26 พ.ย. 2024 เวลา 07:56 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ตามรอยโทลคีน 2

ระหว่างที่อยู่ในเมืองเบอร์มิงแฮมช่วงปี ค.ศ. 1895-1911 โทลคีนต้องย้ายบ้านถึง 9 ครั้ง ครอบครัวโทลคีนย้ายบ้านอีกครั้งไปอยู่ที่ถนนเวสต์ฟิลด์ในย่านคิงส์ฮีธ แล้วไปย่านเลดี้วู้ด จากนั้นไปอยู่ที่บ้านบนถนนโอลิเวอร์ (ปัจจุบันถูกรื้อถอนไปแล้ว)
เมื่อแรกที่นางมาเบลเปลี่ยนมาเข้านิกายแคธอลิกในปี ค.ศ. 1900 ทั้งครอบครัวก็ไปเข้าโบสถ์นักบุญแอนน์บนถนนอัลเซสเตอร์ในย่านดิกเบธ หลังจากที่ย้ายไปอยู่ในย่านเอดจ์บาสตันในปี ค.ศ. 1902 ทั้งหมดก็เปลี่ยนไปทำพิธีที่โบสถ์คาร์ดินัลนิวแมนส์ออเรทอรีบนถนนเฮกเลย์ และเมื่อย้ายมาที่ถนนโอลิเวอร์ โทลคีน (โรนัลด์) ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนักบุญฟิลิปป์ที่อยู่ใกล้กันนั้น
ครอบครัวโทลคีนก็ไปเข้าโบสถ์แคธอลิกออเรทอรีที่ดูแลโดยคุณพ่อฟรานซิส เซเวียร์ มอร์แกน (Francis Xavier Morgan) ผู้ที่ภายหลังกลายมาเป็นผู้ปกครองของเด็กชายทั้งสอง มิตรภาพที่ได้รับจากคุณพ่อมอร์แกน เป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงให้กับครอบครัวของโทลคีนในช่วงเวลาที่นางมาเบลป่วยจนกระทั่งในที่สุดก็ถึงแก่กรรม
นางมาเบลเปลี่ยนมาเข้านิกายโรมันแคธอลิกในปี ค.ศ. 1900 แม้ว่าครอบครัวโปรเทสแทนต์ของนางจะทักท้วงทัดทานอย่างหนักกระทั่งเลิกให้เงินจุนเจือครอบครัวโทลคีนไปในที่สุด ในปี ค.ศ. 1904 เมื่อโทลคีนอายุได้ 12 ปี นางมาเบลเสียชีวิตที่บ้านเช่าเฟิร์นค็อทเทจในย่านเรดนัลจากอาการเบาหวานเฉียบพลันในวัย 34 ปี อันเป็นช่วงอายุที่สูงที่สุดเท่าที่ผู้ป่วยเป็นเบาหวานประเภท 1 (diabetes mellitus type 1) จะอยู่รอดมาได้โดยไม่ได้รับการรักษาด้วยอินซุลินที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1921 หลังจากช่วงเวลานั้นอีกเกือบสองทศวรรษ
เก้าปีหลังจากที่มารดาถึงแก่กรรม โทลคีนเขียนเอาไว้ว่า "มารดาของผมเองเป็นผู้พลีชีพเพื่อพระศาสนาโดยแท้ และใช่ว่าทุกคนที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานของขวัญอันยิ่งใหญ่ให้อย่างที่ทรงประทานให้กับฮิลารีและตัวผมเอง โดยทรงประทานมารดาผู้สังเวยชีวิตของตนเองจากการตรากตรำกรำงานหนักและความยากลำบากทั้งปวงเพื่อให้เรารักษาศรัทธาเอาไว้"
ก่อนจะถึงแก่กรรม นางมาเบลได้ขอร้องให้คุณพ่อมอร์แกน เป็นผู้ปกครองของโทลคีนและฮิลารีเพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นแคธอลิกที่ดี โทลคีนเขียนจดหมายถึง "ไมเคิล" ลูกชายคนที่สอง ในปี ค.ศ. 1965 บอกเล่าถึงอิทธิพลของผู้ที่ท่านเรียกว่า "คุณพ่อฟรานซิส" ไว้ว่า
"ท่านเป็นพวกอนุรักษ์นิยมชั้นสูง เป็นลูกครึ่งสเปน-เวลส์ และในสายตาคนบางกลุ่ม ดูจะเป็นพวกไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่เอาถ่าน ท่านเป็น—และไม่เป็น [ดังว่า] พ่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับการกุศลและการให้อภัยเป็นครั้งแรก ก็จากท่าน และด้วยแสงสว่างแห่งการรู้สำนึกนั้น ก็เจาะทะลุทะลวงด้านมืดแบบ 'เสรีนิยม' อันเป็นที่มาของพ่อ ที่รู้จัก 'แมรี่บ้าเลือด' ยิ่งไปกว่า พระแม่แห่งองค์พระเยซู ที่มิได้ถูกเอ่ยถึงในฐานะใดเว้นแต่จะเป็นเพียงวัตถุธรรมแห่งการสักการะบูชาอันชั่วร้ายในสายตาของชาวโรมัน"
หลังจากที่มารดาถึงแก่กรรม โทลคีนใช้ชีวิตอยู่ในย่านเอดจ์บาสตันของเมืองเบอร์มิงแฮม และยังเรียนที่โรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดบนถนนนิวสตรีท ก่อนจะย้ายไปโรงเรียนนักบุญฟิลิปป์สในเมืองเบอร์มิงแฮมจนถึงปี ค.ศ. 1903 เมื่อได้รับทุนฟาวน์เดชั่น ท่านจึงกลับเข้าเรียนที่โรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดอีกครั้ง
ช่วงที่เรียนในโรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดระหว่างปี ค.ศ. 1900-11 โทลคีนแสดงให้เห็นว่า ท่านมีความสามารถรอบด้าน นอกจากจะเป็นนักเรียนที่ขยันขันแข็งแล้ว โทลคีนยังเป็นนักกีฬาที่กระตือรือล้น เป็นนักแสดง เป็นบรรณารักษ์ เป็นเลขานุการของชมรมโต้วาทีและวรรณกรรม
โรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดถูกย้ายไปอยู่ที่ถนนบริสตอล (Bristol Road) ในปี ค.ศ. 1935 มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่อาคารเรียนบนถนนนิวสตรีททั้งหมดซึ่งออกแบบโดย เซอร์ชาร์ลส บาร์รี่ และ เอ.ดับบลิว.เอ็น. พิวกิน ถูกรื้อถอนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1936 เว้นแต่ส่วนของระเบียงทางเดินที่ถูกผาติกรรมนำไปประกอบขึ้นมาใหม่เป็นหอสวดมนต์ของโรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดแห่งใหม่ที่ถนนบริสตอล
ในขณะที่อยู่ที่โรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ด โทลคีนได้เรียนรู้ภาษาแอนิมาลิก (Animalic) อันเป็นภาษาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยญาติของท่านสองคนคือ แมรี่และมาร์จอรี อิงเคลดอน ในเวลานั้น ท่านกำลังศึกษาภาษาละตินและภาษาแองโกล-แซ็กซั่น แม้ว่าความสนใจในการประดิษฐ์ภาษาแอนิมาลิก จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่แมรี่และเพื่อนอีกหลายคนรวมทั้งโทลคีน ช่วยกันประดิษฐ์ภาษาใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า ภาษา "เนฟบอช" (Nevbosh)
ต่อมาท่านประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยตนเองโดยลำพังหลังจากนั้น เรียกว่า ภาษา "นาฟฟาริน" (Naffarin) โทลคีนเรียนภาษา "เอสเพอแรนโท" (Esperanto) ในราวปี ค.ศ. 1909 ท่านเขียนบันทึก 16 หน้าชื่อ "หนังสือแห่งฟ็อกซ์รูค" (The Book of the Foxrook) ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1909 ด้วยภาษาเอสเพอแรนโทที่บันทึกตัวอย่างของตัวอักษรที่ท่านประดิษฐ์ขึ้นมาด้วย
หลังจากที่นางมาเบลถึงแก่กรรม โทลคีนกับน้องชายยังคงอาศัยอยู่ในย่านเลดี้วู้ดและเอ็ดจ์บาสตัน โดยในปี ค.ศ. 1904-8 สองพี่น้องโทลคีนย้ายมาอาศัยอยู่กับป้าในบ้านบนถนนสเตอร์ลิ่ง (Stirling Road) แต่ด้วยเหตุที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก ทั้งสองจึงย้ายไปอยู่ที่ถนนดัชเชสส์ในราวปี ค.ศ. 1908
ถนนสเตอลิ่งตั้งอยู่ห่างจาก หอประปาเอดจ์บาสตัน (Edgbaston Waterworks Tower) เพียงร้อยเมตรและอยู่ในระยะห่างไม่กี่ร้อยเมตรจาก หอคอยของเจ้าโง่เพอร์ร็อทท์ (Perrott’s Folly Tower) ที่เป็นแรงบันดาลใจให้โทลคีนสร้างสองหอคอยในภาคสองของอภินิหารแหวนครองพิภพ
เดิมนั้น พื้นที่บริเวณหอคอยของเจ้าโง่เพอร์ร็อทท์บนถนนประปา (Waterworks) เป็นส่วนหนึ่งของกระท่อมล่าสัตว์ก่อนที่ จอห์น เพอร์ร็อทท์ จะสร้างหอคอยสูง 96 ฟุตขึ้นมาในปี ค.ศ. 1758 ด้วยรูปแบบโกธิคซึ่งมีลักษณะเหมือนกับป้อมปราการขึ้นมาแทนที่
ในศตวรรษที่ 19 หอคอยแห่งนี้กลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ตรวจบันทึกสภาพอากาศแห่งแรกๆ ของบริเตน หอคอยของเจ้าโง่เพอร์ร็อทท์ มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับป้อมปราการอันน่าตื่นตะลึงแห่งไอเซนการ์ด (Isengard) ที่โทลคีนบรรยายว่า เป็นรังของซารูมาน (Saruman) พ่อมดผู้ชั่วร้าย และ นักรบปีศาจ "อ็อก" (orc)
ห่างไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรบนถนนสายเดียวกัน ณ โรงผลิตน้ำประปาเอดจ์บาสตัน มีหอปล่องควันแบบวิกตอเรียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบผลิตน้ำประปาที่ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1870 จากการออกแบบของ เจ.เอช. แชมเบอร์เลน และ วิลเลียม มาร์ติน เมื่อร้อยปีก่อน หอประปาแห่งนี้จะปล่อยควันโขมงจากห้องเครื่องชั้นล่างจนเกิดบรรยากาศราวกับอยู่ในมอร์ดอร์ (Mordor)
แม้ทุกวันนี้ จะเลิกใช้งานโรงประปาแห่งนี้ไปแล้ว แต่หอประปาแห่งนี้ ก็ยังแผ่กลิ่นไอปีศาจออกมาให้รู้สึกได้โดยเฉพาะในวันที่ฟ้าหม่นครื้ม หอคอยทั้งสองแห่งนี้ เป็นต้นแบบของหอคอยแห่งไอเซนการ์ดและหอคอยดวงเนตรเซารอนในภาคสองของอภินิหารแหวนครองพิภพ
สิ่งที่พิเศษอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับบ้านที่ถนนสเตอร์ลิ่งนอกเหนือไปจากความเกี่ยวข้องกับหอคอยอันเป็นที่มาของหอคอยคู่แห่งมอร์ดอร์ก็คือ บ้านที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามอีกฟากถนน บ้านหลังดังกล่าว เป็นที่อยู่ของภรรยาม่ายของ นพ. เจ. แซมพ์ซัน แกมจี ศัลยแพทย์ของเมืองผู้สถาปนากองทุนแซทเทอร์เดย์ฮอลพิทัลแห่งเบอร์มิงแฮม (The Birmingham Hospital Saturday Fund)
เมืองเบอร์มิงแฮมติดตั้งแผ่นป้ายจารึกสีน้ำเงินบนผนังโรงละครเบอร์มิงแฮม (Birmingham Repertory Theatre) เพื่ออุทิศและเป็นที่ระลึกให้กับคุณหมอแกมจีและคุณูปการที่ท่านสร้างไว้ นอกจากนี้ ชาวเมืองเบอร์มิงแฮมยังเรียกใยฝ้ายว่า "เนื้อเยื่อแกมจี" (Gamgee tissue) โทลคีนได้ชื่อ "แซม แกมจี" เพื่อนร่วมทางผู้ซื่อสัตย์ของโฟรโดในนวนิยายอภินิหารแหวนครองพิภพจากชื่อของคุณหมอแกมจีท่านนี้เอง
ต่อมา สองพี่น้องย้ายไปอยู่บ้านหลังสุดท้ายในเมืองเบอร์มิงแฮมที่ถนนไฮก์ฟิลด์ ในเวลานั้นเอง โทลคีนได้รับแจ้งว่า ท่านได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ (Exeter College) ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด นับจากนั้นเป็นต้นมา โทลคีนก็ใช้ชีวิตและทำงานในเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นแต่ช่วงเวลาที่ถูกเกณฑ์ทหารเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นอาจารย์ที่เมืองลีดส์ในช่วงเวลาสั้น รวมทั้งใช้ชีวิตหลังเกษียณในเมืองพูล (Poole)
แม้จะไม่กลับมาอยู่ที่เมืองเบอร์มิงแฮมอีกเลยหลังจากนั้น แต่โทลคีนมักจะเอ่ยถึงเมืองเบอร์มิงแฮมในฐานะบ้านเกิดและเรียกตัวเองว่าเป็น ชาวเมืองเบอร์มิงแฮมเสมอมา โทลคีนยอมรับว่า เมืองเบอร์มิงแฮมมีอิทธิพลต่อการสร้างดินแดนมัชฌิมโลก (Middle-earth) อันเป็นส่วนสำคัญในนวนิยายของท่าน จุดสำคัญของเมืองและพื้นที่หลายแห่งในเบอร์มิงแฮมหลายต่อหลายแห่ง เป็นแรงบันดาลในการเขียนนวนิยายทั้งสองเรื่องคือ "เดอะฮ็อบบิท" (The Hobbit) และ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings) ดังกล่าว
"ในช่วงแรกของชีวิต ผมอาศัยอยู่ใน "ไชร์" (The Shire), โทลคีนกล่าวรำลึกถึงเบอร์มิงแฮม
สวนชนบทไชร์ (The Shire Country Park) ถูกประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติท้องถิ่นซึ่งรวมพื้นที่น้ำขัง ทุ่งหญ้า และป่าไม้ รวมทั้งห้วยมอสลีย์และโรงสีแซร์โฮลเอาไว้ ชื่อของสวนชนบทแห่งนี้ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ชีวิตและงานของโทลคีน ที่เคยใช้ชีวิตในบริเวณนี้เมื่อยังเป็นเด็กเล็ก
ผู้มาเยือนที่นี่จะมีโอกาสได้เห็นผีเสื้อ จิ้งจอก หนูน้ำ และค้างคาวในพื้นที่นี้ คนรักนกจะมิโอกาสได้เห็นนกกระเต็น เหยี่ยวนกเขา, ทุกสายพันธุ์ของนกหัวขวานบริเตนทั้งสามสปีชีส์, นกกระจิบหลายสายพันธุ์ในช่วงฤดูร้อน และ นกปีกแดงกับนกฟิลด์แฟร์ในช่วงฤดูหนาว มีทางเดินเท้ายาว 5 กิโลเมตรในสวนแห่งนี้ด้วย
สวนสาธารณะเดอะไชร์คันทรีพาร์คตั้งอยู่ถัดจากหุบเขาแม่น้ำโคลที่หลากหลายและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ ที่มีรูปร่างราวกับผ้าริบบิ้นสีเขียวที่ยาวสี่ไมล์จากสมอลล์ฮีธ (Small Heath) ทอดไปถึงยาร์เลย์วู้ด (Yardley Wood)
ชื่อของสวนป่าที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2005 สะท้อนถึงความเกี่ยวโยงกันของโทลคีนและพื้นที่ท้องถิ่นแห่งนี้ สวนป่าฯ ประกอบด้วยพื้นที่น้ำท่วม พื้นที่ทุ่งหญ้า พื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยไม้พุ่มเตี้ยๆ (heath) อันเป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ พืช และแมลง นกกระสาเฮรอน (Heron) เป็ดป่าเมลลาร์ด (mallard) และนกมัวร์เฮน (moorhen) ถูกพบเห็นได้ทั่วไป และหากโชคดี ผู้มาเยือนอาจได้เห็นนกกระเต็นคิงก์ฟิชเชอร์ (kingfisher) ล่าปลาตลอดลำน้ำที่คดเคี้ยว
แอ่งน้ำตื้นที่ถนนกรีน (Green Road เดิมชื่อ Green Lane) เป็นแอ่งน้ำตื้นเพียงไม่กี่แห่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในหุบเขาโคล ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่โทลคีนในวัยเด็กคุ้นเคย
ในปี ค.ศ. 1911 อันเป็นปีสุดท้ายที่โทลคีนเรียนที่โรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ด โทลคีนและเพื่อนอีกสามคนคือ ร็อบ กิลสัน, เจฟฟรีย์ แบช สมิธ, และ คริสโตเฟอร์ ไวส์แมน ร่วมกันก่อตั้งสมาคมกึ่งลับที่ทั้งสี่เรียกว่า ที.ซี.บี.เอส. อันเป็นคำย่อของ สโมสรชาและสมาคมบาร์โรว (Tea Club and Barrovian Society, T.C.B.S.) อันเป็นนัยพาดพิงถึงความชื่นชอบในการไปดื่มชาทั้งที่ร้านบาร์โรวส์ใกล้กับโรงเรียน และการแอบดื่มชาที่ห้องสมุดของโรงเรียน
ทั้งสี่ยังคงติดต่อกันโดยตลอดแม้จะจบการศึกษาจากโรงเรียนคิงส์เอ็ดเวิร์ดไปแล้วก็ตาม และได้นัดพบกันที่บ้านของตระกูลไวส์แมนในลอนดอน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งการพบกันครั้งนี้ ส่งผลให้โทลคีนอุทิศตนให้กับการเขียนบทกวีอย่างจริงจัง
ในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกันนั้น โทลคีนเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ท่านบรรยายไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1968 ระบุว่า เรื่องราวของการเดินทางข้ามภูเขาแห่งสายหมอก (Misty Mountains) ไปจนถึงการแล่นเลื่อนบนหินลื่นลงสู่ป่าสนของ บิลโบ แบ็กกินส์ มีที่มาจากการผจญภัยของท่านและเพื่อนรวม 12 คนในการเดินเท้าข้ามเขาจากอินเทอร์ลาเกนไปยังเลาเทอร์บรุนเนน และการตั้งค่ายพักแรมบนกองตะกอนธารน้ำแข็งที่ มือร์เรน
57 ปีต่อมา โทลคีนรำลึกถึงความเสียใจของท่านในยามที่ต้องอำลาหิมะชั่วกัลป์ของยุงเฟราและซิลเบอร์ฮอร์น ว่าเป็น "ซิลเวอร์ทีน (เซเล็บดีล) ในฝันแห่งข้า" (The Silvertine (Celebdil) of my dreams) พวกเขาทั้ง 12 คนเดินเท้าข้ามเขาไคลเนอ ชายเด็กก์ ไปยังหมู่บ้านกรินเดลวาลด์ และข้ามเขาโครสเซอ ชายเด็กก์ ไปยังเมืองมายริงเงน และเดินต่อไปตามเส้นทางคริมเซล ผ่านวาเลส์ตอนบนไปยังเมืองบริกก์ และต่อไปยังธารน้ำแข็งอาเลท์ช และ เมืองแซร์มัทท์
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1911 โทลคีนเริ่มเข้าศึกษาที่วิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในตอนแรก ท่านเรียนวรรณกรรมคลาสสิกแต่เปลี่ยนมาเรียนภาษาและวรรณกรรมอังกฤษในปี ค.ศ. 1913 จนกระทั่งจบการศึกษาระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในปี ค.ศ. 1915 โดยได้แรงบันดาลใจในระหว่างการเรียนจากหนังสือเกี่ยวกับภาษาโกธิคของศาสตราจารย์โจเซฟ ไรท์ (Joseph Wright) อาจารย์คนหนึ่งของท่าน
ยังมีต่อ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา