มิดแลนด์โดยสายเลือด และรับภาษาถิ่นเวสต์มิดแลนด์ เป็นภาษาของตัวเองแทบจะในทันทีที่ได้เรียนรู้"
แม้จะมีอาชีพการงานเป็นนักนิรุกติศาสตร์ แต่โทลคีนรักใคร่ผูกพันและมุ่งมั่นกับการสร้างภาษาใหม่ๆ จนบางครั้งและบ่อยครั้ง ก็บดบังผลงานด้านวิชาการจนกระทั่งคนส่วนใหญ่รู้สึกว่า ท่านมีผลงานทางวิชาการน้อยมาก สำหรับโทลคีนแล้ว ภาษาและไวยกรณ์ เป็นเรื่องของสุนทรียภาพและความไพเราะ ภาษาที่โทลคีนประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาซึ่งมีพัฒนาการสูงสุดมีสองภาษาคือ ภาษาเควนย่า (Quenya) และภาษาซินดาริน (Sindarin) ที่เชื่อมโยงกับแกนหลักใหญ่ของนวนิยายของท่าน
โทลคีนออกแบบภาษาเควนย่าขึ้นมาโดยพิจารณาถึงมุมมองทางด้าน "สุนทรียภาพของรูปแบบการออกเสียง" (phonaesthetics) เพื่อให้เป็นประหนึ่งภาษาละตินของชาวเอลฟ์ โดยมีพื้นฐานในการออกเสียงมาจากภาษาละตินเป็นหลักแล้วผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบต่างๆ จากภาษาฟินนิช เวลช์ อังกฤษและกรีก
ในสายตาของโทลคีน ภาษาและเทวปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกัน ท่านเคยบรรยายในการประชุมสมัชชาเอสเพอแรนทิสท์ (Esperantist—ผู้สนับสนุนการเผยแพร่และใช้ภาษาเอสเพอแรนโท) ในปี ค.ศ. 1930 ในหัวข้อ "สิ่งเชื่อมโยงลับ" (A Secret Vice) ไว้ว่า
"ภาษาที่คุณประดิษฐ์ขึ้นมา จะให้กำเนิดเทวปกรณ์" ก่อนที่ต่อมาจะสรุปไว้ในปี ค.ศ. 1956 ว่า "ภาษาโวลาพุค ภาษาเอสเพอรันโท ภาษาอีโด ภาษาโนเวียล และอีกหลายภาษา ต่างตายกันหมดแล้ว ตายยิ่งกว่าภาษาโบราณที่เคยมีคนใช้ เพราะคนที่ประดิษฐ์ภาษาพวกนี้ ไม่เคยสร้างตำนาน [ขึ้นมารองรับ]"
ความนิยมของผู้อ่านที่มีต่องานเขียนของโทลคีน แม้จะมีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาในวรรณกรรมเพียงน้อยนิด แต่ยั่งยืนมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะต่อนวนิยายแฟนตาซี ทุกวันนี้ แม้แต่พจนานุกรมหลักก็ยอมรับการสะกดคำแบบแปลกๆ อย่าง " dwarves" และ "dwarvish" ซึ่งใช้กันน้อยมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย (ควบคู่ไปกับการใช้ "dwarfs" และ "dwarfish ")
โทลคีนเคยยืนยันไว้ว่า หากภาษาอังกฤษแบบโบราณยังคงใช้กันต่อมา เราก็อาจสะกดเป็น "dwarrows" หรือ "dwerrows" ไปแล้ว นอกจากนี้ ท่านยังสังเคราะห์คำ eucatastrophe (พจนานุกรมฉบับอ็อกซ์ฟอร์ดให้ความหมายว่า "การคลี่คลายของสถานการณ์ในนวนิยายโดยฉับพลันอย่างที่ผู้อ่านจะชื่นชอบ; จบแบบสุขนาฏกรรม—a sudden and favorable resolution of events in a story; a happy ending.") เพื่อใช้เชื่อมโยงเฉพาะกับงานเขียนของท่านเท่านั้น
นอกจากเขียนนิยายแล้ว โทลคีนยังสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดด้วยฝีมือของตนเองออกมามากมายหลายร้อยชิ้น
โทลคีนเรียนการวาดและเขียนภาพมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก และยังคงวาดและเขียนภาพมาโดยตลอดชีวิตในวัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่งานชิ้นแรกๆ ในฐานะนักเขียนนิยาย โทลคีนจะพัฒนาเค้าโครงเรื่องไปพร้อมๆ กับการวาดและเขียนภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งทิวทัศน์และแผนที่ของดินแดนต่างๆ อันเป็นที่เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
ท่านวาดภาพเพื่อประกอบการเล่าเรื่องราวในนิยายให้ลูกๆ ฟัง รวมทั้งนิยายเรื่อง "คุณบลิสส์" (Mr. Bliss) และ "โรเวอแรนดัม" (Roverandom) ที่ตีพิมพ์หลังจากที่ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว ทั้งยังอาจแนบไปพร้อมกับจดหมายที่อ้างว่ามาจากซานตาคลอสด้วย
แม้จะเห็นตัวท่านเองเป็นเพียงจิตรกรสมัครเล่น แต่สำนักพิมพ์ก็นิยมใช้งานศิลปะที่โทลคีนเขียนขึ้น อย่างเช่น แผนที่และภาพเขียนของท่านถูกจัดพิมพ์แบบเต็มหน้าหนังสือไว้ในนิยาย "เดอะฮ็อบบิท" ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกๆ แม้ท่านจะวาดภาพฉากต่างๆ และแผนที่สำหรับ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เอาไว้ แต่ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกก็ใช้เพียงภาพแผนที่ ภาพอักษรข้อความที่จารึกบนแหวนเอกธำมรงค์ และภาพวาดด้วยหมึกรูปประตูแห่งดูริน (Doors of Durin) เท่านั้น
ภาพวาดฝีมือโทลคีนจำนวนมาก ถูกรวบรวมนำมาจัดพิมพ์ในปี ค.ศ. 1995 ในชื่อ "เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน: ศิลปินและช่างภาพ" (J. R. R. Tolkien: Artist and Illustrator) ซึ่งบอกเล่าถึงภาพวาด ภาพเขียนและภาพร่างของท่านจำนวนกว่า 200 ชิ้น แคทเธอรีน แม็คอิลเวน เคยจัดแสดงผลงานศิลปะของโทลคีนที่ห้องสมุดบ็อดเลียนในชื่อ "โทลคีน: ผู้สร้างมัชฌิมโลก" (Tolkien: Maker of Middle-earth) พร้อมกับจัดพิมพ์หนังสือชื่อเดียวกันที่รวบรวมบทวิเคราะห์ความสำเร็จของโทลคีนและแสดงผลงานภาพเขียนฝีมือโทลคีนแบบเต็มภาพ
นวนิยายแฟนตาซีของโทลคีนที่มีมัชฌิมโลกเป็นฉากหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings) และ "ซิลมาริลเลียน" (The Silmarillion) แผ่อิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวางในหลายๆ ด้านซึ่งครอบคลุมความสนใจด้านนิรุกติศาสตร์ ภาษา ศาสนาคริสต์ ประวัติศาสตร์ยุคกลาง เทวปกรณ์ โบราณคดี วรรณกรรมทั้งยุคโบราณและสมัยใหม่ ตลอดจนประสบการณ์ส่วนบุคคล
การศึกษาวรรณกรรมภาษาอังกฤษโบราณโดยเฉพาะ "เบโอวูลฟ์" เป็นจุดศูนย์กลางของงานด้านนิรุกติศาสตร์ (Philology) ของโทลคีน อย่างเห็นได้ชัดด้วยเหตุที่ท่านยอมรับความสำคัญของงานดังกล่าวอย่างเปิดเผย ท่านมีพรสวรรค์ด้านภาษาศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาและเทวปกรณ์ของเยอรมัน เคลติก (Celtic) ฟินนิช และกรีก
นักวิจารณ์มากหน้าหลายตาพยายามที่จะจำแนกที่มาด้านวรรณกรรมที่เชื่อมโยงกับตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ ในงานเขียนของโทลคีน ตลอดจนนักเขียนบางท่านมีความสำคัญต่อโทลคีน อาทิ วิลเลียม มอร์ริส ผู้เป็นพหูสูตรทางด้านศิลปะและงานช่าง
โทลคีนยังใช้ชื่อของสถานที่ที่มีอยู่จริง อาทิ แบ็กเอนด์—อันเป็นบ้านของป้าเจนของท่าน ท่านยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ท่านเพลิดเพลินกับผลงานของนักเขียนนิยายผจญภัยสมัยใหม่อย่าง จอห์น บัคคั่น (John Buchan) และ เฮนรี ไรเดอร์ แฮ็กการ์ด (H. Rider Haggard ผู้เขียนนิยายท่องไพร "สมบัติพระศุลี—King Solomon's Mine" ที่เป็นเค้าโครงเรื่องของนิยายท่องไพร "เพชรพระอุมา" ของพนมเทียน)
นอกจากนี้ ยังมีร่องรอยของประสบการณ์ส่วนตัวของโทลคีนปรากฏในงานเขียนของท่านเองด้วย ชีวิตวัยเด็กในชนบทของอังกฤษนอกเมืองเบอร์มิงแฮมเป็นที่มาของ "เดอะไชร์" และ ชีวิตในสมรภูมิสนามเพลาะของสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นที่มาของคำบรรยายถึงมอร์ดอร์
อย่างไรก็ตาม ผลงานนวนิยายแฟนตาซีของโทลคีน ก็ไม่พ้นที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เอาจนได้ว่า ปรากฏร่องรอยของทัศนคติแบบเหยียดเชื้อชาติ นักวิชาการจำนวนหนึ่ง ระบุว่า งานเขียนของท่านได้รับอิทธิพลมาจากทัศนคติต่อเชื้อชาติแบบวิกตอเรียนและประเพณีของการเขียนวรรณกรรมเกี่ยวกับอสุรกาย และยังระบุถึงทัศนคติต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติทั้งในยามสงบและยามสงครามของท่านไว้ด้วย
นักวิจารณ์บางคนที่อ้างอิงภูมิหลังทางด้านสุพันธุศาสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กับความหวาดกลัวต่อการเสื่อมถอยทางศีลธรรม เห็นว่า คำบรรยายซึ่งพาดพิงถึงเชื้อชาติที่หลากหลายปะปนกันอยู่ใน "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็น การแปลงรูปของการเหยียดเชื้อชาติเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Racism) นักวิจารณ์อีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่า พวกอ็อร์กของโทลคีนเป็นการสะท้อนภาพล้อเลียนชาวญี่ปุ่นในโฆษณาชวนเชื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้ ยังมีข้อวิจารณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนรูปทางภูมิศาสตร์ของศีลธรรมจรรยาที่ซ่อนอยู่ในนิยายของท่าน กล่าวคือ ความดีงามอยู่ในโลกตะวันตก ความชั่วร้ายอยู่ในโลกตะวันออก อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งก็ยืนยันว่า มัชฌิมโลก เป็นโลกที่มีหลากวัฒนธรรมหลายภาษา และคำวิจารณ์โจมตีโทลคีนโดยอ้างถึงนวนิยาย "อภินิหารแหวนครองพิภพ" นั้น ล้วนแล้วแต่ละเลยหลักฐานที่ปรากฏเป็นข้อความในนิยายดังกล่าวทั้งสิ้น
แม้จะมีนักเขียนหลายท่านตีพิมพ์ผลงานนวนิยายแฟนตาซีก่อนโทลคีนไว้เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ความสำเร็จของ "เดอะฮ็อบบิท" และ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" นำไปสู่การฟื้นคืนความนิยมและกำหนดรูปแบบของประเภทนิยายแฟนตาซีสมัยใหม่โดยตรง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดโทลคีนจึงได้ชื่อว่าเป็น "บิดา" ของวรรณกรรมแฟนตาซีสมัยใหม่ หรือที่ถูกคือ "บิดา" ของนิยายแฟนตาซีชั้นสูง ไม่ต่างจากผลงานชุด "เอิร์ธซี" (Earthsea) ของ เออร์ซูลา เลอ กวิน
ในปี ค.ศ. 2008 นิตยสารเดอะไทม์ส (The Times) จัดให้โทลคีนเป็นหนึ่งใน "50 นักเขียนบริเตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา" อิทธิพลของท่านครอบคลุมไปถึงดนตรี—อันรวมไปถึงผลงานของชาวเดนมาร์กที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มโทลคีนและนำบทกวีทั้งหมดในนวนิยาย "อภินิหารแหวนครองพิภพ" มาใส่ท่วงทำนองเป็นบทเพลงของพวกเขาเอง—ไปจนถึงเกมส์จำนวนมากที่ใช้มัชฌิมโลกเป็นฉากหลัง
ตัวโทลคีนเองยังถูกนำไปสร้างเป็นตัวละครอ้างอิงในฐานะ "ศาสตราจารย์ เจ.บี. ทิมเบอร์มิลล์" ผู้สูงวัยในนวนิยายห้าเรื่องของชุด "บันไดทอดหนึ่งในเซอร์เรย์" (A Staircase in Surrey) ของ เจ.ไอ.เอ็ม. สจ๊วต ด้วย
นักวิชาการอย่าง ทอม ชิพพีย์ บรรยายถึงโทลคีนในฐานะ "นักเขียนแห่งศตวรรษ [ที่ 20]" และระบุว่า "ผมไม่คิดว่า จะมีนักเขียนนิยายแฟนตาซีสมัยใหม่ท่านใด เล็ดรอดไปจากอิทธิพลของโทลคีนไปได้ ไม่ว่าพวกท่านจะพยายามอย่างหนักแค่ไหนก็ตาม"
จอห์น คลูท เขียนเอาไว้ใน "ปทานุกรมของนิยายแฟนตาซี" โดยให้เกียรติโทลคีนว่าเป็น "นักเขียนนิยายแฟนตาซีผู้ทรงคุณค่ามากที่สุดเพียงหนึ่งเดียวแห่งศตวรรษที่ 20" งานเขียนของโทลคีนสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวัฒนธรรมป็อบของตะวันตกและยังคงทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในปี ค.ศ. 1951 โทลคีนเขียนจดหมายถึง มิลตัน วาลด์แมน (ชาตะกาล ค.ศ. 1895-1976) ผู้จัดการสำนักพิมพ์ บอกเล่าถึงความตั้งใจที่ท่านจะสร้าง "เนื้อหาที่เชื่อมโยงกับตำนานไม่มากก็น้อย" ซึ่ง "วงจรของเนื้อเรื่องทั้งหลายควรจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวอันสูงส่งทั้งหมดและยังมีที่ว่างให้กับความคิดและการทำงาน การวาดภาพ และ ดนตรี และ บทละคร" อันที่จริงแล้ว ความคิดและการทำงานของศิลปินหลายท่าน ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานของโทลคีนเป็นสำคัญ
ศิลปินที่โทลคีนรู้จักเป็นการส่วนตัวอย่าง พอลลีน เบนส์ เขียนภาพ "ทอม บอมบาดิล" และ "ไจลส์ ชาวนาแห่งแฮม" ในขณะที่ โดนัลด์ สวอนน์ เรียบเรียงดนตรีให้กับ "ถนนยังทอดยาวต่อไป" (The Road Goes Ever On) สมเด็จพระราชินี มาร์เกร็ตเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงเคยเขียนภาพ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ไว้ในตอนต้นทศวรรษ 1970 และทรงส่งภาพฝีพระหัตถ์ไปให้โทลคีนผู้ตกตะลึงในความคล้ายคลึงกันกับรูปแบบภาพเขียนของท่านเอง
โทลคีนไม่เคยแสดงท่าทีต่อต้านแนวคิดที่จะนำผลงานของท่านไปแปลงเป็นบทละคร และได้ขายลิขสิทธิ์ในการนำนิยาย "เดอะฮ็อบบิท" และ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ของท่านไปสร้างภาพยนตร์ ละครเวที และสินค้ารูปแบบต่างๆ ให้กับบริษัท ยูไนเต็ด อาร์ทิสต์ส ในปี ค.ศ. 1968 แต่ ยูไนเต็ด อาร์ทิสต์ส ก็ไม่ได้สร้างภาพยนตร์จากนิยายทั้งสองเรื่องเลย แม้ว่าผู้กำกับ จอห์น บัวร์แมน วางแผนสร้างภาพยนตร์แอ็คชั่นในตอนต้นทศวรรษ 1970 ไว้แล้วก็ตาม
ในปี ค.ศ. 1976 ยูไนเต็ด อาร์ทิสต์ส ขายลิขสิทธิ์ไปให้กับโทลคีนเอนเตอร์ไพรซ์ อันเป็นแผนกหนึ่งของบริษัท ซอลแซนท์ซ หลังจากนั้นภาพยนตร์เรื่อง "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ฉบับแรกก็ถูกนำออกฉายในปี ค.ศ. 1978 ในรูปแบบภาพยนตร์การ์ตูนที่กำกับโดย ราลฟ์ แบ็คชี เขียนบทภาพยนตร์โดย ปีเตอร์ เอส. บีเกิล แต่เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปเพียงครึ่งเรื่องของฉบับนิยายเท่านั้น
ในปี ค.ศ. 1977 แรงคิน-เบสส์ ก็นำเดอะฮ็อบบิทมาสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแบบมิวสิคัล ตามด้วยการสร้าง "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ภาคราชาคืนบัลลังก์ (The Return of the King) เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแบบมิวสิคัลเช่นกัน แต่บางส่วนในเนื้อเรื่องก็ไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก
ระหว่างปี ค.ศ. 2001-3 บริษัท นิวไลน์ซีนีมา สร้างไตรภาคภาพยนตร์ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" โดยให้ ปีเตอร์ แจ็คสัน ทำหน้าที่ผู้กำกับและไปถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ทั้งสามภาค เมื่อภาพยนตร์เวอร์ชั่นนี้ ออกฉายทั่วโลก ก็ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจอย่างล้นหลาม ทั้งยังได้รับรางวัลออสการ์หลายรางวัล
ช่วงปี ค.ศ. 2012-14 บริษัท วอร์เนอร์ บราเธอร์ส และ นิวไลน์ซีนีมา ร่วมกันสร้างไตรภาคภาพยนตร์ "เดอะฮ็อบบิท" โดย ปีเตอร์ แจ็คสัน รับหน้าที่ทั้งผู้กำกับ ผู้อำนวยการบริหารและร่วมเขียนบท ต่อมาในปี ค.ศ. 2017 บริษัท แอมะซอน ได้รับสิทธิเหนือภาพยนตร์ชุด "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ในการออกอากาศภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่องใหม่อันเป็นเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ใน "พันธมิตรแห่งแหวน" ไปทั่วโลก
ยังมีต่อ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา