11 มี.ค. เวลา 06:02 • ประวัติศาสตร์

ตามรอยโทลคีน 4

จากปากคำของจอห์นและพริสซิลลา ลูกชายและลูกสาวของโทลคีน "ในภายหลัง ท่านมักจะพูดถึงชีวิตในแนวหน้าเป็นครั้งคราว"
โทลคีนพูดถึงความน่ากลัวของการโจมตีด้วยแก็ซพิษของทหารเยอรมันเป็นครั้งแรกในสงคราม พูดถึงความเหนื่อยล้าและความเงียบราวกับลางร้ายหลังการทิ้งระเบิด พูดถึงเสียงกรีดหวีดหวิวของกระสุนปืนใหญ่และการเดินเท้าโดยไม่วันหยุดยั้งทัพผ่านพื้นที่รกร้างซึ่งบางครั้งก็ต้องแบกยุทโธปกรณ์รวมทั้งเครื่องใช้ส่วนตัวที่ช่วยสร้างกำลังใจให้ต่อสู้ต่อไปได้ อาทิ ของเก่าโบราณบางอย่างที่เหลือรอดมาจากเวลานั้นอย่าง แผนที่สนามเพลาะที่โทลคีนเขียนขึ้นด้วยตนเอง คำสั่งให้ขนลูกระเบิดไปยังแนวรบที่เขียนขึ้นด้วยดินสอ
เพื่อนรักจากวัยเรียนจากสโมสรชาและสมาคมบาร์โรว์ถูกฆ่าตายในสงครามหลายคน ในจำนวนนั้น คือ ร็อบ กิลสัน ที่เสียชีวิตตั้งแต่วันแรกในสมรภูมิซอมม์ขณะที่นำทหารใต้บังคับบัญชาเข้าโจมตีในยุทธการโบมอนต์ ฮาเมล อีกคนหนึ่งคือ เจฟฟรีย์ สมิธ เสียชีวิตระหว่างการรบเมื่อกระสุนปืนใหญ่ของเยอรมนีตกบนที่ตั้งของหน่วยทหารเสนารักษ์ กองพันของโทลคีนถูกกวาดล้างเกือบทั้งกองหลังจากที่ท่านกลับเกาะอังกฤษแล้ว
บันทึกของ จอห์น การ์ธ ระบุว่า กองทัพของจอมพลคิทชเนอร์ต้นสังกัดของโทลคีน ตีกรอบทางสังคมและโต้กลับระบบชนชั้นโดยจับทุกคนเหวี่ยงเข้าไปในสถานการณ์อันสิ้นหวังด้วยกันทั้งหมด โทลคีนรู้สึกเป็นซาบซึ้งใจในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเขียนไว้ว่า เรื่องนั้นสอนให้ท่านรู้สึกเห็นใจเหล่า "ทอมมี่ แอ็ทคินส์" อย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเกณฑ์จากพื้นที่เกษตรกรรม
[Tommy Atkins มาจากชื่อ Thomas Atkins เป็นคำสแลงที่ใช้เรียกพลทหารในกองทัพบริเตนโดยใช้ทั้งในเอกสารอ้างอิงหรือรูปแบบของการเรียกขานทั่วไป คำนี้เริ่มใช้กันในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่มาใช้อย่างกว้างขวางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้กระทั่งในหมู่ทหารเยอรมันเมื่อต้องการเจรจากับทหารอังกฤษที่อยู่คนละฟากของพื้นที่กันชน (no man's land) ก็จะตะโกนเรียกว่า "ทอมมี่"
ทหารชาวฝรั่งเศสและทหารจากประเทศในเครือจักรภพก็จะเรียกทหารในกองทัพบริเตนว่า "ทอมมี่" เช่นกัน ทุกวันนี้ คำนี้แทบจะไม่ใช้กันแล้ว แต่อาจได้ยินเป็นบางครั้งบางคราวเพราะพลทหารในกองทหารพลร่มของกองทัพบริเตนยังถูกเรียกว่า "ทอม" ในบางสถานการณ์
ที่มาของคำนี้ เชื่อกันว่า มาจากเหตุการณ์ในสมรภูมิบ็อกซ์เทล "The Battle of Boxtel" ระหว่างการรุกรานฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1794 เมื่อ อาเธอร์ เวลล์เลสลีย์ ดยุคแห่งเวลลิงตันในเวลานั้น เป็นผู้บัญชาการกองทหารราบที่ 33 มาพบกับพลทหารทอมมี่ แอ็ทคินส์ ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เจ้าตัวกล่าวสั้นๆ ก่อนที่จะสิ้นลมว่า "ไม่เป็นไรครับผม มันเป็นภารกิจประจำวันอยู่แล้ว-It's all right, sir. It's all in a day's work"
หลังจากนั้น ชื่อ "ทอมมี่ แอ็ทคินส์" จึงถูกใช้เรียกบรรดาพลทหารเพื่อปลุกเร้าให้ฮึกเหิมในศักดิ์ศรีของทหารกล้า]
โทลคีนที่ซูบผอมและอ่อนแอ ใช้เวลาที่เหลือในช่วงสงครามสลับไปมาระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเข้าประจำการในกองทหารรักษาการณ์ โดยได้รับการวินิจฉัยว่า สุขภาพไม่ดีพอที่จะปฎิบัติหน้าที่ราชการ
ระหว่างที่พักฟื้นฟูสุขภาพที่ลิตเติ้ลเฮย์วู้ดในสแตฟฟอร์ดเชอร์ โทลคีนเริ่มงานเขียนชื่อ "หนังสือแห่งเทพนิยายที่หายสาบสูญ" (The Book of Lost Tales) ซึ่งเริ่มต้นด้วย "การล่มสลายของกอนโดลิน" (The Fall of Gondolin) เทพนิยายที่หายสาบสูญเป็นสัญลักษณ์แห่งความพยายามของโทลคีนในการสร้างเทวปกรณ์ของอังกฤษ แต่ก็เป็นหนังสือที่ท่านเขียนไม่จบ
ตลอดปี ค.ศ. 1917-8 อาการป่วยของโทลคีนกำเริบขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ดีขึ้นพอที่จะให้ท่านปฏิบัติราชการที่ค่ายทหารในบ้านเกิดเมืองนอน ในช่วงเวลานี้เอง อีดิธได้ให้กำเนิดลูกคนแรก เป็นเด็กชายชื่อ จอห์น ฟรานซิส รูล โทลคีน (John Francis Reuel Tolkien)
โทลคีนได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโทในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1918 ครั้งหนึ่งขณะที่ประจำการอยู่ที่เมืองคิงสตันอัพพอนฮัลล์ (เรียกกันสั้นๆ ว่า ฮัลล์) ระหว่างที่สองสามีภรรยาเดินเล่นในราวป่าใกล้กับเมืองรูส์ เมื่อถึงลานกลางดงเฮมล็อค (พืชในตระกูลฝิ่น) อีดิธก็เต้นรำให้โทลคีนชม หลังจากที่อีดิธถึงแก่กรรม โทลคีนรำลึกถึงช่วงเวลานั้นว่า
"ผมไม่เคยเรียกอีดิธว่า ลูธีเอน (Luthien) แต่เธอเป็นต้นเรื่องที่กลายมาเป็นเนื้อหานำของซิลมาริเลียน (Silmarillion) มันเกิดขึ้นครั้งแรกในทุ่งโล่งในป่าละเมาะที่เต็มไปด้วยเฮมล็อคที่รูส์ในยอร์คเชอร์ (ที่ผมรับหน้าที่บังคับบัญชาด่านเล็กๆ ของกองทหารรักษาการณ์ฮัมเบอร์เป็นช่วงสั้นๆ ในปี 1917 และเธอมาอยู่กับผมได้ชั่วเวลาหนึ่ง)
ในเวลานั้น ผมของเธอดำราวขนกา ผิวเกลี้ยงเกลา ดวงตาสดใสกว่าที่เคยเป็นมา และเธออยู่ในอารมณ์ที่จะร้องเล่นเต้นรำ แต่ทุกอย่างก็เริ่มเบี้ยวบิดผิดทาง ผมก็ต้องจากมาและไม่อาจอุทธรณ์ต่อแมนโดส (Mandos) ที่ไม่ยอมผ่อนปรนใดๆ"
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1919 โทลคีนถูกพักราชการที่โฟแวนท์แถบซัลสเบอรี พร้อมกับได้รับเบี้ยบำนาญทุพพลภาพชั่วคราว ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 โทลคีนก็ถูกปลดประจำการออกจากกองทัพ แต่ยังคงยศร้อยโท เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง โทลคีนได้งานพลเรือนงานแรกในปี ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นงานจัดทำพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford English Dictionary) ที่ท่านทำงานด้านประวัติศาสตร์และนิรุกติศาสตร์โดยศึกษากำเนิดและพัฒนาการของคำในยุคต่างๆ ที่มีจุดกำเนิดมาจากภาษาเยอรมัน ซึ่งเริ่มต้นจากตัวอักษร W
เมื่อถึงกลางปี ค.ศ. 1919 โทลคีนเริ่มรับงานเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาปริญญาตรีเป็นการส่วนตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาของเลดี้มาร์กาเร็ตฮอลล์และวิทยาลัยเซนต์ฮิวจ์ ด้วยเหตุที่นักศึกษาหญิงชั้นปีแรกๆ ต้องการครูดีๆ เป็นอย่างยิ่ง และท่านได้รับการพิจารณาว่าเหมาะกับงานนี้มากกว่าคนโสดเพราะเป็นอาจารย์ที่แต่งงานแล้วซึ่งไม่ปรกตินักในเวลานั้น
ในปี ค.ศ. 1920 ท่านรับหน้าที่อาจารย์ผู้ช่วยด้านภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยลีดส์โดยเป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยและมีส่วนสำคัญในการเพิ่มจำนวนนักศึกษาด้านภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลีดส์ในเวลานั้นจากจำนวน 5 คนเป็น 20 คน
ท่านรับผิดชอบวิชาว่าด้วยบทกวีสรรเสริญวีรบุรุษในภาษาอังกฤษโบราณ รวมทั้งวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับบันทึกในภาษาอังกฤษโบราณ ภาษาอังกฤษยุคกลางนิรุกติศาสตร์ของภาษาเยอรมันเบื้องต้น ภาษาโกธิค ภาษาไอซ์แลนด์โบราณ และภาษาเวลช์สมัยกลาง ท่านมีความรู้ในภาษาฟินนิชระดับหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
ต่อมาในใบสมัครเข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์รอว์ลินสันและบอสเวิร์ธของวิทยาลัยเพมโบรคของอ็อกซ์ฟอร์ด ท่านถึงกับโอ่ว่า นักศึกษาวิชานิรุกติศาสตร์ภาษาเยอรมันของท่านที่มหาวิทยาลัยลีดส์ถึงกับก่อตั้งสโมสรไวกิ้งส์ (Viking Club) ขึ้นมาด้วย
ในช่วงที่ใช้ชีวิตในเมืองลีดส์ โทลคีนจัดทำหนังสือรวมศัพท์สำหรับภาษาอังกฤษระดับกลาง และยังร่วมกับ อี.วี.กอร์ดอนเขียนหนังสือชื่อ "เซอร์กาเวนและอัศวินกรีน" (A definitive edition of Sir Gawain and the Green Knight) ซึ่งทั้งสองเล่มกลายมาเป็นมาตรฐานของงานวิชาการต่อมาอีกหลายทศวรรษ
ท่านยังแปลเรื่องของเซอร์กาเวน เพิร์ล และเซอร์ออร์ฟีโอ เอาไว้ด้วย แต่งานแปลชิ้นนี้ก็ไม่ได้ถูกนำไปตีพิมพ์จนกระทั่งปี ค.ศ. 1975 หลังจากที่ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว ในปี ค.ศ. 1924 ท่านได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากอาจารย์ผู้ช่วยขึ้นเป็นศาสตราจารย์
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 โทลคีนย้ายมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 20 ถนนนอร์ธมัวร์ ทางตอนเหนือของเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดเพื่อเข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์รอว์ลินสันและบอสเวิร์ธด้านแองโกล-แซ็กซั่นและมีฐานะเป็นบัณฑิต (Fellow) ของวิทยาลัยเพมโบรคด้วย ระหว่างทำงานที่วิทยาลัยเพมโบรค ท่านเริ่มเขียนนิยายเรื่อง "เดอะฮ็อบบิท" (The Hobbit) รวมถึงสองเล่มแรกของ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings)
หลังจากที่เซอร์มอร์ติเมอร์ วีลเลอร์ ขุดค้นพบวิหารอัสคลีพีไอออนของโรมัน (Asclepieion) ที่ลีดนีย์พาร์ค โกลสเตอร์เชอร์ในปี ค.ศ. 1928 ท่านก็เขียนบทความด้านนิรุกติศาสตร์ (philology) ชื่อ "โนเดนส์" ที่ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1932
ในช่วงทศวรรษ 1920 โทลคีนแปลเรื่องราวของ "เบโอวูลฟ์" (Beowulf) จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1926 แต่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่จนกระทั่ง คริสโตเฟอร์ โทลคีน ลูกชายคนที่ 3 ของท่านนำมาปรับปรุงแก้ไขจึงได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 2014
ลูอิส อี. นิโคลสัน ระบุว่า บทความชิ้นดังกล่าว "เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นจุดเปลี่ยนของการการศึกษาเบโอวูลฟ์ และชี้ว่า โทลคีนให้คุณค่าต่อเบโอวูลฟ์ ด้านลักษณะบทกวีที่ตรงกันข้ามกับองค์ประกอบทางภาษาแท้ๆ เพราะในเวลานั้น แวดวงวิชาการวรรณกรรมพร้อมใจกันติเตียนดูแคลนเบโอวูลฟ์ที่มัวแต่รบกับอสุรกายราวกับเป็นเด็กๆ แต่ละเลยการสงครามระหว่างชนเผ่าในความเป็นจริง
โทลคีนแย้งว่า ผู้เขียนเบโอวูลฟ์ พยายามชี้ให้เห็นถึงชะตากรรมของมนุษย์เป็นการทั่วไป ไม่ได้จำกัดอยู่กับการเมืองระหว่างชนเผ่าเป็นการเฉพาะ ฉะนั้นแล้ว อสุรกายจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อบทกวี เมื่อเบโอวูลฟ์จัดการกับความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าเป็นการเฉพาะ อย่างในกรณีฟินน์สบวร์ก โทลคีนก็แย้งอย่างหนักแน่นต่อองค์ประกอบอันน่ามหัศจรรย์
ในบทความดังกล่าว โทลคีนเขียนไว้ว่า "เบโอวูลฟ์ เป็นงานที่มีค่าสูงสุดของผมชิ้นหนึ่ง" ซึ่งเป็นการยกย่องวรรณกรรมเรื่อง "เบโอวูลฟ์" ไว้สูงส่ง ไม่เพียงเท่านั้น เบโอวูลฟ์ยังปรากฏร่องรอยให้เห็นได้ในงานเขียนของท่านทุกๆ ชิ้นที่มีเรื่องราวของมัชฌิมโลก (Middle-earth)
ในปี ค.ศ. 1936 ราวสิบปีหลังจากที่แปลเบโอวูลฟ์แล้วเสร็จ โทลคีนรับเชิญไปบรรยายในหัวข้อ "เบโอวูลฟ์: อสุรกายและบทวิพากษ์" (Beowulf: The Monsters and the Critics) ที่ไม่เพียงแต่ได้รับคำยกย่องเท่านั้น หากการบรรยายครั้งนั้น ยังส่งอิทธิพลต่อการศึกษาวิจัยเรื่องราวของเบโอวูลฟ์ต่อมาอย่างยาวนาน
โทลคีนเริ่มซีรีส์การบรรยายเกี่ยวกับเบโอวูลฟ์ในรูปแบบที่น่าทึ่ง โดยเดินเข้ามาให้ห้องบรรยายอย่างเงียบๆ ตรึงผู้ฟังด้วยการจ้องเขม็ง แล้วแผดร้องเสียงดังลั่นขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดว่า "เวท์" (Hwæt) ก่อนจะตามด้วยการท่องบาทแรกของบทกวีด้วยภาษาอังกฤษแบบเก่าอย่างฉะฉานจริงจัง นั่นเป็นการเลียนแบบกวีในโรงเหล้าของชาวแองโกล-แซ็กซั่นได้อย่างน่าเร้าใจ และส่งผลให้บรรดานักเรียนตระหนักว่า เบโอวูลฟ์ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกเรื่องหนึ่ง หากเป็น "ชิ้นงานบทกวีอันเร้าใจที่ทรงพลัง"
หลายทศวรรษต่อมา ดับบลิว. เอช. ออเดน เขียนจดหมายถึงโทลคีนผู้เป็นอาจารย์เก่าเพื่อขอบคุณที่ได้รับโอกาสฟังสาธยายเรื่องราวของเบโอวูลฟ์จากท่านโดยตรง และระบุว่า "เสียงนั่น คือเสียงของแกนดัลฟ์"
ช่วงของการบ่มเพาะเงื่อนไขของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โทลคีนถูกกำหนดให้อยู่ในกลุ่มนักถอดรหัส ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1939 ท่านได้รับคำร้องขอให้ปฏิบัติงานในแผนกการเข้ารหัสของสำนักงานกิจการต่างประเทศเมื่อปรากฏสัญญาณภาวะฉุกเฉินของชาติ และเข้ารับการอบรมระเบียบปฏิบัติในวันที่ 27 มีนาคมปีเดียวกันที่กองบัญชาการของสถาบันรหัสและการเข้ารหัสของรัฐบาล แต่เมื่อถึงเดือนตุลาคม ก็ได้รับแจ้งว่า รัฐบาลไม่ต้องการใช้งานท่านอีกต่อไปแล้ว
ในปี ค.ศ. 1945 โทลคีนย้ายจากวิทยาลัย Pembroke College มารับตำแหน่ง "ศาสตราจารย์ภาษาอังกฤษและวรรณกรรม" ของวิทยาลัย Merton College และเป็นช่วงเวลาที่ทำงาน ณ วิทยาลัยแห่งนี้เอง ที่ท่านเขียนนิยาย "อภินิหารแหวนครองพิภพ" จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1948 หลังจากเริ่มร่างเค้าโครงเรื่องมาตั้งแต่กว่าหนึ่งทศวรรษก่อนหน้านี้ โทลคีนมีรายได้จากยอดขายนวนิยายทั้งสองเรื่องดีมากจนกระทั่งท่านอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมไม่เกษียณอายุตั้งแต่เนิ่นๆ
โทลคีนทำงานที่วิทยาลัย Merton College จนกระทั่งเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1959 แต่จากนั้น ก็ยังทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบภายนอกให้กับยูนิเวอร์ซิตี้คอลเลจแห่งกัลเวย์ (University College of Galway ปัจจุบันคือ NUI Galway) ต่อมาอีกหลายปี
นอกจากนี้ ท่านยังรับงานเป็นที่ปรึกษาและนักแปลให้กับโครงการจัดทำ "พระคัมภีร์แห่งพันธะสัญญาฉบับเยรูซาเลม" ซึ่งต่อมาถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1966 โดยเมื่อแรกเริ่มทำงานนั้น ท่านรับแปลชิ้นงานส่วนใหญ่ แต่จากภาระงานอื่นๆ ท่านจึงทำได้เพียงเขียนบทวิจารณ์บางประเด็นให้กับผู้แปลรายอื่นและได้แปลเพียง "บันทึกของโยนาห์" (Book of Jonah) เท่านั้น
ในปี ค.ศ. 1961 ซี.เอส. ลูอิส (C.S. Lewis เจ้าของผลงาน "อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย" The Chronicles of Narnia) ผู้เป็นเพื่อนสนิทของโทลคีนเป็นตัวตั้งตัวตีเสนอชื่อท่านให้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
หลังจากเกษียณจากอาชีพอาจารย์ในปี ค.ศ. 1959 โทลคีนได้รับความสนใจจากสาธารณชนและชื่อเสียงในแวดวงวรรณกรรมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ท่านบ่นในจดหมายที่เขียนในปี ค.ศ. 1972 ว่า รู้สึกเสียใจที่กลายเป็นคนสำคัญของเหล่าแฟนนิยายที่ประพฤติตัวไม่ต่างจากพวกคลั่งลัทธิ แต่ก็ยอมรับว่า "แม้แต่ไอดอลที่สุดแสนจะถ่อมตัว .... ก็ยังอดจั๊กจี้จมูกคันจุ๊กจิ๊กไม่ได้ เมื่อได้กลิ่นกำยานอันหอมหวล" (หมายถึงว่า ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกของตนเองจากอาการหัวใจพองโตเมื่อได้รับความชื่นชมจากคนหมู่มาก)
ความสนใจจากแฟนๆ มีมากล้นท้นท่วมยิ่งขึ้นจนโทลคีนต้องขอให้ถอดเลขหมายโทรศัพท์ของท่านออกจากสมุดโทรศัพท์สาธารณะ ในที่สุด ท่านและภรรยาต้องย้ายไปอยู่ที่บอร์นมัธ ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองพักผ่อนชายทะเลยอดนิยมของชนชั้นกลางสูงของบริเตน
สถานะนักเขียนหนังสือขายดีช่วยให้โทลคีนได้รับการยอมรับในสังคมใหม่อย่างง่ายดาย แต่ท่านกลับถวิลหาเพื่อนพ้องในกลุ่ม "หยดหมึก" (Inklings) ในทางตรงกันข้าม อีดิธกลับรู้สึกเบิกบานสำราญใจในบทบาทผู้หญิงแถวหน้าในสังคมใหม่
ที่โทลคีนตัดสินใจเลือกย้ายมาบอร์มัธเป็นการสละชีวิตในอ็อกซ์ฟอร์ดเพื่อให้อีดิธได้มาอยู่ที่บอร์นมัธ ก็ด้วยความรักอันลึกซึ้งและจริงใจระหว่างท่านกับอีดิธ ซึ่งยังสะท้อนให้เห็นได้จากความห่วงใยใส่ใจในสุขภาพของกันและกัน หรืออย่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น การห่อของขวัญ ตลอดจนความภาคภูมิใจที่เธอมีให้กับการก้าวขึ้นมาเป็นนักเขียนชื่อดังของโทลคีน ทั้งสองยังผูกพันกันจากความรักที่มีต่อลูกๆ หลานๆ อีกด้วย
อีดิธถึงแก่กรรมในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1971 ในวัย 82 ปี ศพของเธอถูกนำมาฝังไว้ที่สุสานวูล์ฟเฟอร์โคท (Wolvercote Cemetery) ทางตอนเหนือของเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดโดยโทลคีนจารึกชื่อ "ลูธีเอน" (Luthien) บนป้ายสุสานของอีดิธ หลังจากนั้น ท่านก็ย้ายกลับมาอ็อกซ์ฟอร์ดโดยทางวิทยาลัย Merton College จัดห้องพักที่สะดวกสบายใกล้กับถนน High Street ให้อาศัย แม้จะคิดถึงอีดิธ แต่ท่านก็ดีใจที่ได้กลับมาอ็อกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง
ในโอกาสการเฉลิมฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่ ค.ศ. 1972 โทลคีนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น Commander of the Order of the British Empire อันเป็นเครื่องยศสูงสุดในชั้น Order of the British Empire โดยท่านได้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าวที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1972 และท่านยังได้รับการประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาอักษรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปีเดียวกันด้วย
21 เดือนหลังมรณกรรมของอีดิธ โทลคีนก็ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1973 ในวัย 81 ปีจากการตกเลือดจากแผลในกระเพาะอาหารและติดเชื้อในช่องอก ศพของท่านถูกนำไปฝังไว้ในหลุมฝังศพเดียวกันกับอีดิธ ผู้เป็นภรรยาโดยมีชื่อ "เบเรน" (Beren) จารึกต่อจากชื่อของท่านเอง พินัยกรรมของท่านได้รับการเปิดเผยในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1973 เป็นทรัพย์สินมูลค่า 190,577 ปอนด์สเตอลิง หรือราว 2,911,000 ปอนด์สเตอร์ลิงตามค่าของเงินในปี ค.ศ. 2023
ก่อนจะถึงแก่กรรม โทลคีนเจรจาขายเอกสารต้นฉบับ ร่างงานเขียน ต้นฉบับพิสูจน์อักษร และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลงานที่ตีได้รับการพิมพ์แล้ว เช่น "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings) "เดอะฮ็อบบิท" (The Hobbit) และ "ไจลส์ ชาวนาแห่งแฮม" (Farmer Giles of Ham) ให้กับแผนกชุดสะสมพิเศษและหอจดหมายเหตุของห้องสมุดมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยมาร์เค็ตต์แห่งจอห์น พี. เรย์นอร์, เอส.เจ. (Marquette University's John P. Raynor, S.J.) ในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
หลังมรณกรรม เอกสารต่างๆ ที่มีตำนานซิลมาริลเลียนตลอดจนผลงานวิชาการของโทลคีน ถูกบริจาคให้กับห้องสมุดบ็อดเลียนของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 บางส่วนของร่างงานเขียนเกี่ยวกับภาษาและธรรมชาติของมนุษย์ที่โทลคีนเขียนร่วมกับ ซี.เอส. ลูอิส แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ถูกค้นพบในห้องสมุดบ็อดเลียน ในปี ค.ศ. 2018 ห้องสมุดบ็อดเลียนจึงจัดแสดงผลงานของโทลคีนโดยมีผลงานมากกว่า 60 ชิ้นที่ไม่เคยปรากฎต่อสาธารณะมาก่อน
โบสถ์ออเรโทรีแห่งอ็อกซ์ฟอร์ด (The Oxford Oratory) อันเป็นที่โทลคีนไปปฏิบัติศาสนกิจระหว่างที่อาศัยอยู่ในอ็อกซ์ฟอร์ด อุทิศพิธีมิสซาแรกของวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2017 ให้เป็นพิธีมิสซาบุญราศีตามความประสงค์ของโทลคีน
ชีวประวัติของโทลคีนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ "โทลคีน" (Tolkien 2019) ที่เน้นเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กและประสบการณ์ในสงครามของโทลคีน ทว่า ครอบครัวและผู้จัดการสินทรัพย์ของโทลคีนปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวโดยประกาศว่า ไม่เคยรับรอง มอบอำนาจ หรือ มีส่วนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
ยังมีต่อ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา