14 ก.พ. เวลา 07:53 • ประวัติศาสตร์

ตามรอยโทลคีน 3

ย้อนไปในปี ค.ศ. 1908 เมื่อโทลคีนในวัย 16 ปีและฮิลารีผู้เป็นน้อง ย้ายไปอยู่ที่บ้านบนถนนดัชเชสส์ในเขตเอดจ์บาสตัน โทลคีนได้พบกับอีดิธ แมรี แบร็ทท์ (Edith Mary Bratt) หญิงสาวในวัย 19 ปีที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ เล่าว่า "อีดิธและโรนัลด์ไปร้านชาในเมืองเบอร์มิงแฮมด้วยกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านแห่งหนึ่งที่มีระเบียงที่มองเห็นทางเท้าที่ที่ทั้งสองจะนั่งร่วมโต๊ะแล้วช่วยกันโยนก้อนน้ำตาลลงบนหมวกของผู้คนที่เดินผ่านไปมาก่อนจะย้ายไปนั่งที่โต๊ะตัวใหม่เมื่อโยนก้อนน้ำตาลจนหมดถ้วย" กิจกรรมของอีดิธและโรนัลด์ในร้านน้ำชาที่คาร์เพนเตอร์เล่าไว้นี้ ถูกนำไปบรรจุไว้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Tolkien (2019) ด้วย
ฮัมฟรีย์ คาร์เพนเตอร์ สรุปถึงความสัมพันธ์ของอีดิธและโรนัลด์ไว้ว่า "ด้วยนิสัยใจคอและฐานะของทั้งสอง เรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงก็งอกงามเบิกบาน ทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าที่ต่างต้องการความรัก และทั้งสองก็พบว่า เป็นสิ่งที่มอบให้กันและกันได้ ระหว่างปี ค.ศ. 1909 ทั้งสองต่างแน่ใจว่า มีความรักระหว่างกัน"
คุณพ่อมอร์แกน ในฐานะผู้ปกครองของสองพี่น้องโทลคีน เห็นว่าทั้งสอง "ไม่มีอนาคตหากจะอยู่ร่วมกัน" เหตุผลสำคัญคือ อีดิธมีอายุมากกว่าแต่ที่สำคัญคือ เธอเป็น "โปรเทสแทนต์" โทลคีนเขียนบันทึกว่า "ความเครียดที่เกิดขึ้นส่งผลให้ท่านมีผลการสอบที่ย่ำแย่"
คุณพ่อมอร์แกนห้ามโทลคีนมิให้พบปะ พูดคุยหรือส่งจดหมายติดต่อกับอีดิธจนกว่าจะอายุครบ 21 ปี โทลคีนยอมรับคำห้ามปรามดังกล่าว แต่นั่นอาจเป็นเพราะ คุณพ่อมอร์แกนขู่ที่จะตัดโอกาสที่จะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย หากโทลคีนไม่ยอมยุติความสัมพันธ์ดังกล่าว ทั้งยังกีดกันโดยย้ายโทลคีนและน้องชายไปอยู่ในบ้านที่ถนนไฮก์ฟิลด์ ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายของโทลคีนในเมืองเบอร์มิงแฮม
ในยามเย็นของวันคล้ายวันเกิดปีที่ 21 โทลคีนเขียนจดหมายถึงอีดิธที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของ ซี.เอช. เจสซ็อพ ที่เชลท์แนห์ม ประกาศว่า ท่านจะไม่มีวันเลิกรักเธอและขอแต่งงานกับเธอ อีดิธตอบว่า เธอตอบตกลงที่จะแต่งงานกับ จอร์ช ฟิลด์ ผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทที่สุดในโรงเรียนของเธอแล้ว แต่ทั้งนี้ ก็ด้วยความรู้สึกว่า เธอมี "ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง" แล้ว และเริ่มสงสัยว่า โทลคีนยังคงห่วงใยใส่ใจเธออยู่อีกหรือเปล่า อีดิธเล่าว่า เพราะจดหมายของโทลคีน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1913 โทลคีนโดยสารรถไฟไปเชลท์แนห์มและพบว่าอีดิธคอยอยู่บนชานชาลาสถานี ทั้งสองเดินคู่กันผ่านทุ่งหญ้าก่อนจะไปนั่งเคียงกัน พูดคุยกันบนสะพานรถไฟจนถึงยามเย็น เมื่อนั้นเอง อีดิธก็ยอมรับคำขอแต่งงานของโทลคีน เธอเขียนจดหมายถึงฟิลด์พร้อมกับคืนแหวนหมั้น
ฟิลด์รู้สึกเสียใจสุดขีดในตอนแรก และตระกูลฟิลด์รู้สึกเสียหน้าและโกรธเกรี้ยว ฟิลด์เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองของอีดิธว่า "ผมไม่มีคำพูดคัดค้านโทลคีน ด้วยเหตุที่ท่านเป็นสุภาพบุรุษผู้มีวัฒนธรรม แต่ด้วยฐานะยากจนสุดขีด และผมนึกไม่ออกว่า เมื่อใดท่านจะอยู่ในฐานะที่จะแต่งงานได้ หากมีอาชีพการงานแน่นอน ก็อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
หลังการหมั้นหมาย อีดิธลังเลที่จะประกาศการเปลี่ยนมาเข้ารีตแคธอลิกตามที่โทลคีนยืนกราน เจสซ็อพ-เช่นเดียวกันกับคนที่อยู่ในชนชั้นและวัยเดียวกันกับเขาที่ต่อต้านแคธอลิกอย่างรุนแรง-โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงจนถึงกับสั่งให้อีดิธหาที่อยู่ใหม่
อีดิธ แบร็ทท์ และ จอห์น โรนัลด์ โทลคีนหมั้นหมายกันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1913 และแต่งงานกันที่โบสถ์แคธอลิกนักบุญแมรี่ที่เมืองวอริค (Warwick) ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1916 ในปี ค.ศ. 1941 โทลคีนเขียนจดหมายถึงไมเคิล ลูกชายคนรอง บอกเล่าถึงความชื่นชมความตั้งใจของภรรยาที่ยินยอมจะแต่งงานกับชายที่ไม่มีงานทำ มีเงินเพียงเล็กน้อย และไม่มีทรัพย์ศฤงคารใดๆ เว้นแต่ความเป็นไปได้ที่จะต้องถูกฆ่าตายในสงครามใหญ่
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 บริเตนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ญาติๆ ของโทลคีนต่างพากันตกใจสุดขีดเมื่อโทลคีนเลือกที่จะไม่อาสาสมัครเข้าประจำการในกองทัพบริเตนในทันที
ในจดหมายถึงไมเคิล ลูกชายคนรองในปี ค.ศ. 1941 โทลคีนรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "ในช่วงนั้น ชายหนุ่มหากไม่สมัครเข้ากองทัพ ก็จะถูกประณามในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย มันเป็นทางเลือกอันชวนคลื่นเหียนสำหรับชายหนุ่มผู้มีจินตนาการมากเกินไปแต่มีความกล้าหาญทางกายเพียงน้อยนิด" ในทางตรงกันข้าม โทลคีนยอมที่จะแบกรับ "คำประณามอย่างรุนแรง" และเลือกที่จะชะลอการเข้าประจำการจนกว่าจะเรียนจบ
เมื่อถึงเวลาที่ผ่านการสอบไล่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 โทลคีนรำลึกถึงคำแนะนำเป็นนัยๆ จากคำพูดตรงไปตรงมาจากบรรดาญาติๆ ท่านบรรจุเข้าประจำการเป็นนายทหารสัญญาบัตรมียศร้อยตรีในกองทัพแลงคาสเชอร์ฟูซิลิเยอร์ส (Lancashire Fusiliers) ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1915 โดยเข้ารับการฝึกเป็นเวลา 11 เดือนกับกองกำลังสำรองที่ 13 ที่แคนน็อคเชส ค่ายรูจลีย์ใกล้กับเมืองรูจลีย์ในสแตฟฟอร์ดเชอร์ โทลคีนบ่นกับอีดิธผ่านจดหมายว่า "สุภาพบุรุษมีจำนวนเพียงน้อยนิดในหมู่นายทหารระดับสูง และแม้แต่ความเป็นมนุษย์ก็มีน้อยเต็มที"
วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1916 โทลคีนได้รับหมายเรียกให้รายงานตัวที่โฟล์คสโตนเพื่อไปราชการสงครามในฝรั่งเศส ทั้งสองค้างแรมด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนที่โทลคีนจะออกเดินทางไปฝรั่งเศสในโรงแรม "เดอะพลาวฟ์แอนด์แฮร์โรว์" (The Plough & Harrow Hotel) ในเขตเอดจ์บาสตัน เมืองเบอร์มิงแฮม (ปัจจุบันคือ โรงแรม "เดอะเบสท์เวสต์เทิร์นพลาวฟ์แอนด์แฮร์โรว์-The Best Western Plough and Harrow Hotel") บนถนนพลาวฟ์แอนด์แฮร์โรว์ที่เชื่อมต่อกับถนนวอเตอร์เวิร์คอันเป็นที่ตั้งของหอคอยเจ้าโง่เพอร์ร็อทท์และหอประปาเอดจ์บาสตัน
โทลคีนเขียนในภายหลังว่า "นายทหารชั้นผู้น้อยต่างถูกฆ่าตายนาทีละนับสิบคน การแยกจากภรรยาของผมในตอนนั้น ... มันไม่ต่างอะไรกับการตายเลย"
ในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1916 โทลคีนขึ้นเรือลำเลียงพลข้ามไปยังฝรั่งเศสโดยแวะพักที่คาเล่ย์สหนึ่งคืน เมื่อถึงท่าเรือคาเล่ย์ส ทหารทุกคนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก ถูกส่งไปประจำการที่ค่ายพักของกองกำลังรบนอกราชอาณาจักรของบริเตนที่คลังสินค้าของท่าเรือเอตาเปลอส์ (Étaples) ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1916 โทลคีนได้รับแจ้งว่า ท่านได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่นายทหารสื่อสาร (Signals Officer) ประจำกองพันที่ 11 ที่เป็นส่วนหนึ่งของกองพลน้อยที่ 74 กองพลที่ 25 กองทัพแลงคาสเชอร์ฟูซิลิเยอร์ส
ระหว่างที่รอเวลาเข้ากรมกอง โทลคีนจมจ่อมอยู่กับความเบื่อหน่าย และฆ่าเวลาด้วยการเขียนบทกวีชื่อ "เกาะน้อยอันโดดเดี่ยว" (The Lonely Isle) ซึ่งเกิดจากความรู้สึกอ้างว้างระหว่างที่เดินทางข้ามช่องแคบโดเวอร์มายังคาเล่ย์ส
โทลคีนพยายามหลบหลีกการตรวจสอบจดหมายของกองทัพบริเตนโดยพัฒนาระหัสแบบจุดขึ้นมาเพื่อใช้แจ้งข่าวให้อีดิธรับทราบความเคลื่อนไหวของท่าน โทลคีนออกจากท่าเรือเอตาเปลอส์ในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1916 และเข้าร่วมกับกองพันที่ 11 ที่รูบองเพร (Rubempré) ที่ใกล้เมืองอาเมียงส์ (Amiens) ท่านพบว่าตัวเองต้องบังคับบัญชาทหารเกณฑ์กลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนงานจากที่ต่างๆ อาทิ เหมืองแร่ โรงสี และโรงทอผ้าจากแลงคาสเชอร์
ท่านรู้สึกผูกพันกับชนชั้นผู้ใช้งานเหล่านี้ แต่ระเบียบของกองทัพ ก็ห้ามการผูกมิตร 'ข้ามชั้นยศ' ในทางตรงกันข้าม ท่านต้องสร้างระเบียบวินัย ฝึกอบรมทหารใต้บังคับบัญชา รวมทั้งอาจต้องตรวจสอบจดหมายของทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้น หากจำเป็น ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความจงรักภักดีจากทหารเหล่านั้น โทลคีนคร่ำครวญว่า สิ่งที่ไม่มีใครคนใดควรทำคือ บงการควบคุมบังคับคนอื่น "ในคนจำนวนนับล้านก็อาจไม่พบแม้แต่คนเดียวที่จะเหมาะกับงานเช่นนี้ มิพักต้องพูดถึงบรรดาคนที่พยายามแสวงหาโอกาสเช่นนี้"
โทลคีนมาถึงซอมม์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1916 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่หลังแนวรบที่บูแซงคอรท์ ท่านเข้าร่วมในยุทธการโจมตีชวาเบนและไลป์ซิกที่เลื่องชื่อ ช่วงเวลาที่โทลคีนเข้าสู่สมรภูมิเป็นช่วงเวลาที่อีดิธเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดหวาดผวา กลัวว่า เสียงเคาะประตูบ้านที่ดังขึ้น จะนำมาซึ่งข่าวการเสียชีวิตของสามีของเธอ อีดิธทราบที่อยู่และการเคลื่อนไหวของสามีได้จากการเทียบรหัสลับในจดหมายกับแผนที่แนวรบด้านตะวันตก
บาดหลวงเมอร์วีน เอเวอร์ส อนุศาสนาจารย์แห่งนิกายแองกลิกันประจำกองพลแลงคาสเตอร์ฟูซิลิเยอร์ส บันทึกไว้ว่า โทลคีนและเพื่อนนายทหารโดนฝูงเห็บกัดกันระนาวกระทั่งว่า ยาขี้ผึ้งของหน่วยแพทย์เสนารักษ์เป็นเพียง "ออร์สเดิร์ฟและเหล่าขอทานตัวจิ๋วก็ไปงานเลี้ยงครั้งใหม่อย่างกระฉับกระเฉง" วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1916 ระหว่างที่กองพันของโทลคีนเข้าโจมตีสนามเพลาะเรจิน่า โทลคีนก็ป่วยเป็นไข้สนามเพลาะที่เกิดจากการถูกเห็บกัดจนต้องถูกส่งตัวกลับอังกฤษในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงพยาบาลกองทหารฝ่ายใต้ที่ 1 (Southern Military Hospital) ตามคำร้องของกองทัพบกบริเตน อาคารหลายแห่งในบริเวณมหาวิทยาลัยรวมทั้งหอประชุมใหญ่ ถูกใช้เป็นหอผู้ป่วยชั่วคราว โทลคีนถูกส่งตัวจากซอมม์ มารักษาตัวที่นี่โดยใช้เวลารักษาตัวหกสัปดาห์ และถึงแม้ว่าสุขภาพจะค่อยๆ ฟื้นฟูจนหายเป็นปรกติในเวลา 12 เดือน แต่โทลคีนก็ไม่ได้กลับไปฝรั่งเศสอีกเลย
หมุดหมายสำคัญของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมคือ หอนาฬิกาแชมเบอร์เลนที่มีชื่อว่า "ตาเฒ่าโจ" (The Old Joe) หอนาฬิกาแชมเบอร์เลนเป็นหอนาฬิกาเดี่ยวที่สูงที่สุดในโลก ในบันทึกของมหาวิทยาลัยระบุความสูงของหอนาฬิกานี้ไว้แตกต่างกันในเอกสารต่างๆ คือ 361 ฟุต 325 ฟุต 328 ฟุต แต่ในปี ค.ศ. 1945 ซี.จี. เบอร์ตัน (C. G. Burton) เลขานุการของมหาวิทยาลัย ระบุว่า หอนาฬิกาแห่งนี้สูง 329 ฟุต หน้าปัดนาฬิกากว้าง 17 ฟุต เข็มนาฬิกายาว 10 และ 6 ฟุตตามลำดับ ระฆังของนาฬิกาหนัก 5 ลองตัน (long ton) หรือ 5.1 ตัน
ตาเฒ่าโจถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี โจเซฟ แชมเบอร์เลน ซึ่งเป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัย โดยมีคำอุทิศจารึกบนก้อนหินที่ฐานของหอนาฬิกา แต่มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เดิมของหอนาฬิกาแห่งนี้ชื่อ "หอคอยพอยน์ติ้ง" (Poynting Tower) ตามชื่อของศาสตราจารย์ จอห์น เฮนรี่ พอยน์ติ้ง อาจารย์คนแรกของมหาวิทยาลัย
แม้ในตอนแรกการออกแบบหอนาฬิกาแชมเบอร์เลน จะใช้หอระฆังของนักบุญมาร์คแห่งเมืองเวนิซมาเป็นต้นแบบ แต่ในแบบสุดท้ายก็เปลี่ยนมาใช้ หอคอยทอร์เร่ เดล มันจา แห่งเมืองเซียน่า เป็นต้นแบบแทน
ในยามราตรี หน้าปัดนาฬิกาของตาเฒ่าโจ จะส่องสว่างในความมืดเห็นได้แต่ไกล จนมีคำร่ำลือต่อมาว่า "ตาเฒ่าโจ" นี่แหละ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้โทลคีนสร้างหอคอย "เนตรอสูรแห่งเซารอน" (The Eye of Sauron) อันน่าสะพรึงในนวนิยาย "อภินิหารครองพิภพ" (The Lord of the RIngs)
ยังมีต่อ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา