20 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ

ยาจิตเวชที่อาจไม่เหมาะสม: ความเสี่ยงซ่อนเร้นที่ทำให้ผู้สูงอายุล้มบ่อยขึ้น?

การล้มไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะครับ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการบาดเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง เช่น กระดูกสะโพกหัก หรือเลือดคั่งในสมองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้กลัวการล้ม ไม่กล้าขยับตัว และอาจนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้เลยทีเดียว องค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่าการล้มเป็นสาเหตุอันดับสองของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั่วโลกเลยนะครับ เรื่องนี้จึงสำคัญมากๆ ที่เราต้องใส่ใจ
ทำไมผมถึงหยิบยกเรื่องนี้มาคุยกัน? เพราะมีข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งผมจะใช้เป็นข้อมูลหลักในการเล่าเรื่องวันนี้ เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Open เมื่อเร็วๆ นี้ งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของ "ยาจิตเวชที่อาจใช้ไม่เหมาะสม" (Potentially Inappropriate Psychotropic Medicines หรือ PIPMs) ต่อการล้มในผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ (Residential Aged Care Facilities - RACFs) ในประเทศออสเตรเลีย
หลายท่านอาจสงสัยว่า "ยาจิตเวชที่อาจใช้ไม่เหมาะสม" คืออะไร? มันอันตรายไหม? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการล้ม บทความนี้จะพาทุกท่านไปหาคำตอบกันครับ ผมเชื่อว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของคนที่คุณรัก หรือแม้กระทั่งตัวคุณเองในอนาคตครับ
ก่อนจะไปถึงเรื่องยา เรามาทำความเข้าใจสถานการณ์การล้มในผู้สูงอายุกันก่อนนะครับ อย่างที่บอกไปว่าการล้มไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ข้อมูลจากทั่วโลกชี้ว่า ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไปที่อาศัยในชุมชน มีมากกว่า 1 ใน 4 ที่ประสบเหตุการณ์ล้มอย่างน้อยปีละครั้ง และตัวเลขนี้สูงขึ้นไปอีกในกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานดูแล คือมากกว่าครึ่งหนึ่ง (50%) ล้มอย่างน้อยปีละครั้ง
ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่ทำการศึกษาวิจัยนี้ พบว่าการล้มเป็นสาเหตุของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากการบาดเจ็บถึง 43% และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บถึง 42% ในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ผู้สูงอายุในสถานดูแลมีโอกาสบาดเจ็บจากการล้มสูงกว่าผู้สูงอายุวัยเดียวกันที่อยู่ในชุมชนถึง 6 เท่า
สาเหตุของการล้มในผู้สูงอายุมีมากมายครับ ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น พื้นลื่น แสงสว่างไม่พอ รองเท้าไม่เหมาะสม และปัจจัยภายในตัวผู้สูงอายุเอง เช่น อายุที่มากขึ้น การมีโรคประจำตัวหลายโรค ปัญหาการมองเห็น ปัญหาการทรงตัว รวมถึง "การใช้ยา" ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะเจาะลึกกันในวันนี้
ยาจิตเวช คือ ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System - CNS) เพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ ความคิด หรือพฤติกรรม เรามักใช้ยากลุ่มนี้รักษาภาวะต่างๆ เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ ซึมเศร้า หรืออาการทางพฤติกรรมในผู้ป่วยสมองเสื่อม
คำว่า "อาจใช้ไม่เหมาะสม" (Potentially Inappropriate) ไม่ได้หมายความว่ายานั้นไม่ดี หรือห้ามใช้เด็ดขาดนะครับ แต่มันหมายถึง ยาที่อาจมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงมากกว่าประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เมื่อเทียบกับยาทางเลือกอื่นที่มี หรือเมื่อใช้ในขนาดหรือระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม
ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกใช้เกณฑ์ที่เรียกว่า "Beers Criteria" เป็นแนวทางหนึ่งในการประเมินว่ายาตัวไหนจัดอยู่ในกลุ่มนี้สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งงานวิจัยที่เรากำลังพูดถึงก็ใช้เกณฑ์ Beers Criteria ฉบับปรับปรุงล่าสุดปี 2023 ในการระบุยาเหล่านี้ครับ
ยาจิตเวชที่งานวิจัยนี้มุ่งเน้น และจัดอยู่ในกลุ่มที่ "อาจใช้ไม่เหมาะสม" (ตามเกณฑ์ Beers Criteria 2023) ได้แก่
1. ยาต้านเศร้า (Antidepressants): เฉพาะกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านโคลีน (Anticholinergic) สูง
2. ยาต้านพาร์กินสัน (Antiparkinsonian agents): เฉพาะกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านโคลีนสูง
3. ยารักษาโรคจิต (Antipsychotics): ทั้งรุ่นเก่า (Typical) และรุ่นใหม่ (Atypical)
4. ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines): หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า 'ยาเบนโซ' (เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับบางชนิด)
5. ยานอนหลับกลุ่ม Non-benzodiazepine receptor agonists ('Z-drugs')
6. ยากลุ่มบาร์บิทูเรต (Barbiturates) (แม้ว่าหลายตัวจะเลิกใช้ไปแล้วก็ตาม)
แล้วทำไมยากลุ่มนี้ถึงเพิ่มความเสี่ยงการล้ม?
คำตอบคือ เพราะมันออกฤทธิ์โดยตรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง ผลที่ตามมาอาจรวมถึง อาการง่วงซึม (Sedation), เวียนศีรษะ (Dizziness), สับสน (Confusion), การตอบสนองช้าลง (Psychomotor slowing) หรือเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่า (Orthostatic hypotension) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้สูงอายุเสียการทรงตัวและล้มได้ง่ายขึ้นครับ
กลับมาที่งานวิจัยหลักของเรานะครับ นักวิจัยได้รวบรวมข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์จากสถานดูแลผู้สูงอายุ 23 แห่งในซิดนีย์ ออสเตรเลีย เป็นเวลา 2 ปี (2020-2021) โดยมีผู้สูงอายุเข้าร่วมในการศึกษากว่า 3,000 คน (อายุเฉลี่ย 86 ปี, 2 ใน 3 เป็นผู้หญิง) พวกเขาแบ่งผู้สูงอายุเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้ยาจิตเวชที่อาจไม่เหมาะสม (CNS-PIPM users) และกลุ่มที่ไม่ใช้ (Non-users) แล้วเปรียบเทียบอุบัติการณ์การล้มใน 3 รูปแบบ คือ ล้มทุกกรณี, ล้มแล้วบาดเจ็บ, และล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ
1. การใช้ยา CNS-PIPM พบได้บ่อย ประมาณ 40% ของผู้สูงอายุในสถานดูแลเหล่านี้ ใช้ยาในกลุ่ม CNS-PIPM อย่างน้อย 1 ตัว และ 10% ใช้ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ยาที่ใช้บ่อยสุดคือ กลุ่ม Benzodiazepines และ Z-drugs (27.4%), รองลงมาคือ Antipsychotics (17.2%) และ Antidepressants ที่มีฤทธิ์ต้านโคลีนสูง (5.22%)
2. ผู้ใช้ยา CNS-PIPM ล้มบ่อยกว่า นี่คือประเด็นสำคัญครับ นักวิจัยพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้ยา CNS-PIPM มีอัตราการล้มสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญในทุกรูปแบบของการล้ม
3. ความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อนักวิจัยนำปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อการล้มมาพิจารณาร่วมด้วย (เช่น อายุ, เพศ, โรคประจำตัวอื่นๆ) พบว่า ผู้ที่ใช้ยา CNS-PIPM มีอัตราการล้มโดยรวมสูงกว่าผู้ที่ไม่ใช้ยาประมาณ 29% (Adjusted IRR 1.29) และความเสี่ยงนี้ยังคงสูงแม้ในกลุ่มผู้ป่วยสมองเสื่อม
4. ผลกระทบต่อรายบุคคล หากมองในระดับบุคคล พบว่า 70% ของผู้ที่ใช้ยา CNS-PIPM ล้มอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงเวลาที่ศึกษา และเกือบ 1 ใน 3 ของผู้ใช้ยาที่ล้ม (30.2%) มีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนนะครับว่า ยาจิตเวชกลุ่มที่ "อาจใช้ไม่เหมาะสม" นี้ มีความสัมพันธ์อย่างมากกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการล้มในผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานดูแล
ผลการศึกษานี้ย้ำเตือนถึงความสำคัญของการใช้ยาจิตเวชอย่างระมัดระวังในผู้สูงอายุครับ แม้ว่ายาเหล่านี้อาจมีความจำเป็นในการรักษาภาวะบางอย่าง แต่ก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการล้ม ซึ่งอาจนำไปสู่ผลเสียร้ายแรงอื่นๆ ตามมา
ข้อควรปฏิบัติและข้อคิด
1. ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดครับ หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังใช้ยาในกลุ่มนี้อยู่ อย่าเพิ่งตกใจแล้วหยุดยาเองนะครับ เพราะการหยุดยาหรือปรับยาเองอาจเป็นอันตรายได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้ดูแลก่อนเสมอ
2. ทบทวนรายการยาเป็นประจำ ควรมีการทบทวนรายการยาทั้งหมดที่ผู้สูงอายุใช้อยู่กับแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอ (แนวทางสากลแนะนำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก 6 เดือนในผู้ที่เปราะบาง) เพื่อประเมินความจำเป็น ความเหมาะสม และขนาดยาที่ใช้อยู่ อาจมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า หรือสามารถปรับลดขนาดยาบางตัวลงได้ (Deprescribing)
3. พิจารณาทางเลือกที่ไม่ใช้ยา สำหรับอาการบางอย่าง โดยเฉพาะอาการทางพฤติกรรมและจิตใจในผู้ป่วยสมองเสื่อม (BPSD) แนวทางปัจจุบันแนะนำให้ใช้การดูแลแบบไม่ใช้ยาเป็นอันดับแรก เช่น การปรับสิ่งแวดล้อม กิจกรรมบำบัด ดนตรีบำบัด หรือการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม ก่อนที่จะพิจารณาใช้ยาจิตเวช
4. ตระหนักถึงข้อจำกัด แม้ผลการศึกษาจะชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัดครับ เช่น เป็นข้อมูลจากผู้ให้บริการรายเดียวในออสเตรเลีย และไม่สามารถระบุได้ชัดเจน 100% ว่าการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละรายนั้น "ไม่เหมาะสม" จริงๆ หรือไม่ เพราะขาดข้อมูลทางคลินิกโดยละเอียด นอกจากนี้ อาการป่วยเดิมที่ทำให้ต้องใช้ยา (เช่น อาการสับสน กระสับกระส่าย) ก็อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงการล้มได้เช่นกัน
การล้มในผู้สูงอายุเป็นเรื่องซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การศึกษานี้ชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของยาจิตเวชบางกลุ่มที่ "อาจใช้ไม่เหมาะสม" ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงนี้ได้อย่างชัดเจน การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงนี้ และการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว แพทย์ และเภสัชกรในการทบทวนและจัดการการใช้ยาอย่างเหมาะสม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติการณ์การล้ม เพิ่มความปลอดภัย และรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงอายุที่เรารักได้ครับ
แหล่งอ้างอิง:
Batool N, Raban MZ, Seaman K, et al. Impact of potentially inappropriate psychotropic medicines on falls among older adults in 23 residential aged care facilities in Australia: a retrospective longitudinal cohort study. BMJ Open 2025;15:e096187. doi:10.1136/bmjopen-2024-096187
โฆษณา