Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Hi Story - ที่นี่มีเรื่องเล่า
•
ติดตาม
16 เม.ย. เวลา 03:22 • หนังสือ
LSS-EP9–ความวุ่นวายสมัยเรเนซองส์
ยุคเรเนซองส์ เป็นยุคที่ขึ้นชื่อเรื่องการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุโรป เป็นยุคเรืองรองของศิลปะและองค์ความรู้ต่าง ๆ มีศิลปิน นักคิด นักเขียน มากมายที่สร้างผลงานจนเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน แต่ทว่าในช่วงเวลาที่เหมือนจะเป็นแสงสว่างหลังจากความมืดมิดในยุโรป กลับมีเรื่องราววุ่นวาย การแก่งแย่งชิงอำนาจ การต่อสู้ทางการเมือง ไม่แพ้ช่วงเวลาอื่น ขอเชิญทุกท่านรับฟังเรื่องราวความวุ่นวายในยุคสมัยเรเนซองส์
แรงบันดาลใจการเล่าเรื่องนี้ มาจากการที่ผมได้มีโอกาสเล่นเกม Assassin’s Creed ภาค 2 ด้วยความที่ยุคเรเนซองส์กินเวลายาวนานเป็นร้อยปี การจะเล่าเรื่องราวเป็นร้อยปีให้จบในเวลาสั้น ๆ อาจจะตกหล่นเรื่องราวบางส่วน บางช่วงเวลา บางสถานที่ไปบ้าง ขออภัยคุณผู้ฟังเอาไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้จะขอโฟกัสแค่ช่วงเวลาหนึ่งในยุคเรเนซองส์ ที่ผมมองว่าน่าสนใจและอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง เริ่มเรื่องกันเลยครับ
คำว่า “เรเนซองส์” ท่านผู้ฟังลองเดาสิครับ ว่าเป็นภาษาอะไร? ท่านผู้ฟังคงจะเดากันถูกไม่ยากเลย ใช่ครับ เรเนซองส์ เป็นภาษาญี่ปุ่น เอ้ย ไม่ใช่ครับ เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าเกิดใหม่ ยุคเรเนซองส์เนี่ยถูกนักประวัติศาสตร์ยกย่องว่าเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เคยขาดหายไปกลับมาอีกครั้ง
ยุคเรเนซองส์เนี่ยเป็นช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 17 ช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับช่วงเวลาสมัยสุโขทัยตอนปลายคาบเกี่ยวกับสมัยอยุธยาตอนต้นไปจนถึงตอนกลางของประเทศไทย ยุคเรเนซองส์เนี่ยเป็นยุคคั่นกลางหลังจากยุคที่เรียกกันว่ายุคกลาง และเป็นยุคก่อนยุคใหม่
ยุคกลางเนี่ยเป็นยุคที่มีสงครามเต็มไปหมด พวกบรรดาขุนศึก ขุนนาง วัน ๆ ไม่ทำอะไรครับ ตีกัน รบกัน ยึดบ้านยึดเมืองกันเป็นว่าเล่น เกิดสงครามกันทุกวันเลยครับ ส่วนประชาชนคนธรรมดาไม่ได้ไปรบก็รู้สึกสิ้นหวัง ทำมาหากินไปก็ไม่รวยกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องอยู่ใต้ระบบศักดินา ใช้ชีวิตไปวันดีคืนดีมีการรบกันก็อาจจะตายได้ หรือไม่ก็ต้องอพยพหนี ทิ้งบ้าน ทิ้งไร่ กันไป
ชาวบ้านช่วงเวลานั้นก็เลยรู้สึกสิ้นหวังครับ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการหันหน้าใช้ศาสนาเป็นที่พึ่ง ก็พูดง่าย ๆ ว่าชาตินี้ช่างมันแล้วครับ ไปทำความดี ไปภาวนาให้ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ก็พอ ช่วงเวลานี้ก็เลยไม่มีใครมาสนใจเรื่องศิลปะ ความรู้ หรือวิทยาการอะไรกันเลยครับ เพราะไม่รู้จะสนใจไปทำไม สภาวะแบบนี้ท่านผู้ฟังเชื่อไหมครับ ว่ากินระยะเวลายาวนานเป็น 1,000 ปี เลย นักประวัติศาสตร์เลยขนานนามยุคกลางนี้ว่ายุคมืด ยุคกลางก็สิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิไบเซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกล่มสลายจากการบุกของพวกออตโตมัน
พอจักรวรรดิไบเซนไทน์ล่มสลายลงแล้วใช่ไหมครับ พวกนักปราชญ์ต่าง ๆ ก็เห็นว่าคงไม่มีสงครามแล้วมั้ง ก็เลยพากันอพยพกลับมาที่ยุโรปอีกครั้ง และนักปราชญ์เหล่านี้ก็ได้นำเอาศิลปะวิทยาการ องค์ความรู้ต่าง ๆ สมัยโรมันโบราณกลับมาด้วย เปรียบเสมือนการเกิดใหม่อีกครั้งครับเลยให้ชื่อยุคหลังจากนี้ว่าเรเนซองส์นั่นเอง
ซึ่งพอฟังแบบนี้จะเห็นว่ายุคเรเนซองส์นี่ก็ไม่ได้ก้าวหน้าก้าวกระโดดอะไรครับ เพียงแค่กลับไปสู่ความรุ่งเรืองเหมือนสมัยอดีตกาลก่อนยุคกลางหรือยุคมืดนั่นเอง ยุคนี้ก็เป็นยุคที่ศิลปิน นักคิด นักเขียน นักปรัชญา ที่มีชื่อเสียงหลายคนมีชีวิตอยู่และสร้างสรรค์ผลงานในช่วงนี้ครับ ตัวอย่างเช่น ลีโอนาโด้ ดาวินชี, ไมเคิล แองเจลโล, ราฟาเอล ,มาเคียเวลลี, นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เป็นต้น
โดยศูนย์กลางของความรุ่งเรืองในสมัยเรเนซองส์ก็คือเมืองฟลอเรนซ์ หรือ เมืองฟีเรนเซ ในประเทศอิตาลี นั่นเองครับ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าตอนนั้นเนี่ยอิตาลียังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศแบบทุกวันนี้ เมืองต่าง ๆ ยังเป็นเอกเทศ มีความเป็นรัฐแยกจากกันอยู่ครับ และรัฐต่าง ๆ เนี่ยก็ไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่ การจะขึ้นมามีอำนาจในแต่ละรัฐก็ทำได้โดยการสะสมเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วไปจ้างบรรดาทหารมาช่วยรบ เมื่อพ่อตายลูกก็กินตำแหน่งต่อแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะโดนโค่นล้ม แค่ฟังดูก็ยุ่งแล้วใช่ไหมครับ
การจะพูดถึงเรื่องราวความยุ่งเหยิงในยุคเรเนซองส์เนี่ย ผมขอเริ่มจากการแนะนำตระกูลเมดีชีก่อนแล้วกันครับ ตระกูลนี้มีบทบาทสำคัญตลอดในยุคสมัยที่ว่านี้ โดยสมาชิกในตระกูลนี้จะสังเกตได้ว่าจะมีนามสกุลต่อท้ายชื่อว่า “เดอ เมดีชี” ซึ่งแปลว่าหมอยาครับ แต่ทว่าก็ไม่มีหลักฐานที่มาที่ไปว่าตระกูลนี้เกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพหมอยานะครับ เรื่องราวของตระกูลเมดีชีผมขอตัดเล่าเริ่มต้นที่ จิโอวานนิ ดิ บิชชิ เดอ เมดิชี ได้ก่อตั้งธนาคารเมดีชีและทำให้ตระกูลเมดีชีกลายเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปในสมัยนั้นเลยทีเดียวครับ
อย่างที่ผมเกริ่นไปตอนต้นครับ การจะขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองในเมืองต่าง ๆ ของอิตาลีช่วงนั้นก็ต้องรวยก่อน ในที่สุดครับลูกชายของจิโอวานนีนามว่าโคสิโม เดอ เมดิชี ก็ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองฟลอเรนซ์ ตระกูลเมดิชีก็ปกครองเมืองฟลอเรสซ์เรื่อยมาครับ มีการต่อสู้กันภายในตระกูลกันเพื่อแก่งแย่งอำนาจบ้าง
จนในที่สุดตำแหน่งเจ้าเมืองฟลอเรนซ์ตกทอดมาถึงมือของ ลอเรนโซ เดอ เมดีชี หรือฉายา Lorenzo the Magnificent หรือ ลอเรนโซ ผู้สง่างาม ผู้ปรีชา แล้วแต่จะแปล ที่ได้ฉายานี้ก็เพราะส่วนหนึ่งเขาได้เป็นเจ้าเมืองตั้งแต่อายุ 21 ปี ซึ่งยังเด็ก ดูหนุ่ม ก็เลยได้ฉายานี้ไป
เมืองฟลอเรนซ์ยุคที่ปกครองโดยลอเรนโซนี่ถือว่าเป็นยุคทองเลยครับ เพราะพี่แกเป็นผู้คลั่งไคล้ศิลปะคนหนึ่งเลย ลอเรนโซเนี่ยเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับไมเคิล แองเจลโล และ ลีโอนาโด้ ดาวินชี ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเต็มบ้านเต็มเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
แต่ในอิตาลีเนี่ยมีหลายเมืองใช่ไหมครับ แต่ละเมืองเนี่ยก็ไม่ค่อยถูกขี้หน้ากันเท่าไหร่ และในเมืองเดียวกันเนี่ยก็มีหลายตระกูลที่แก่งแย่งแข่งขันกันมามีอำนาจอีก ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสันตปาปาซิกตัสที่ 4 ต้องการซื้อเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งไม่แน่ใจว่าเพื่อจะสร้างให้เป็นรัฐพระสันตะปาปาแห่งใหม่หรือไม่ก็เป็นรัฐสาขาของรัฐพระสันตปาปา โดยตอนนั้นเนี่ยเห็นว่าลอเรนโซเนี่ยรวยใช่ไหมครับ ก็เลยไปขอความสนับสนุนทางการเงินแต่ทว่าลอเรนโซปฏิเสธ ก็เลยสร้างความไม่พอใจให้กับโป๊ปตั้งแต่ตอนนั้น
ในยุโรปที่นับถือคริสต์เนี่ย บอกเลยใครมีเรื่องกับโป๊ปหรือพระสันตปาปาเนี่ย เหนื่อยครับ เพราะนอกจากประสันตปาปาจะเป็นผู้นำทางศาสนาแล้วเนี่ยยังเป็นประมุขของรัฐพระสันตปาปาที่ปกครองตนเองอีก โป๊ปซิกตัสที่ 4 เนี่ยก็เลยร่วมมือกับตระกูลปาซซีตระกูลนายธนาคารอีกตระกูลหนึ่งของเมืองฟลอเรนซ์ที่จ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ตระกูลเมดีชีอยู่แล้วเพื่อจัดการเก็บตระกูเมดิชี
ด้วยความที่ตระกูลเมดิชีเนี่ยครองอำนาจในฟลอเรนซ์มานานใช่ไหมครับ ก็ต้องมีคนเบื่อ คนไม่ชอบมากเป็นธรรมดา พวกตระกูลปาซซีเนี่ยตอนแรกก็กะจะลอบสังหารลอเรนโซเงียบ ๆ แต่ก็คิดว่าถ้าลอเรนโซตาย คนอื่นในตระกูลเมดิชีก็ขึ้นมามีอำนาจอยู่ดี อย่ากระนั้นเลย เราไม่ต้องลอบฆ่าแล้ว ฆ่าแบบเอิกเกริกต่อหน้าประชาชนเลย ประชาชนที่ไม่พอใจตระกูลเมดิชีอยู่แล้วจะได้ช่วยกันลุกฮือขับไล่พวกเมดิชีที่เหลือ และแล้วเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นครับ
วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1478 ระหว่างพิธีมิสซาที่โบสถ์ในกลางเมืองฟลอเรนซ์ ที่มีประชาชนชาวเมืองเข้าร่วมพิธีนี้กว่า 1 หมื่นคน และในพิธีนี้ก็มีครอบครัวตระกูลเมดิชีเข้าร่วมอีกหลายคน และแล้วพวกปาซซีก็ได้นำกองกำลังในสังกัดตัวเองบุกเข้ามาในพิธีและพยายามจะฆ่าตระกูลเมดิชี น้องชายของลอเรนโซก็คือจูเลียอาโน่ถูกฆ่าตายในพิธีเลยครับ
ส่วนลอเรนโซนั้นถูกแทงบาดเจ็บแต่เดชะบุญสามารถหลบหนีออกมาได้ครับ หนำซ้ำประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่แตกตื่นกันอยู่ก็ไม่ได้มาช่วยกันขับไล่ตระกูลเมดิชีตามแผนการของตระกูลปาซซี เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรแบบนี้สุดท้ายก็เป็นพวกปาซซีนี่แหละครับที่ถูกจับแล้วก็ถูกลงโทษโดยการสังหารทั้งตระกูลแทน ศพของพวกปาซซีก็ถูกนำมาเหยียดหยาม ไม่ว่าจะเป็นขุดศพขึ้นมาโยนทิ้งน้ำ ลากศพไปตามท้องถนน หรือแม้แต่การนำส่วนศีรษะของพวกปาซซีมาทำเป็นที่เคาะประตู
ทีนี้ก็มีเกร็ดอยู่ว่าจูเลียอาโน่ เดอ เมดิชี ที่ถูกฆ่าตายเนี่ย มีลูกชายอยู่คนหนึ่งครับ ชื่อ จูลิโอ เดอ เมดิชี ซึ่งภายหลังลอเรนโซก็รับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมก่อนจะส่งให้เข้าไปเติบโตในเส้นทางศาสนาในศาสนจักร และจูลิโอคนนี้แหละครับภายหลังก็จะได้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ทำให้ตระกูลเมดิชีเนี่ยนอกจากจะมีอิทธิพลในเมืองฟลอเรนซ์แล้วในรัฐพระสันตปาปาพวกเขาก็ยังปกครองอีกด้วย
แต่กว่าที่จูลิโอคนนี้จะขึ้นเป็นโป๊ปเนี่ย ลอเรนโซ่ตายไปก่อนนะครับและระหว่างนั้นก็จะมีโป๊ปคนอื่นคั่นอีก 5-6 คน โดยคนที่สำคัญคนหนึ่งผมกำลังจะเล่าต่อไปเลยครับ เพราะมีบทบาทสำคัญในความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นระลอกต่อไป
ลอเรนโซก็ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ไปจนเสียชีวิต ลูกชายชื่อปิเอโร่ เดอ เมดิชี ก็ขึ้นปกครองต่อ ก่อนที่ลอเรนโซตาย 2 ปี ลอเรนโซได้ไปเชิญนักบวชคนหนึ่งชื่อว่าจีโรลาโม ซาโวนาโรลา ชื่อนี้อ่านยากนิดหนึ่งครับ ซึ่งเป็นนักบวชนิกายโดมินิกันก็คือมักจะใส่ผ้าคลุมสีดำ
ซึ่งเจ้านักบวชคนนี้แหละได้ก่อปัญหาให้กับปิเอโร่เจ้าเมืองคนใหม่ เพราะนักบวชคนนี้เนี้ยมักจะพูดเรื่องวันสิ้นโลก วิพากษ์วิจารณ์ความฉ้อฉลของศาสนจักรและวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของชนชั้นสูง รวมทั้งผู้ปกครองอย่างตระกูลเมดิชี และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปศีลธรรมในฟลอเรนซ์
แรก ๆ เนี่ยชาวเมืองก็มองว่าไร้สาระ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ ปี ค.ศ.1494 หลังปิเอโร่ปกครองฟลอเรนซ์ไปได้แค่ 2 ปี เท่านั้นเองครับ กษัตริย์ชาร์ลที่ 8 ของฝรั่งเศสก็ได้บุกมาจะยึดฟลอเรนซ์ แต่ปิเอโร่ไปเจรจาสงบศึกได้สำเร็จ โดยเงื่อนไขการเจรจาสงบศึกเนี่ยคงทำให้เมืองฟลอเรนซ์ต้องเสียอะไรไปพอสควรเลยครับฝรั่งเศสถึงยอมสงบศึกให้
ทำให้ชาวเมืองฟลอเรนซ์ไม่พอใจครับ หันไปติดตามนักบวชจีโรลาโม ตานักบวชคนนี้ก็ไม่ได้แค่จะปฏิรูปศาสนา จะเทศน์เรื่องวันสิ้นโลกแล้วครับตอนนี้ ไปปลุกระดมชาวเมืองมาก่อกบฏกับปิเอโร่ จนชาวบ้านลุกฮือขึ้นมาปลดตระกูลเมดิชีออกจากอำนาจแล้วขับออกจากเมืองเป็นผลสำเร็จ พอตำแหน่งเจ้าเมืองว่างใช่ไหมครับ หันไปหันมาไม่เจอใครเหมาะสม อย่ากระนั้นเลยคุณพ่อจีโรลาโมก็เลยขึ้นมาปกครองเมืองฟลอเรนซ์แทน
นโยบายพี่แกถือว่าสุดขั้วมากเลยครับ แกจัดงานชื่อว่า “งานกองไฟแห่งความฟุ้งเฟ้อ” โดยให้ทหารนำภาพวาด งานจิตรกรรม รูปปั้น หนังสือความรู้ ส่วนสำคัญในการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุคนั้น ซึ่งจีโรลาโมเนี่ยเชื่อว่าของพวกเนี้ยเป็นบาปและไร้สาระ โยนลงไปในกองเพลิงขนาดยักษ์กลางจัตุรัสเมืองฟลอเรนซ์ ชื่อเหตุการณ์นี้ก็คือเหตุการณ์ burn fire of the vanities คล้าย ๆ กับการปฏิวัติวัฒนธรรมเลยครับ ซึ่งว่ากันว่ามีองค์ความรู้ งานศิลปะมีค่าหลายชิ้นถูกเผาสูญหายไปจากโลกหลายรายการเลยทีเดียวครับ น่าเสียดายมาก ๆ
ตัดข้ามไปที่ช่วงเวลาเดียวกันในนครวาติกันรัฐพระสันตะปาปา โรดริโก้ บอร์เจีย ชาวสเปนได้ทำการติดสินบนเหล่าพระคาร์ดินัลจนสามารถขึ้นไปครองตำแหน่งสูงสุดในศาสนจักรได้สำเร็จเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 ซึ่งยุคสมัยของโป๊ปองค์นี้ถือว่าอื้อฉาวที่สุดในวงการสันตะปาปาเลยครับ จนได้รับฉายาว่า Evil pope
โป๊ปอะเล็กซานเดอร์ที่ 6 ได้แต่ตั้งให้บรรดาญาติตัวเองมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในนครวาติกันเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังทำการยกที่ดินในรัฐให้กับลูกชายอีก โป๊ปอะเล็กซานเดอร์ที่ 6 มีวาสนาอีกอย่างที่มีลูกชายคนหนึ่งครับชื่อเซซาเร่ บอร์เจีย เป็นนักรบที่เก่งมาก ไปบุกยึดแคว้นใดก็จะรบชนะกลับมาแต่กลับมีข่าวฉาวว่ามีความสัมพันธ์กับน้องสาวของตัวเอง โดยหลักการปกครองของเซซาเร่ บอร์เจีย นี่ก็เป็นต้นแบบที่มาเคียเวลลี่เอาไปแต่งเป็นหนังสือชื่อดังอย่าง The prince เจ้าผู้ครองนคร ด้วยนะครับ
ตัดกลับมาที่เมืองฟลอเรนซ์ ด้วยความที่บาทหลวงจีโรลาโมมีหลักการคำสอนที่สุดขั้วเป็นอย่างมาก สุดขั้วไม่พอ วันดีคืนร้าย ไม่รู้แกไปกินอะไรมา อยู่ ๆ ประกาศคว่ำบาตรพระสันตะปาปาเฉย ทำให้มันก็ไปขัดหูขัดตาพระสันตะปาปาจากตระกูลบอร์เจียที่กำลังเรืองอำนาจสิครับ โป๊ปก็เลยมีคำสั่งให้มีการจับกุมจีโรลาโม
แต่ด้วยความที่ตอนนี้จีโรลาโมมีฐานะเหมือนเป็นเจ้าเมืองฟลอเรนซ์แล้วก็เลยไม่ง่ายครับ ต้องอาศัยชาวเมืองฟลอเรนซ์เนี่ยแหละที่รู้สึกว่าตาบาทหลวงคนนี้ไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางเสียแล้ว ช่วยกันลุกฮืออีกครั้งครับแล้วจับจีโรลาโมทรมานก่อนจะทำการเผาทั้งเป็นบนบริเวณที่เขาเคยสั่งให้ตั้งกองไฟเผาหนังสือความรู้และงานศิลปะต่าง ๆ กลางเมืองฟลอเรนซ์นั่นเองครับ
หลังจากนั้นความวุ่นวายในคาบสมุทรอิตาลีโดยเฉพาะเมืองฟลอเรนซ์ก็มีเป็นช่วง ๆ ครับ ตระกูลเมดิชีได้กลับเข้ามามีอำนาจและปกครองเมืองฟลอเรนซ์อีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลงเรื่อย ๆ และยุคเรเนซองส์ที่เจริญงอกงามมากว่า 200 ปี ก็ค่อย ๆ เสื่อมลงจาก 3 สาเหตุครับ คือ
1.ฝรั่งเศสบุกอิตาลี เอาคนภายนอกเข้ามาทำลายเมืองต่าง ๆ ในอิตาลีครับ บรรดาศิลปิน นักปราชญ์ต่าง ๆ ก็เลยอยู่ต่อเลยไม่ได้ 2.เป็นเรื่องเศรษฐกิจนั่นเอง เพราะมีการเดินเรือค้นพบดินแดนใหม่ ๆ มากมาย ผู้คนก็เลยไม่จำเป็นต้องมาค้าขายโดยมีอิตาลีเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป 3.เกิดการปฏิรูปศาสนาขึ้นมาจริง ๆ ครับ เกิดนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้น ซึ่งนิกายนี้เขาก็ไม่ได้นับถือพระสันตะปาปาที่นครวาติกัน
สุดท้ายโลกของเราก็เริ่มเข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่ายุคใหม่นั่นเอง
#เรเนซองส์ #renaissance #history #ที่นี่มีเรื่องเล่า #ประวัติศาสตร์ #longstoryshort
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย