[รีวิวทุกขั้นตอน] เรียนต่อญี่ปุ่นแบบละเอียด!! EP.3

สวัสดีครับทุกๆ คน วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแบบละเอียดยิบกันไปเลยนะครับ เหมาะสำหรับคนมือใหม่ที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลยซักครั้งเดียว ซึ่งผมเป็นคนนึงที่ชอบญี่ปุ่นมากกกกก แต่ยังไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว เชื่อไหมพอพูดแบบนี้มีแต่คนตกใจ555 เรียนภาษาญี่ปุ่นมาตั้ง 10 ปี แต่ยังไม่เคยไปเที่ยวเลยอ่ะนะ ใช่!! มันคือเรื่องจริงจ้าาาา5555
1. ตัดสินใจ
อย่างแรกเลยก็ตัดสินใจว่าเราจะไปเดือนไหน ซึ่งแน่นอนว่าก็ติดต่อสอบถามเอเจนท์เรียนต่อไปเลย ส่วนใหญ่ก็จะไปกัน เดือนเมษายน และตุลาคม ซึ่งผมเลือกไปเรียนเดือนเมษายน 2025 เอกสารต่างๆ ต้องเตรียมและยื่นภายในตุลาคม 2024 เลยนะ ซึ่งเอกสารผมคงไม่ลงรายละเอียดมาก เพราะเพื่อนๆ สามารถคุยกับเอเจนท์ได้อยู่แล้ว และเอกสารคือเยอะจริงไม่จกตา555
2. ยื่นเอกสาร รอผล COE, COA
หลังจากยื่นเอกสารเรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำคือการรอ55555 และผล COE, COA ของเราก็ออกมาประมาณ 27 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นการรอที่ยาวนานของจริงงง ประมาณ 4 เดือนได้ หลังจากผล COE ออก เราก็นำผล COE, COA นี้แหละไปยื่นขอวีซ่านักเรียนที่สามย่าน หลังจากผลวีซ่าออกแล้วประมาณเดือนมีนาคม อยากจะบอกว่าช่วงนี้แหละเป็นช่วงที่เราจะยุ่งมากที่สุดดดดดด แบบมากกกกก ก.ล้านตัว
  • ยุ่งกับการซื้อข้าวของทุกอย่างสารพัด ซื้อกระเป๋าเดินทาง
  • หาบ้านเช่าในญี่ปุ่น ทำสัญญาต่างๆ ควรติดต่อ 1 เดือนก่อนบิน
  • จองตั๋วเครื่องบิน ควรจองไฟล์ทดึกถึงเช้า
  • ซื้อซิมท่องเที่ยว
  • ถ่ายรูป 1 นิ้ว 1.5 นิ้ว 2 นิ้ว เก็บไว้เยอะๆ เผื่อใช้ที่ญี่ปุ่น
  • แลกเงินเยนติดตัว
  • ทำประกันการเดินทาง
  • คัดสำเนา Transcript/ใบรับรอง ของมหาลัยเก็บไว้
  • ศึกษาวิธีการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น วิธีการขึ้นรถไฟ ฯลฯ
  • ทำบัตร Travel Card
  • ควรสอบ TOEIC มีคะแนนเก็บไว้ตอนไปทำไบต์โตะที่ญี่ปุ่น
คือแบบยุ่งสารพัดสิ่งจิปาถะมาก บอกได้แค่นี้555 สำหรับมือใหม่หัดไปญี่ปุ่นสิ่งที่ต้องทำเลยคือ พยายามทำลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ เลยว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง มีอะไรที่เราต้องทำบ้าง จะช่วยให้เราจัดความคิดเป็นระเบียบมากขึ้น
3. เตรียมตัวออกเดินทาง
วันเดินทางเป็นวันที่เราตื่นเต้นมากก เพราะจะได้เดินทางไปญี่ปุ่น ไปประเทศในฝันของเราครั้งแรก! แต่ก็รู้สึกเหงาๆ ด้วยเหมือนกัน ก่อนเดินทางก็ไปร่ำลาญาติๆ ทุกคนหมดแล้ว เตรียมเดินทางไปสุวรรณภูมิ! เคยมาส่งเพื่อน ส่งคนอื่นหลายรอบ แต่ขึ้นเครื่องบินก็ครั้งแรกนี่แหละ ตื่นเต้นสุดๆ ไฟล์ทเราบิน 23:50 แน่นอนว่าก็ควรเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เลย 1-2 ทุ่มก็ควรถึงสนามบินได้แล้ว จากนั้นก็ไปเช็คอิน โหลดกระเป๋าเอง
ส่วนของเรากระเป๋าเดินทาง 29 นิ้ว 1 ใบถ้วน ซื้อตั๋วของการบินไทยแบบ Full Service เราจะได้โหลดน้ำหนักกระเป๋าใต้เครื่อง 25 กิโล ถ้าเกินอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มนะ แนะนำให้ซื้อที่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าเดินทางเผื่อไว้ด้วย และสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ ส่วนราคาตั๋วที่เราได้มาคือ 20,810 บาท! เอาจริงก็ถือว่าราคากลางๆ ไม่แพงมาก พยายามจองให้ได้ราคาประมาณนี้จะดีที่สุดเด้อออ!
พอเช็คอินแล้วก็ไปนั่งรอ นั่งเล่นกับเพื่อนตามอัธยาศัย ประมาณ 21:20 ก็เริ่มขึ้น Gate ได้แล้ว ประตูขึ้น Gate จะเห็นชัดมาก เป็นที่ที่มีคนขึ้นบันไดเลื่อนโบกมือลากัน 555 ก่อนจะขึ้น Gate สิ่งที่ต้องเตรียมเลยคือ Passport และ Boarding Pass เป็นตั๋วยาวๆ สีขาว เราก็เอาตรงที่มี QR code แตะปึ้บ ประตูก็จะเปิดขึ้นบันไดเลื่อน โบกมือลาเพื่อนๆ และครอบครัว TwT//
บรรยากาศที่สนามบิน คนเยอะมากกก
พอขึ้นไปข้างบนถ้าจำไม่ผิด ก็ต้องมีตรวจกระเป๋าเป้ด้วย แล้วก็เดินไปตาม Gate ที่เขียนไว้ในตั๋วเลย ในสนามบินกว้างมากก็จริง แต่แนะนำให้เดินละก็มองป้ายด้านบนไว้ไม่หลงแน่นอน ขนาดเรามือใหม่ยังไม่หลงเลย คิดว่าทุกคนที่เคยไปครั้งแรกต้องทำได้แน่ๆ 5555
ภายในสนามบิน หลังเดินขึ้นบันไดมาแล้ว
พอมาถึงหน้า Gate ก็ลองไปสำรวจรอบๆ ถ้ามีเวลาว่าง รอจนกว่า Gate จะเปิดให้ขึ้น ก็คอยสังเกตไปๆ ช่วงที่มีคนมาออกันเยอะๆ นะแหละ
หน้า Gate เราเอง
พอ Gate เปิดก็เดินขึ้นเครื่องแบบชิวๆ เลย ส่วนที่นั่งก็เดินไปเรื่อยๆ ตามที่เขียนบอก ไม่รู้ก็ถามแอร์ ถามสจ๊วตเลย
หลังจากมานั่งการบินไทยครั้งแรกก็ยอมรับว่าโอเคอยู่นะสำหรับครั้งแรก ปังสุดๆ มีจอทีวี มีหนังให้ดู มีหมอน มีผ้าห่มครบ ส่วนหนังเราไม่ดูแล้วกะนอนอย่างเดียว555 แต่ก็นอนไม่ค่อยหลับหรอก หลับๆ ตื่นๆ พอตี 3 แอร์เปิดไฟลุกปลุกให้มาทานข้าวจ้า5555555 กินเสร็จปุ๊บก็นอนต่อแบบหลับๆ ตื่นๆ พอซักประมาณ ตี 5 ถึง 6 โมงเช้า แอร์ปลุกอีกรอบให้ทานข้าวจ้าาา แต่ข้าวก็ปังอยู่นะ ก็พอกินได้ รสชาติก็โอเคอยู่ มีน้ำผลไม้ กาแฟ โยเกิร์ต ขนมปัง เสิร์ฟครบเลย
ขนมปังตอนตี 3 เก๋ๆ อร่อยดีนะ
พอเครื่องแลนด์สนามบินนาริตะ และเราลงจากเครื่องบิน ยอมรับว่าแบบเห้ยยย มันปริ่มอ่ะ นี่เรามาถึงญี่ปุ่นแล้วจริงๆ ใช่ไหมวะ!! เออ!! ก่อนขึ้นเครื่องก็อย่าลืมใส่ซิมท่องเที่ยวนะ พอใส่ไปแล้วก็ให้เปิดโรมมิ่งไว้ พอถึงญี่ปุ่นมันจะหาสัญญาณญี่ปุ่นให้เราอัตโนมัติเลย เล่นเน็ตได้ตามปกติเลย
ข้าวเช้าอร่อยมากก หิวแหละ555
4. ถึงญี่ปุ่นซักที อมกกกก!!!
พอลงจากเครื่องคือแบบชิบหายยย โครตหนาวววว นี่หรือคืออากาศหนาวญี่ปุ่น เชี่ยยยยยได้สัมผัสอากาศหนาวครั้งแรก แม่งโครตปริ่ม กูปลิ้มปริ่มทุกเรื่องอ่ะตอนนี้ บอกได้แค่นี้5555555
สนามบินนาริตะ Terminal 2 ฉันมาถึงแล้วววว T T
พอถึงญี่ปุ่นแล้ว เอาจริงๆ เราเองก็มาสนามบินนาริตะครั้งแรกก็ไม่รู้ทางหรอก เน้นเดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ นะแหละ5555 แล้วก็มองดูป้ายเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งแรกที่เราต้องเจอคือ ตม.จ้าาาาา!!
ซึ่ง ตม.ญี่ปุ่นแถวยาวมากกกกก รีบเดินไปถึงเร็วจะดีที่สุด นี่ก็รอต่อแถวเรื่อยๆ พอถึงคิว เจ้าหน้าที่จะขอ Passport เรา แล้วก็ถ่ายรูปเรา พอเขาเห็น Passport เรา แล้วเขาก็เห็นวีซ่านักเรียนเรา เขาเลยเหมือนตะโกนแบบ 長期ๆๆ โจคิๆๆ (ระยะยาว) ไม่แน่ใจใช่ไหม แต่น่าจะคำนี้ละมั้ง5555 นี่ก็เลยได้สิทธิไปต่ออีกแถวหน้าด้านเลย อย่างไววววว เดาว่าคนอื่นน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเลยต้องรอนาน แต่ของเราเป็นวีซ่านักเรียน เขาเลยให้ลัดมาอีกช่องนึงเลย
พอถึงตม. นี่ได้เจอผู้ชาย คือแบบหน้านิ่งมาก นี่ก็พยายามนิ่งๆ ไว้ พูดทักทายปกติ おはようございます ฮีก็นิ่งๆ นะ คงจะคีฟลุค555 ฮีก็เช็คเอกสาร เช็คพาสปอร์ต เช็ค COE,COA เอ้อ ตอนไปตม. ก็เตรียมไปให้หมดเลยนะ รวมทั้งใบขอทำงานพิเศษด้วย ถ้าเรายื่นตรงนั้น ตม. เขาจะปั๊มคำว่า "อนุญาตให้ทำงานได้ 28 ชม." หลังไซริวการ์ดของเรา แล้วเราก็ผ่านตม. ออกมาได้อย่างเรียบร้อยยยยย ได้ไซริวการ์ดมาพร้อม!!
หลังจากออกจากตม. มา สิ่งที่เราต้องเจอคือจะมีกระเป๋าเดินทางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเว่อออ ให้เราไปหากระเป๋าเดินทางของเรา แล้วก็ลากไปที่ศุลกากร เอ้อออ ก่อนจะมาญี่ปุ่นให้ทำ Visit Japan มาด้วยเด้ออออ (วิธีการกรอกข้อมูลมีคนรีวิวไว้เยอะมาก ลองหาอ่านกันดูนะ) ซึ่งพอเราทำ Visit Japan มาแล้ว ก็แคปตัวที่เป็น QR code มา จากนั้นก็เอาไปสแกนที่ตม. กับ ศุลกากรเลย ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ลากกระเป๋าออกมา พร้อมเดินทางงงงง!!
5. หลังจากออกมาแล้ว ก็จะมีการเดินทางหลายแบบ มีทั้งรถไฟเข้าเมือง มีทั้งรถบัส ซึ่งเราเลือกรถบัสเลยจ้าาา เป็นลีมูซีนบัส สามารถซื้อได้เคาน์เตอร์แถวๆ นั้นเลย หาไม่ยากมาก แล้วมีรถออกหลายเที่ยวมากก ไม่ต้องจองไปก่อนก็ได้ ไปซื้อหน้างานยังไงๆ ก็มีที่นั่ง ออกมาก็ได้ฝึกใช้ภาษาญี่ปุ่นทุกทาง5555
หลังจากซื้อตั๋วรถบัส ป้ายรถบัสจะอยู่ตรงประตูด้านหน้าเลย หาไม่ยากกก แต่ถ้าของฮาเนดะก็ไม่รู้นะ55555 แต่คิดว่าคงหาไม่ยากขนาดนั้น ค่าตั๋วประมาณ 3,600 เยนได้ มีเจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าเข้ารถบัสให้เรียบร้อย ตอนเราขึ้นไปทั้งคันมี 6 คนเองมั้ง5555 เราก็นั่งชมวิวรอบๆ ไปเรื่อยๆ ของเราเลือกลงที่สถานีชินจูกุ
รถบัสเขาดีมากกก
พอลงที่ชินจูกุก็คือแบบ โอ้โหหห ตายละกูจะไปยังไงดีนะ กระเป๋าก็หนักมาก5555 แต่ก็ต้องสู้อ่ะทุกคน55555 พยายามเปิดกูเกิ้ลแมป หาทางเข้าสถานี ลากกระเป๋าหนักมากกก จนมาถึงหน้าสถานีเอาละวะ กุจะซื้อตั๋วไงดีวะ5555555 เอาจริงเราก็พยายามศึกษาไว้ว่าเราเช่าบ้านไว้ที่สถานีไหน แล้วก็เปิดแมปเอา มันก็พอจะรู้ทางอยู่เอาดีๆ
นั่งรถบัสชมวิวชิวววๆๆ
ความพลาดของนี่อีก1 คือบ้านนอกมาก55555 คืออยากจะบอกว่ารถไฟญี่ปุ่นมันเชื่อมถึงกันแบบทั่วทุกรูขุมขนมาก คืออยากไปที่ไหนก็แค่เลือกจุดเริ่มต้น-สิ้นสุด นี่ก็ไปเลือกลงผิดสถานี เลยต้องจ่ายเพิ่ม คือนี่ยังคิดเหมือนไทยที่แบบ พอ BTS จากสยามลงอโศก ก็คือจบ แล้วเราก็ไปที่ MRT ต่อ ซึ่งมันแยกระบบจ่ายเงินกัน แต่ของญี่ปุ่นคือจะไปไหนก็ไปได้หมดเลยทีเดียว คำนวณรวมไปเลยทีเดียว โอเคบ้านนอกเข้าเมืองเจริญละ 1 กรุบ
ขึ้นรถไฟแบบงงๆ ครั้งแรก แต่ก็ผ่านมาได้แบบงงๆ 555
หลังจากซื้อตั๋วได้ซักที ก็ยังแบบเขินๆ กูจะเดินผ่านยังไงวะ มันดูที่เสียบไม่เหมือน BTS MRT บ้านเรา แต่ดูมีความเก๋ๆ ในตัว นี่ก็กลัวๆ เลยถามจนท. ไปแบบงงๆ ว่า 通れますか? ผ่านตรงนี้ไปได้เลยใช่ไหมครับ เขาก็บอกว่าใช่ครับ 通れます นี่ก็โอเค ลองเสียบๆ ตั๋วเข้าไป พอเดินเข้ามา มันจะมีตั๋วออกมาอีกด้านของเครื่องด้วยนะ อย่าลืมหยิบติดมาด้วยนะ
จากนั้นก็เดินไปตามป้ายเลย แนะนำว่าให้ดูป้ายอย่างเดียว555 นี่ก็ราบรื่น ไม่หลง555 พอขนกระเป๋าเข้ารถไฟได้ก็โอเคละ เพราะเราก็มาถึงประมาณ 10-11 โมงได้ ช่วงนี้ไม่ใช่ rush hour ยังไงคนก็ไม่ค่อยแน่น จากนั้นนั่งรถไฟไปถึงสถานีที่ต้องการลง พยายามฟังที่เขาประกาศดีๆ พอถึงก็ลง แล้วก็เสียบตั๋วเข้าไปเหมือนเดิมก็ถือว่าเป็นอันจบบบบบบ
รถไฟฟ้าบ้านเค้าปังจริงงง ขึ้นรถไฟครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจไปหมด
หลังจากเรามาถึงที่พักของเราก็คือมีอะไรต้องทำหลายอย่างจริง พยายามลิสต์ไว้ด้วยนะ ของเราคือแบบจนท.บอกว่าให้ช่างมาเช็คไฟ เช็คน้ำประปาต่างๆ นี่ก็ต้องรออยู่ห้อง เนื่องจากในห้องไม่มีอะไรเลยยยย เลยต้องไปหาซื้อฟูก ซื้อราวตากผ้า คือแบบสารพัดอย่างมาก T T แต่โชคดีมากๆ มีเพื่อนคนญี่ปุ่นที่เป็นลูกนายญี่ปุ่นคนนึง เขาช่วยพาไปซื้อของ ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ ช่วยขนของเข้าห้อง แล้วยังพาไปเลี้ยงข้าวอีก คืออยากกราบงามๆ ล้านที T__T สัญญากับเขาแล้วว่า ถ้าไปเมืองไทยเมื่อไรจะเลี้ยงข้าวอร่อยๆ ให้แน่นอน!!!!
เพื่อนญี่ปุ่นพามาเดินซื้อของเข้าห้องที่ NITORI ชิบูย่าเลย ซึ้งใจมากก
อยากจะบอกว่าคนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรก พยายามวางแผนดีๆ เลย เพราะเรื่องการขนของ ซื้อของเข้าห้องมันลำบากมากจริงๆ หรือไม่ก็พยายามเลือกโรงเรียนสอนภาษาที่มีหอในตัว หรือเลือกห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ มีเตียงนอนก็จะสะดวกมากขึ้น ส่วนของเราคือไม่มีอะไรในห้องเลยยยย แต่พิเศษหน่อยตรงที่อยู่ในโตเกียว มีย่านการค้าด้วย ค่าเช่าประมาณ 51,000 เยน ถือว่าราคาถูกแล้วจริงๆ เพราะไปถามเพื่อนที่รู้จักมา เช่าบ้านในโตเกียวก็อย่างต่ำ 70,000-100,000 เยนอัพจริงๆ ราคามันโหดมากกก แต่เราหาเช่าบ้านได้ราคานี้คือแบบโชคดีมากแล้วล่ะ T^T
หลังจากไปหาไรกินกับเพื่อนคนญี่ปุ่น กลับมาถึงห้องคือหนาวมากจริงๆ เรามาช่วงๆ ต้นเมษายน อุณหภูมิยังประมาณ 10 องศาเลย แล้วในห้องคือหนาวแบบของจริง แต่ฟูกที่ซื้อมาก็พออุ่นอยู่ พอนอนปุ๊บก็หลับสนิทเลย จบชีวิตวันแรกที่ถึงญี่ปุ่น!!
ไว้ EP. ถัดไปจะมาเล่าถึงสิ่งที่ต้องทำตอนอยู่ญี่ปุ่นกันต่อเลยนะ!! ติดตามกันด้วยนะครับ!!
โฆษณา