2 พ.ค. เวลา 04:00 • ธุรกิจ

‘YOLK’ เปิดร้านไม่ถึงครึ่งปี ขายได้เดือนละ ‘9.5 ล้าน’ ตั้งเป้าเปิดให้ครบ 7 แห่ง

รู้จัก “YOLK” ทาร์ตไข่คิวยาวของ “อิน-สาริน” จากพระเอกซีรีส์วายสู่เจ้าของธุรกิจขนมหวาน เปิดมาเพียง 4 เดือน กวาดยอดขายเดือนละ “1 แสนชิ้น” ปีนี้ขยายให้ครบ 7 สาขา ตั้งเป้าใหญ่เป็นอาณาจักรของหวาน วางแผนเปิดร้านขายอาหารไทยเพิ่มด้วย
“YOLK” ได้ฤกษ์ตัดริบบิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่กระแสทาร์ตไข่ในฮ่องกงมาแรงจนใครๆ ก็ต้องแวะซื้อ ซึ่งคนไทยที่มีโอกาสไปเที่ยวฮ่องกงก็มองขนมทาร์ตไข่เป็นหนึ่งในเดสทิเนชันเช่นกัน “อิน-สาริน รณเกียรติ” เจ้าของและผู้ก่อตั้ง “YOLK” จับกระแสความร้อนแรงของทาร์ตไข่ได้ และพบว่า นี่ไม่ใช่ขนมไวรัลที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่กลับยืนระยะมาได้นานมากกว่า 4-5 ปี
เมื่อพิจารณาพร้อมกับผลวิจัยด้านการตลาดก็พบว่า บ้านเรายังไม่มี “Market Competitor” ที่โดดเด่น จะเป็นอย่างไรถ้านำทาร์ตไข่ฮ่องกงมาพัฒนาเป็นสูตรที่ถูกปากคนไทยจริงๆ “อิน” ใช้เวลาพัฒนาสูตรอยู่ 1 ปีเต็ม จากนั้นจึงถึงเวลาเปิดร้านทาร์ตไข่ริมถนนบรรทัดทอง ภายใต้ชื่อ “YOLK” ที่มีคำแปลตรงตัวว่า “ไข่แดง”
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ “YOLK” ไม่ใช่ธุรกิจแรกสุด แต่เป็น “Holiday Pastry” ร้านขนมหวานที่เปิดมาได้ราวๆ 5 ปี ภายใต้อาณาจักรฮอลิเดย์ กรุ๊ป มีหุ้นส่วนหลักๆ 2 คน คือ “อิน-สาริน รณเกียรติ” และ “ไทด์-วสุวัส คูหาเปรมกิจ” ฝั่งอินดูแลภาพรวมด้านการตลาดและ Art Direction ส่วนไทด์รับผิดชอบการเงินและดูแล Operation หลังบ้าน แม้จะไม่ได้จบการตลาดมาโดยตรง อาศัยเรียนรู้-ครูพักลักจำจากพาร์ทเนอร์ แต่อินก็พบว่า องค์ความรู้งานสถาปัตย์มีส่วนสำคัญในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจร้านขนมหวานได้เป็นอย่างดี
จากจุดเริ่มต้นที่อยากหยิบเมนูขนมหวานท่ามกลางกระแสร้อนแรงระดับโลกมาให้คนไทยได้กิน ด้วยฝีมือคนไทยและรสชาติแบบคนไทย ลับคมจากการทำโปรดักต์คลาสสิกและไวรัลตั้งแต่ชีสทาร์ต เฟรนช์โทสต์ ขนมไหว้พระจันทร์ ช็อกโกแลตดูไบ ฯลฯ กระทั่งทั้งคู่เริ่มเห็นกระแสทาร์ตไข่ในฮ่องกงที่ผ่านมาหลายปีก็ยังได้รับฟีดแบ็กที่ดีมากๆ จึงมองว่า นี่คือขนมที่มีศักยภาพมากพอจะนำมาต่อยอดได้ ไม่ใช่ในฐานะอีกหนึ่งเมนูของ “Holiday Pastry” แต่เป็นการแตกแบรนด์เพื่อขายเฉพาะทาร์ตไข่เท่านั้น
หลังจากเห็นกระแสในฮ่องกง “อิน” ทำวิจัยการตลาดเพิ่มเติมเพื่อลงลึกมากขึ้น และพบว่า กลุ่มลูกค้าตั้งแต่ Gen Y เป็นต้นไปไม่รู้ว่า เจ้าตลาดทาร์ตไข่ในไทยคือใครกันแน่ เว้นแต่เชนไก่ทอดผู้พันที่แม้จะขายเมนูดังกล่าวมาหลายปี แต่ก็ไม่ใช่ “Hero Product” ของแบรนด์
ประกอบกับกรณีศึกษาที่ฮ่องกงทำให้พบว่า ทาร์ตไข่ไม่ใช่ขนม “Viral Trend” แต่อยู่ในฐานะ “Classic Trend” ขนมไวรัลกระแสแรงจริงแต่มีอายุสั้นมากเพียง 90 วันเท่านั้น ขณะที่ขนมคลาสสิกตลอดกาลสามารถยืนระยะได้ยาวนานกว่า เพียงแต่อาจจะต้องรอคนมาปลุกเทรนด์จากหลับใหล ซึ่ง “ทาร์ตไข่” คือหนึ่งในขนมคลาสสิกที่ว่ามา
ใช้เวลาพัฒนาสูตรร่วมกับเชฟชาวฮ่องกง 1 ปีเต็ม จึงออกมาเป็น “ทาร์ตไข่” ฉบับ “YOLK” ที่มีหน้าตาแตกต่างจากร้านอื่นๆ ในไทยโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะแป้งครัวซองต์ที่ห่อหุ้มตัวทาร์ตไว้ เพราะใช้วัตถุดิบเนย นม และไข่ปริมาณค่อนข้างมาก ออกแบบให้มีชิ้นใหญ่ที่สุดในตลาดทาร์ตไข่เมืองไทย ณ ตอนนี้ เคาะราคาขายแบบหนึ่งแบงก์แดงมีทอน
เปิดร้านมาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็เกิดกระแสในโลกโซเชียล เผลอแปปเดียวมีคิวหน้าร้านยาวเหยียดจนตั้งตัวไม่ทัน คิดว่า กระแสที่เกิดขึ้นมาจากลูกค้าไปรีวิวบอกต่อแบบออแกนิกทำให้เกิดปรากฏการณ์ชั่วข้ามคืน ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันยอดขายทาร์ตไข่ “YOLK” ก็ไม่เคยตกอีกเลย เฉลี่ยต่อเดือนจนถึงขณะนี้ขายทาร์ตไข่ได้เดือนละ “1 แสนชิ้น” ราคาขายชิ้นละ 95 บาท เท่ากับว่า ยอดขายต่อเดือนอยู่ที่ราวๆ “9.5 ล้านบาท”
ภาพรวมความเคลื่อนไหวของ “ฮอลิเดย์ กรุ๊ป” ในปีนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ 1. ยุบไลน์อาหารคาวในร้าน Holiday Pastry เตรียมตัวแตกแบรนด์อาหารคาวร้านใหม่ ซึ่งจะได้เห็นกันอีกทีในปี 2569 2. เปิด YOLK ให้ครบ 7 สาขาภายในปีนี้ 3. เปิดแบรนด์ขนมหวานเพิ่มอีก 1 แบรนด์ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
สำหรับ “Holiday Pastry” ที่เปิดทำการมา 5 ปี ทำเงินทะลุร้อยล้านไปแล้ว ปีนี้ตั้งเป้าไกล 150 ล้านบาท ส่วน “YOLK” หากคำนวณจากยอดขายในตอนนี้บวกกับจำนวนสาขาเปิดใหม่ มั่นใจว่า จะไปถึง “100 ล้านบาท” ได้สำเร็จ ตั้งเป้าขายได้วันละ 1 ล้านชิ้น สำหรับอีก 5 สาขาที่จะเปิดเพิ่ม ใช้งบลงทุนอีกราวๆ 30 ล้านบาท กระจายให้ทั่วทุกหัวมุมกรุงเทพฯ สาขาต่างจังหวัดตามหัวเมืองเป็นอีกสเตปถัดไป
โฆษณา