Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
19 เม.ย. เวลา 11:29 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
About Black sea and the Mediteranian 3
ต่อเลยนะครับ และคาดว่า ใกล้จะจบแล้วล่ะ สำหรับเรื่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลสาปแบล้กซี
เมื่อค.ศ. 79 ภูเขาไฟวิซูเวียส ได้ถล่มเมืองปอมเปอี จนราบพนาสูร พ่นกลุ่มก๊าซที่อันตราย ที่เรียกว่า เถ้ากรวดและภูเขาไฟ ด้วยความร้อนแผดเผาสูงถึง 750 C° เมฆหมอกนี้ ได้ไหลผ่านภูเขาไฟ ด้วยความเร็วประมาณ 60 ไมล์ต่อชั่วโมง คนหมื่นคนต้องสำลักควันตายอย่างน่าอเนจอนาถและน่าสยดสยอง
แต่ทว่า โรมัน ค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากพลังงานพื้นฐานธรรมชาตินี้ แท้จริงแล้ว การค้นพบสิ่งที่เป็นผลลัพธ์โดยตรงของภูเขาไฟวิซูเวียส นำไปสู่การสร้างอาณาจักรที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่โลกเคยรู้จักของพวกเขา ด้วยสิ่งที่เรียกว่า "เถ้าหนัก"
ชาวโรมัน ค้นพบว่าหากผสมเถ้าหนัก เข้ากับปูนขาว หินพร้อมมิส และน้ำ จะทำให้เกิดซีเมนต์ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่มนุษย์เคยรู้จัก หินที่คนเราหล่อขึ้นมาได้เอง
ด้วยซีเมนต์ตัวนี้ โรมันจึงสามารถสร้างอาคารที่ยิ่งใหญ่และอาจหาญกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนนี้ เช่น สะพานลำเลียงน้ำ ที่สามารถขนส่งน้ำได้หลายร้อยไมล์ตามทางที่ลาดชัน ได้อย่างแม่นยำ ,
โดม หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เยี่ยมที่สุดของซีเมนต์ หลังคาโค้งที่รับน้ำหนักได้เอง วิหารในโรม ที่สร้างในค.ศ .140 มันคือหลังคาโค้ง ไร้โครงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่อารยธรรมอื่นๆ มีเมืองแห่งเดียวที่อยู่ใจกลางอารยธรรมเวลานี้ ชาวโรมันสร้างเมืองได้หลายสิบแห่ง ที่อยู่รอบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หรือที่พวกเขาเรียกว่า "มานอสตุม"ทะเลของเรา
โรมันได้ก่อสร้างจักรวรรดิเพียงหนึ่งเดียว ที่รวมผนวกภูมิภาคอื่นๆได้สำเร็จ
สิ่งก่อสร้างในโรมันหลายแห่ง อันนำเอา "เถ้าหนัก"จากภูเขาไฟ มาผสมเป็นซีเมนต์ที่แข็งแกร่ง เช่น โดม มหาวิหารหลังคาไร้โค้ง ,สะพานลำเลียงน้ำ เป็นต้น
แลปทิส แม้กน่าร์ ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด มันคือมหานครมั่งคั่ง ที่มีพลเมืองถึงเก้าหมื่นคน มันคือเมืองที่มีรูปแบบทั่วไปของโรมัน ซึ่งมีแบบแผนที่มหานครทั่วโลก ลอกเลียนแบบหลังจากนั้น ตั้งแต่วอชิงตัน ดีซี ไปจนถึงซิดนีย์ ออสเตรเลีย ซึ่งอิงกับแนวตารางถนนที่เป็นระเบียบ และที่ส่วนใจกลาง คือที่วางส่วนอนุสาวรีย์ของพลเรือน
เงินจ่ายค่าเช่าของแม้กนิส แม้กน่าร์ของจักรวรรดิ คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการขยายอาณาจักรและอำนาจของโรม นั่นคือ การเกษตรกรรม
เมื่อ สองพันปีก่อน ทะเลทรายแห่งนี้ คือ พื้นที่เพาะปลูกและการเกษตร แอฟริกาเหนือ คือ แหล่งอาหารของโรม มันผลิตเมล็ดข้าวถึง1/3 ของจักรวรรดิ
การเกษตรกรรม เพิ่งพัฒนาได้ไม่นาน เมื่อราวๆหมื่นปีก่อน และมันเกิดขึ้นที่นี่ ที่เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก
ภูมิภาคที่ขยายจากอิสราเอลในปัจจุบัน จนถึงอิหร่าน อิรัค ถูกเรียกว่า วงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์
พืชผักที่กินได้เกือบครึ่งหนึ่งของโลก ถูกปลูกขึ้นมาที่นี่ ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโอ้ต
และข้าวที่อื่นๆที่ชาวโลกไม่มี นั่นคือ ข้าวสาลี
ข้าวสาลี มีค่ามาก จนทำให้ผู้ล่าสัตว์และหาอาหารปักหลัก ละทิ้งชีวิตเร่ร่อน เพื่อเพาะปลูกมัน
แต่เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ก็มีสัตว์ให้ภาคภูมิใจด้วยกันถึงสี่ชนิดด้วย
แกะ แพะ หมู และวัวป่าออร์ร้อกซ์ บรรพบุรุษของวัวควายยุคใหม่ ชาวเมดิเตอร์เรเนียนทั้งกลัวและยำเกรงวัวตัวผู้ วัวพวกนี้ อ้วนพีเร็วมาก มันเชื่อฟังคน และยอมรับการกักขัง วัวออร์ร้อกซ์ เพศผู้ อาจช่วยเราดึงคันไถ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่มันก็อาจจู่โจมเราได้ตลอดเวลา
พวกเขาบูชามันเป็นดั่งเทพเจ้า สักการะมัน และเคารพในพลังดุร้ายของธรรมชาติที่มันเป็นตัวแทน
ลัทธิวัวตัวผู้ ยังมีอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
กีฬาสู้วัวของสเปน สืบทอดโดยตรงจากการแสดงในโรมัน ที่จัดให้ทาสนักสู้ ต่อกรกับสัตว์ป่าในสังเวียนแห่งความตาย
การสู้วัว เป็นสัญลักษณ์แห่งการดิ้นรน ฝ่าฟัน อันเก่าแก่ของมนุษยชาติกับธรรมชาติ
บางครั้ง เราอาจปราบวัวได้ แต่บางครั้ง มันก็อาจปราบเราได้เหมือนกัน
การสู้วัว เป็น ความตึงเครียดในการเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียว นัยยะสำคัญ การสังเวยวัวตัวผู้ อาจดูไร้อารยธรรมในโลกปัจจุบัน แต่อดีตนั้น มันสำคัญในการดำรงชีวิต
ชาวสเปน ในกีฬาสู้วัว ที่นำมาจากกีฬาของชาวโรมันในยุคโบราณ วัวออร์ร้อกซ์เพศผู้ เป็นสิ่งที่ชาวสเปนและชาวเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดทั้งเคารพและยำเกรงมันดุจดั่งเทพเจ้าของพวกเขา
ไม่เว้น แต่กับมหานครที่กำเนิดอารยธรรมตะวันตก อย่างกรุงเอเธนส์
เมืองอโธโปลิศ ย่านธุรกิจการค้าบนยอดเขา ชาวเอเธนส์สร้างอารามอันวิจิตร เพื่อถวายเทพเจ้า และสังเวยวัวตัวผู้ แก่เทพอธีน่า องค์อุปถัมภ์
พาร์ทาน่อน คือวิหารที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่องค์อธีน่า รูปธรรมของเหตุผลจากสรวงสวรรค์ นักปรัชญาอย่างพลาโต หรืออาริสโตเติล พยามทำความเข้าใจโลกของพวกเขาผ่านตรรกะวิทยาและการทดลอง
แต่ชาวเอเธนส์ ก็เหมือนกับชาวเมดิเตอร์เรเนียนอื่นๆ ที่ยังต้องยอมต่อภัยธรรมชาติ เช่น เทพพยากรณ์เดลฟี่
โหรแห่งเมืองเดลฟี่ คือภิกษุณี และเสียงบนโลกของเทพอะพอลโล เทพพยากรณ์ของกรีก การเผยความจริงนี้ จะเกิดขึ้น ระหว่างการเข้าภวังค์ หรือการทรงเจ้า
นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เพิ่งค้นพบความลับของเธอ ลึกลงไปในใต้วิหารอะพอลโล นักวิทย์พบถ่านหิน ยางมะตอย แผ่นตะกอนของสารอินทรีย์เหล่านี้ มักปล่อยก้าซพิษ เช่น อะธีลีน และ มีเธน (ก้าซพิษ) แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเหล่านี้ ทำให้ก้าซลอยขึ้นมาจากผิวดิน คนที่สูดก๊าซนี้ อาจคิดว่าตนเองได้ยินเสียง
ปรากฏการ์ณโหรจากเดลฟี่ อาจได้รับอำนาจการพยากรณ์จากการสั่นสะเทือนภาคใต้พื้นโลก และแน่นอนว่า ประวัติศาสตร์ของเมดิเตอร์เรเนียน ถูกหล่อหลอมทางธรณีวิทยาที่รุนแรงของมัน เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก มีแผ่นดินไหวทุกๆสี่วัน โดยเฉลี่ย
ชาวกรีกโบราณ เชื่อว่าแผ่นดินไหว เกิดจากเทพโพเซดอน เป็นเทพแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร
สำหรับชาวเมดิเตอร์เรเนียนโบราณ แผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติต่างๆ ถือเป็นรางบอกเหตุ เป็นสาส์นจากเทพเจ้า ทว่า ลัทธินอกศาสนาและเทพเจ้าของมัน จะต้องหลีกทางให้แนวคิดที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และมีอำนาจแปรเปลี่ยน ชาวเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
วิหารพาร์เธน่อน และเทพีอธีน่าของชนชาติกรีก ชนชาติหนึ่งในดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน ที่นับถือวัวตัวผู้
คุณลักษณะที่สำคัญของชาวเมดิเตอร์เรเนียน ถูกหล่อหลอมขึ้น จากพลังแปรปรวนของธรรมชาติ หากทว่า การเคลื่อนไหวที่ทรงอิทธิพลที่มากที่สุด กลับไม่ใช่เรื่องของแผ่นดินไหว แต่เป็นเรื่องของศาสนาและจิตวิญญาณ
ในค.ศ. 1 ลัทธิเพเกิ้น อยู่ร่วมกับศาสนายูดาย ที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ทว่า ลัทธิเพเกิ้น นั้นนับถือ พระเจ้าหลายพระองค์
ลัทธิเพเกิ้นนิสม์ ที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ อยู่ร่วมกับศาสนายูดาย ที่นับถือพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ในดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน
พระเจ้าอับราฮัม ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพระเจ้าของคริสต์ ในที่สุด นั่นคือ อวสานของกลุ่มเพเกิ้น ลัทธินอกศาสนา
เมื่อจักรวรรดิโรมัน ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาแห่งรัฐ ในปีค.ศ. 380 นั่นคือ การรับรู้ว่า ศาสนานี้ได้มีอิทธิพลเหนือเมดิเตอร์เรเนียน ลัทธิเพเกิ้น นอกศาสนาจึงหมดไป
ทว่าในอีกราวๆสามร้อยปีต่อมา ทางตอนใต้ มีแรงขับเคลื่อนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งจะแบ่งแยกศาสนาไปตลอดกาล ศาสนาที่เรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า พระอัลเลาห์ะ
อิสลาม เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวทางทหารและศาสนาได้ประสบผลสำเร็จมาก พวกเขาปกครองเมดิเตอร์เรเนียนถึง3/4 มานาน ถึง800 ปี เริ่มจากค.ศ.614
พวกเขาแผ่อิทธิพลจากอาระเบีย พิชิตดินแดน และเปลี่ยนศาสนาประชากร
และภูมิศาตร์ของเมดิเตอร์เรเนียน ได้หล่อหลอมประวัติศาตร์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ไม่มีเทือกเขามหึมาที่ทอดจากเหนือจรดใต้ในแอฟริกาเหนือ ที่หยุดยั้งผู้บุกรุกรานชาวอาหรับที่บุกรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ม้าอาหรับ ของชนชาวมัวร์ นำพาให้พวกเขายึดเมืองคอร์โดบาของสเปน ได้ในที่สุด ก่อนจะถูกตีคืนในเวลาต่อมา โดยชาวศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก
เมื่อชาวมุสลิม ควบคุมชายฝั่งแอฟริกาของเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว พวกเขาก็มีแผนยึดครองต่อไป
ที่ช่องแคบยิบรอลต้าร์ มุสลิม และคริสต์อยู่ห่างกันเพียงเก้าไมล์เท่านั้น ในค.ศ. 711 ความจริงดังกล่าว จึงทำให้ชาวอาหรับ หรือ ชาวมัวร์ ข้ามมาอย่างง่ายดาย และบุกยุโรปอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าของอิสลาม คงไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากขาดความก้าวหน้าทางทหาร ทหารม้าของเขาขี่ม้าศึกที่ทรหด ความอดทนจากทะเลทราย ม้าเหล่านี้ ตอบรับไวในคำสั่ง แม้จะอยู่ท่ามกลางการสู้รบที่ดุเดือดในสมรภูมิ อีกทั้งยังกล้าหาญ อดทน
มันได้ชื่อว่า ม้าอาหรับ มาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยม้าเหล่านี้เอง พวกเขาจึงยึดสเปนได้ ในต้นศตวรรษที่8 และเข้ายึด คาบสมุทรไอบีเรียได้ ส่วนใหญ่ได้
และพวกเขา เรียกว่า อาณาจักรแห่งคอร์โดบา เมืองแห่งชาวมัวร์
เมืองคอร์โดบา ได้กลายเป็นศูนย์กลางของชาวมัวร์
เมืองที่แต่เดิมได้เป็นของโรมัน ได้กลายเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก
มันได้กลายเป็น เมืองศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของสุภาพชน และกำเนิดนวัตกรรม หลายอย่างของอิสลาม เช่น ไฟถนน ถังขยะ โรงพยาบาล 50 แห่ง สถานอาบน้ำ 300 แห่ง
และสุเหร่าที่อลังการที่สุดแห่งหนึ่งที่ชื่อ เนสกิต้า
แต่ทว่า ในเมดิเตอร์เรเนียน การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นกะทันหัน ในปีค.ศ.1236 คอร์โดบา ถูกชาวคริสเตียนยึดคืน
และที่ใจกลางสุเหร่า พระราชาและพระราชินี นิกายคาทอลิกในสเปน ได้สร้างมหาวิหารขึ้น
รูปทรงกางเขนได้เจาะหลังคาโค้งของสุเหร่า อนุสรณ์แห่งตวามขัดแย้งที่ดุเดือด เป็นครั้งคราวในเมดิเตอร์เรเนียน
เมืองคอร์โดบา ประเทศสเปน ที่ครั้งหนึ่งเคยตกเป็นของชาวอิสลาม
อิสลามถูกขับไล่ออกจากสเปน ในราวๆคริสตวรรษที่15
ฝากมรดกที่สำคัญ ที่ส่งผลอย่างยั่งยืน และใหญ่หลวงต่อชาวเมดิเตอร์เรเนียน และโลกทั้งหมด
นอกจากเมืองคอร์โดบา และ พระราชวังอาฟรา
ชาวมุสลิมยังนำเข้าวัตถุหลายอย่าง ที่ทุกวันนี้ เราคิดว่าเป็นของตะวันตก
เช่น กระดาษชุดแรกจากจีน ในปี1,100 แทนที่หนังสัตว์ที่ชาวตะวันตกใช้กันขณะนั้น
นวัตกรรมอย่างหนึ่งในหลายสิ่งหลายอย่าง ที่แขกชาวมัวร์ได้นำเข้ามาให้ชาวตะวันตกใช้กันแทนหนังสัตว์ ในสมัยที่พวกเขาเข้ามาปกครองเมืองคอร์โดบา ก่อนจะถูกขับไล่ออกไป ในราวคริสต์วรรษที่15
การเรียนรู้ต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การแพทย์ที่ก้าวไกล และชาวมุสลิม ก็คือผู้อนุรักษ์และแปลวรรณกรรมกรีกในโลกยุคโบราณ ไม่ใช่ชาวตะวันตก
พวกเขารักษาความรู้โบราณได้อย่างดีเยี่ยม และยังเพิ่มเติมอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ ได้พัฒนาและปฏิรูปในด้านวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงศตวรรษที่16
นักประวัติศาสตร์ศิลปะ จึงขนานนามมันว่า ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรเนซองส์
ยุคคืนชีพ ,ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และเฟื่องฟูในนครมั่งคั่งของอิตาลี เช่น ฟลอเรนซ์
เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเก่งในการดึงวัฒนธรรมอื่น จึงเริ่มขุดค้นอดีตของมันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะรังสรรค์มันในโลกยุคใหม่
ยุคนี้ได้สร้างชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกศิลปะและวิทยาศาตร์
เลโอนาร์โด ดาร์วินซี ชาวอิตาลี ศิลปินในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
รูปสลักไมเคิล แองเจลโล ได้สร้างสรรค์ศิลปะคลาสสิคของกรีกโบราณขึ้นใหม่ มนุษย์และโลกถูกถ่ายทอดแบบธรรมชาตินิยม
ลีโอนาร์โด ดาร์วินซี คือนักฟื้นฟูศิลปะวิทยาการตัวจริง ยิ่งกว่าผลงานของเขาทั้งหมดรวมกัน นักปฏิมากรรม นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และเขายังสร้างผลงานภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
โมนาลิซ่า นั่นเอง
ภาพผลงานชิ้นเอกของเขา ที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลมากระทั่งจนถึงทุกวันนี้ "โมน่าลิซ่า "หญิงปริศนาผู้มีรอยยิ้มมุมปากน่าฉงน
มหานครแข่งขันกันในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เพื่อกุมอำนาจทางพาณิชย์ และวัฒนธรรม
แต่ไม่มีที่ใด จะให้คำนิยามยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ได้ดีเท่ากับเมือง เวนิส
นครที่สร้างอาณาจักรทางการค้าบนทะเล ขณะที่นครอื่นๆ ถูกสร้างริมทะเล แต่เวนิส กลับลอยอยู่บนนั้น
เวนิส ครอบคลุมเกาะ118 แห่งในทะเลสาป วิศวกรเวนิสได้สร้างสะพาน 400 แห่ง และขุดคลอง 200คลอง
พวกเขาจมกองไม้ผ่านรูหนาแคบ จนกระทบถึงพื้นแข็ง ชัยชนะของอารยธรรมมนุษย์เหนือธรรมชาติ
แต่เวนิสก็คือเครื่องเตือนความไม่จีรังของชัยชนะ มนุษย์ชนะในการต่อสู้ แต่ธรรมชาติจะต้องทวงคืนได้ในที่สุด
ชาวเวนิสรู้ดีว่า วันหนึ่งทะเลจะทวงคืนมหานคร โคลนลึกแน่น ข้างใต้เมืองกำลังทรุดตัว
แต่ยังไม่จบแค่นั้น จุดสิ้นสุดของเวนิสอาจเป็นจุดเริ่มต้น
การปะทะกันของแอฟริกาและยูเรเชีย ที่โดดเด่นในการสร้างภูมิภาคแห่งนี้จึงดำเนินต่อไป ขณะอีกหลายล้านปีจากนี้ ทะเลจะหายไป ขณะที่เปลือกโลกจะย่นและแตก
ซากละเอียดของเวนิสจะยกตัวสูงขึ้นกว่าคลื่นมาก ขณะที่เมดิเตอร์เรเนียนจะแปรเปลี่ยนมีขนาดเท่าเทือกเขาหิมาลัย นักธรณีวิทยาได้ตั้งชื่อว่า เทือกเขาเมดิเตอร์เรเนียน
เวนิส อิตาลี เมืองที่ตั้งอยู่บนผืนน้ำ
ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจากสเปน จากทิศตะวันตกไปจนถึงตุรกีในทิศตะวันออก ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
มีนักวิชาการบางท่าน กำลังวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เป็น บริเวณที่เรียกว่า "สวนอีเดน" ในคัมภีร์พระไบเบิ้ล นั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดกันแน่บนโลก??
ผู้เขียนคิดว่า สวนอีเดน นี้มันก็คือ โอเอซิสแห่งหนึ่ง ซึ่งจะชอบปรากฏตัวตามทะเลทรายที่แห้งแล้ง ในสมัยตั้งแต่ยังไม่มีมหาสมุทรแอตแลนติสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบนโลก คือเมื่อราวๆ65 ล้านปีก่อนขึ้นไปนั้น
ทั่วบริเวณรอบๆเมดิเตอร์เรเนียน ไปตลอดจนแอฟริกาเหนือ น่าจะเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่และกันดาร แห้งแล้ง ซึ่งส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นผลมาจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกทั้งสองแผ่น
ตอนที่โลกประสบภาวะน้ำแข็งกำลังละลาย ในยุคโฮโลซีน เมื่อราวๆ11,7000 BC บริเวณรอบๆเมดิเตอร์เรเนียน ก็น่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า "สวนอีเดน" หรือความจริง ก็คือ "โอเอซิส "ดีๆนี่เอง กันมากแห่งแล้ว
ซึ่งพวกนิบิรุเขาคงจะชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เนื่องจากบนดาวของพวกเขาตอนนั้นประสบภาวะแห้งแล้งเป็นอย่างมาก แถมพวกเขายังชื่นชอบทะเลทรายมากอีกด้วย เนื่องจากพวกเขาเป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ประเภทเดียวกับกิ้งก่า มังกรโคโมโด นั่นล่ะ จึงไม่น่าแปลกใจอะไร
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ที่จะมีนักวิชาการบางท่านพิเคราะห์ว่า "สวนอีเดน " ที่มีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาคปฐมกาล นั้นความจริง น่าจะอยู่ที่บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน แต่ความจริง คำว่า สวนอีเดนนี้ ที่น่าจะหมายถึง โอเอซิส มันควรจะพบได้ทั่วไป ตามทะเลทรายที่แห้งแล้งอื่นๆของโลกด้วย
แต่ถ้าจะยึดหลักตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาคปฐมกาล เราจะพบว่า บริเวณที่เรียกว่า "สวนอีเดน" นั้นมันอยู่ในประเทศอิรัค อิหร่านในปัจจุบัน ตรงที่ชนชาติสุเมเรียนได้ตั้งรกรากอาศัยอยู่กัน นั่นเอง
"สวนอีเดน "หรือจริงๆแล้ว มันก็คือ โอเอซิส นั่นเอง พบได้หลายแห่งในทะเลทรายที่แห้งแล้งทั่วโลก
ดังนั้น ถ้าจะมโนภาพจากข้อมูลที่ได้รับมาต่างๆ มันอาจจะเป็นดั่งนี้ คือ เมื่อเกิดสภาวะโลกเริ่มมีอบอุ่นมากขึ้นๆ จนกระทั่ง น้ำแข็งเริ่มละลาย แล้วไหลกลายเป็นน้ำทะเลและมหาสมุทร เกิดเกาะแก่ง และภูเขาต่างๆ โอเอซิส แถวๆเมดิเตอร์เรเนียน ก็น่าจะกลายเป็นทะเลและมหาสมุทรด้วย
ผู้คนเริ่มกระจัดกระจาย หนีตายกันอย่างโกลาหล ออกจากบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ลงสู่ทางตอนใต้ เข้าตั้งรกรากอาศัยอยู่บริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นการถาวร บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส ยูเฟรตีส เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมียในเวลาต่อมา
และบริเวณนี้ ก็น่าจะมีโอเอซิส หรือชาวนิบิรุ เรียกมันว่า "สวนอีเดน " อยู่บ้าง เพราะมีทะเลทรายที่กว้างขวาง แห้งแล้งอยู่มากพอสมควรในอิรัคและอิหร่าน
พวกเขาก็อาจจะยังจดจำ โอเอซิสต่างๆ ที่เคยอุดมสมบูรณ์และรุ่งโรจน์มานาน ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนจะประสบภาวะที่คล้ายๆว่า ถูกน้ำท่วมโลก จนกลายเป็นจมอยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรหมด
และเมื่อมาปกครองชาวสุเมเรีย ในดินแดนเมโสโปเตเมียนี้แล้ว พวกเขา จึงได้สร้างเรื่อง " สวนอีเดน" ขึ้นมา และปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วย
ความจริงแล้ว " สวนอีเดน " มันก็สามารถจะอยู่แห่งใดก็ได้บนโลก เพราะมันคือ โอเอซิส ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย นั่นเอง
นักวิชาการเค้าวิเคราะห์เรื่องตำแหน่งของสวนอีเดนในพระคัมภีร์ไว้น่าสนใจ บทความหนึ่ง ดังนี้
"ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีนักประวัติศาสตร์และนักศาสนศาสตร์หลายคนที่มีความสงสัยดังกล่าวเหมือนกัน ทำให้พวกเขาพยายามทลายข้อสงสัยด้วยการค้นคว้า โดยเริ่มต้นจากส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ ปฐมกาล 2:10-14 ที่ว่าไว้ว่า “มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลออกจากอีเดนเพื่อรดสวน และจากนั้นก็แยกออกกลายเป็นสี่สาย
“ชื่อของคนแรกคือ ปิโชน ที่เป็นดินแดนทั้งหมดแห่งฮาวิลาห์ซึ่งมีทองคำ และทองคำของแผ่นดินนั้นเป็นของดี มีบีเดลเลียมและหินโอนิกซ์ ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือ กีโฮน ที่ล้อมรอบดินแดนทั้งหมดของคูช และชื่อแม่น้ำสายที่สามคือ ไทกริส ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองอัสชูร์ และแม่น้ำสายที่สี่คือ ยูเฟรติส”
นักวิชาการได้ชี้ว่าข้อความข้างต้นนี้ ถ้าลองยึดแม่น้ำทั้งสี่สายเป็นข้อมูลตั้งต้น เราจะค้นพบว่า ปัจจุบันมนุษย์รู้จักแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสอยู่แล้ว ที่เริ่มต้นในประเทศตุรกี ไหลผ่านซีเรียและอิรัก ก่อนไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย ดังนั้นครึ่งหนึ่งของข้อความในพระคัมภีร์จึงอยู่ในขอบเขตที่นักวิชาการเข้าใจ แต่คำถามสำคัญคือ ปิโชนและกีโฮนล่ะ คือที่ไหนกันแน่
ประเด็นนี้เองคือสิ่งที่นักศาสนศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสงสัย นำมาด้วยการสันนิษฐานต่างๆ นานาตลอดหลายศตวรรษ โดยบางคนก็บอกว่าอาจเป็นแม่น้ำคงคาในอินเดียและแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ แต่อีกส่วนก็แย้งว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สวนอีเดนจะมีขอบเขตที่ใหญ่เกินไป คือตั้งแต่ทวีปเอเชียไปจนถึงยุโรป เลยทีเดียว
จากปัจจัยเรื่องพื้นที่นี้เอง ทำให้นักวิชาการศึกษาจนได้มาซึ่งอีกข้อสันนิษฐาน
ว่าแม่น้ำอีกสองสายอาจหมายถึงแม่น้ำที่พรมแดนอิหร่าน–อิรัก ที่ชื่อว่า ‘Shatt Al-Arab’ ดังนั้นสวนอีเดนน่าจะตั้งอยู่บนพื้นที่ระหว่างประเทศอิรักและอิหร่านมากกว่า""
และทั้งโดยเฉพาะ แม่น้ำไทกริส และยูเฟรติส ก็มีต้นกำเนิดอยู่ในบริเวณตุรกีด้วย ซึ่งตรงกับเรื่องโนอาห์และภูเขาอาลารัตพอดิบพอดี ที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาคปฐมกาล มันยืนยันเรื่องน้ำท่วมโลกได้ดีอย่างหนึ่ง ว่าน่าจะเอามาจากปรากฏการ์ณทางธรรมชาติ ในสมัยโบราณที่เกิดขึ้นกับเมดิเตอร์เรเนียน
แม่น้ำสองสายในพระคัมภีร์ มีต้นสายอยู่ที่ตุรกีทั้งหมด บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนจะไหลผ่านอิรัคและอิหร่าน ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่อ่าวเปอร์เซีย
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง โดย
โอเอซิส (Oasis) คืออะไร?? | Science and Technology Knowledge Centre : STKC
https://www.stkc.go.th/stiarticle/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA-oasis-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3
สวนอีเดนอยู่ที่ไหน ในยุโรปหรือแอฟริกา? | BrandThink
https://brandthink.me/content/garden-of-eden
https://youtu.be/MLhqoj4ZkMM?si=SQ0keHnkakSjiobT
สารคดีเมดิเตอร์เรเนียน
https://youtu.be/BXn2hKYKNwA?si=QHCMRmLjpD7wEuFR
คัมภีร์ไบเบิล ปฐมกาล
ประวัติศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้
เทคโนโลยี
1 บันทึก
9
1
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย