18 เม.ย. เวลา 10:45 • นิยาย เรื่องสั้น

เมื่อเงินไทยระเบิด

พระอาทิตย์ส่องแสงจ้าเหนือผืนฟ้ากรุงเทพฯ ในเช้าวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ชวัลวัฒน์เดินออกจากคอนโดมิเนียมหรูย่านสาทร เขากระชับกระเป๋าเอกสารแบรนด์ดังในมือ ก่อนก้าวขึ้นรถเบนซ์ป้ายแดงที่เพิ่งผ่อนมาได้ไม่ถึงเดือน
"วันนี้คงจะเป็นวันที่ดีอีกวัน" เขาคิด ขณะเปิดวิทยุฟังข่าวเศรษฐกิจตามปกติ
แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้มือที่จับพวงมาลัยแข็งค้าง...
"ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หลังใช้เงินทุนสำรองกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องค่าเงิน..."
ชวัลวัฒน์รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนควง บริษัทส่งออกที่เขาทำงานเพิ่งกู้เงินดอลลาร์มาขยายกิจการเมื่อสองเดือนก่อน โดยไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะทุกคนเชื่อว่าค่าเงินบาทจะแข็งแกร่งตลอดไป...
เขาจอดรถข้างทาง หยิบโทรศัพท์มือถือโนเกียออกมากดเบอร์ที่ทำงาน
"เฮีย รีบมาบริษัทด่วน เราต้องประชุมฉุกเฉิน เรื่องใหญ่มาก"
5 ปีก่อนหน้านั้น
"ไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย!" เสียงของนายกรัฐมนตรีดังก้องในงานสัมมนานักลงทุนใหญ่กลางกรุงเทพฯ
สมบัติ นักธุรกิจวัย 40 ปี นั่งอยู่แถวหน้า เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเขากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ยอดขายคอนโดพุ่งทะยาน สินเชื่อจากต่างประเทศไหลเข้ามาเทมาเท ดอกเบี้ยต่ำกว่าในประเทศมาก
"ทำไมไม่กู้ล่ะ?" เขาบอกกับภรรยาในคืนนั้น "ทุกคนก็ทำแบบนี้ กู้เงินดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำผ่าน BIBF แล้วเอามาลงทุนในไทย ทำคอนโด ทำห้าง กำไรชัวร์!"
สุภาภรรยาสาวดูกังวล "แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงล่ะคะ? เราจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้?"
สมบัติหัวเราะใหญ่ "เมียจ๋า เงินบาทแข็งมาเป็นสิบปีแล้ว ธนาคารชาติเขารักษาไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ ไม่มีทางอ่อนค่าหรอก จิตนาการเกินไปแล้ว"
ย่านคลองเตย กรุงเทพฯ
สมจิตร สาวโรงงานวัย 25 ปี ทำงานที่โรงงานทอผ้าในสมุทรปราการมา 5 ปี เธอและเพื่อนพนักงานกว่า 800 คนเพิ่งได้ยินข่าวดีว่าบริษัทจะขยายกิจการ มีการสร้างโรงงานใหม่ มีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่จากญี่ปุ่น
"พี่ว่าจะได้โบนัสดีแน่ปีนี้" เพื่อนร่วมงานกระซิบขณะพักกลางวัน "เขาว่าเศรษฐกิจไทยรุ่งสุดๆ ตอนนี้"
สมจิตรยิ้ม เธอกำลังวางแผนส่งเงินให้พ่อแม่ที่อุบลฯ สร้างบ้านหลังใหม่ "จั้งได๊เน่อ ดีแท้ๆ"
ไม่มีใครในโรงงานรู้เลยว่า เบื้องหลังการขยายกิจการครั้งใหญ่นี้ เจ้าของกิจการได้กู้เงินจากต่างประเทศมหาศาล โดยไม่มีการป้องกันความเสี่ยงใดๆ
สำนักงานใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ปรเมธี เจ้าหน้าที่หนุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย นั่งประชุมกับทีมนโยบายการเงิน บนหน้าจอฉายกราฟแสดงปริมาณเงินไหลออกจากประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
"พวกกองทุนเก็งกำไรกำลังทดสอบเรา" ผู้อำนวยการอาวุโสกล่าว "พวกเขาคิดว่าเราปกป้องค่าเงินบาทไม่ได้ แต่เรามีเงินทุนสำรองพอ เราจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเด็ดขาด"
ปรเมธีมองตัวเลขเงินทุนสำรองที่ลดลงทุกวัน เขาเริ่มรู้สึกกังวล แต่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะทุกคนในห้องดูมั่นใจกับนโยบายปกป้องค่าเงินบาท
"เรามีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เติบโตที่ 8-10% ต่อปีมาหลายปีแล้ว เราจะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้" ผู้อำนวยการย้ำอีกครั้ง
แต่ลึกๆ ปรเมธีเริ่มสงสัยว่า การเติบโตนั้นมาจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และการกู้ยืมที่มากเกินไป และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฟองสบู่แตก
2 กรกฎาคม 2540 – วันที่โลกพลิกผัน
ชวัลวัฒน์นั่งอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ใบหน้าซีดเผือด เช่นเดียวกับผู้บริหารทุกคนในห้อง
"หนี้ของเราเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในวันเดียว" ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินรายงาน "และค่าเงินบาทยังคงอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าจะหยุดที่เท่าไหร่"
เจ้าของบริษัท ชายวัย 60 ปี หน้าตาเคร่งเครียด "เราต้องลดขนาดบริษัทลงทันที ลดการผลิต ชะลอการลงทุนทุกอย่าง และ..." เขาหยุดชั่วครู่ "ต้องเลิกจ้างพนักงานอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง"
ห้องประชุมเงียบกริบ ใครบางคนถอนหายใจยาว
"ไม่น่าเชื่อ เมื่อวานเรายังเป็นบริษัทที่กำลังเติบโต วันนี้เรากำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอด" รองประธานพูดเสียงแผ่ว
สมจิตรยืนนิ่งหน้าประตูโรงงาน เธอและเพื่อนร่วมงานอีกกว่า 500 คน เพิ่งได้รับแจ้งว่าถูกเลิกจ้างทันที พร้อมเงินชดเชยเล็กน้อย
"แล้วฉันจะทำยังไงต่อ?" เธอพึมพำกับตัวเอง น้ำตาเริ่มไหล มือกำซองเงินชดเชยแน่น "จะบอกพ่อแม่ยังไงว่าไม่มีเงินส่งให้แล้ว ต้องหยุดสร้างบ้านกลางคัน"
เพื่อนร่วมงานหลายคนเริ่มร้องไห้ บางคนโกรธ บางคนงุนงง แต่ทุกคนมีคำถามเดียวกัน: แล้วต่อไปจะทำอย่างไร?
สมบัติยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงในกรุงเทพฯ ในมือถือเอกสารจากธนาคารที่แจ้งว่าบริษัทของเขาผิดนัดชำระหนี้และต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ทุกอย่างที่เขาสร้างมา 15 ปี พังทลายในเวลาไม่ถึงเดือน
เขามองลงไปที่ถนนเบื้องล่าง คิดถึงครอบครัว ภรรยาและลูกสาวสองคนที่คงจะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ต้องออกจากบ้านหลังใหญ่ ลูกอาจต้องออกจากโรงเรียนนานาชาติ
"ผมไม่น่าโลภเลย" เขาพึมพำกับตัวเอง "ไม่น่าเชื่อใจคนที่บอกว่าเศรษฐกิจจะเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่น่ากู้เงินมากมายขนาดนั้น..."
โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เป็นเสียงของสุภาภรรยาที่รัก
"กลับบ้านนะคะ เรายังมีกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"
สมบัติกลั้นน้ำตา ก้าวออกจากขอบดาดฟ้า... เขาเลือกที่จะไม่ยอมแพ้
6 เดือนต่อมา
ข่าวการฆ่าตัวตายของนักธุรกิจและนายธนาคารปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน เศรษฐกิจไทยตกต่ำลงเรื่อยๆ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 50% บริษัทปิดตัวทั่วประเทศ คนตกงานนับล้าน
รัฐบาลไทยต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF กว่า 17,200 ล้านดอลลาร์ แต่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่เจ็บปวด: ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดการใช้จ่ายภาครัฐ ปฏิรูประบบธนาคาร
ปรเมธีนั่งในห้องทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เขาและทีมกำลังทำงานหนักเพื่อฟื้นฟูระบบการเงินของประเทศ
"เราต้องเปลี่ยนทุกอย่าง" เขาพูดในที่ประชุม "เราไม่สามารถกลับไปทำแบบเดิมได้อีก ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น และต้องใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่มีการจัดการ"
5 ปีหลังวิกฤต
สมจิตรยืนอยู่หน้าร้านขายของชำเล็กๆ ของเธอในตลาดคลองเตย มันไม่ใช่งานในโรงงานที่มีเงินเดือนประจำ แต่มันคือการเริ่มต้นใหม่ของเธอ หลังจากตกงานและกลับบ้านที่อุบลฯ เธอตัดสินใจนำเงินเก็บที่เหลืออยู่มาลงทุนเปิดร้านเล็กๆ ในกรุงเทพฯ
"วันนี้ขายดีไหมคะ?" ลูกค้าประจำถาม
"ก็พอไปได้ค่ะ" สมจิตรยิ้ม "ดีกว่าช่วงวิกฤตเยอะแล้ว ตอนนี้คนเริ่มมีเงินใช้มากขึ้น"
ไม่ไกลจากร้านของสมจิตร สมบัติเดินออกจากออฟฟิศเล็กๆ ของเขา หลังจากสูญเสียทุกอย่างในวิกฤต เขาเริ่มต้นใหม่ด้วยธุรกิจที่ปรึกษาขนาดเล็ก ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยธุรกิจอื่นๆ
"บทเรียนที่แสนเจ็บปวดทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่เรียกว่า 'รวยเร็ว' โดยไม่มีความเสี่ยง" เขาเล่าให้ลูกค้าฟัง "ทุกวันนี้ผมทำธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้น ไม่กู้เงินเกินตัว และเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอ"
ที่อีกฟากของเมือง ชวัลวัฒน์นั่งในสำนักงานแห่งใหม่ของเขา บริษัทเดิมปิดตัวไปแล้ว แต่เขาและเพื่อนร่วมงานบางส่วนรวมตัวกันตั้งบริษัทส่งออกขนาดกลาง เน้นความยั่งยืนมากกว่าการเติบโตอย่างรวดเร็ว
"เราเรียนรู้จากวิกฤตต้มยำกุ้ง" เขาบอกกับพนักงานใหม่ "ความสำเร็จที่แท้จริงคือการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ใช่การพุ่งขึ้นเหมือนจรวดแล้วร่วงลงมาแบบหินตก"
25 ปีหลังวิกฤต
ปรเมธี ที่ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรการเงินระหว่างประเทศ นั่งอยู่บนเวทีในการสัมมนาเรื่อง "บทเรียนจากวิกฤตการเงิน" ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
"วิกฤตต้มยำกุ้งสอนให้เรารู้ว่า ความมั่งคั่งที่สร้างขึ้นบนฐานที่ไม่มั่นคงนั้น อาจจะพังทลายได้ในชั่วข้ามคืน" เขากล่าวต่อนักศึกษา "เศรษฐกิจไทยวันนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก เรามีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น มีระบบเตือนภัยที่ดีขึ้น แต่เราต้องไม่ลืมบทเรียนในอดีต"
ในผู้ฟังแถวหน้า มีชวัลวัฒน์ สมบัติ และสมจิตร ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาในวิกฤตครั้งนั้น แม้ชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปมาก แต่บทเรียนจากวิกฤตยังคงอยู่ในความทรงจำ
"การผ่านพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งมาได้ ทำให้เราทุกคนแข็งแกร่งขึ้น" สมบัติกล่าวหลังจบงานสัมมนา "มันเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด แต่มีค่า สอนให้เรารู้จักประมาณตน รู้จักความพอเพียง และเข้าใจว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน"
สมจิตรที่ปัจจุบันมีร้านค้าหลายสาขาพยักหน้าเห็นด้วย "ดิฉันคิดว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมากตั้งแต่วิกฤตนั้น ชีวิตสอนให้เรารู้จักลุกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะล้มครั้งใหญ่แค่ไหน"
ชวัลวัฒน์ลูบศีรษะลูกชายวัยรุ่นที่มาด้วยกัน "พ่ออยากให้ลูกได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์บทนี้ เพราะคนที่ไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มักจะถูกกำหนดให้ต้องเผชิญกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า... เราต้องไม่ลืมบทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ไม่ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร"
ทั้งสามมองออกไปยังตึกระฟ้าของกรุงเทพฯ ที่ทอดยาวสุดสายตา เมืองที่ผ่านการล่มสลายและฟื้นตัวขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับชีวิตของพวกเขา
โฆษณา