19 เม.ย. เวลา 17:24 • กีฬา

“ 8 แต้ม ใน 9 วินาที ”

นี่คือโมเมนต์ที่สุดมหัศจรรย์!! และเป็นที่กล่าวขานมากมายอีกโมเมนต์หนึ่งในวงการบาสเกตบอล NBA ซึ่งถูกสร้างโดยตำนานที่มีชื่อว่า Reggie Miller
Reggie Miller เกิดในปี 1965 ที่เมืองริเวอร์ไซด์ มลรัฐแคลิฟอเนียร์ ตอนเด็ก ๆ Reggie Miller เคยมีปัญหาทางร่างกาย โดยเขาเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติที่สะโพก ทำให้ขาไม่เท่ากัน และไม่สามารถเดินได้ตามปกติในช่วงวัยเด็ก เขาจึงต้องใส่เครื่องดามขาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งร่างกายเริ่มปรับตัว และแข็งแรงขึ้นตามลำดับ
เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นของเขาในสนามบาสเกตบอล โดยเฉพาะเรื่องความมุ่งมั่น และความกล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์กดดัน
ครอบครัวของ Reggie Miller เป็นเหมือนครอบครัวนักกีฬา พี่สาวของเขา Cheryl Miller คือหนึ่งในนักบาสหญิงที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และเคยคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 1984 พี่ชายของเขา Darryl Miller เป็นนักเบสบอลระดับ MLB พี่สาวอีกคน Tammy เป็นนักวอลเลย์บอล
คุณพ่อ Saul Miller เป็นทหารผ่านศึกของกองทัพอากาศสหรัฐ ส่วนคุณแม่ Carrie Miller เป็นครู ทำให้เขาเติบโตในบ้านที่มีวินัย และแรงผลักดันสูง พวกเขามักสอนลูก ๆ ให้รู้จักความรับผิดชอบ ความอดทน และการทำงานอย่างหนัก
แม้จะถูกเปรียบเทียบกับ Cheryl อยู่บ่อย ๆ ที่โด่งดังเร็วกว่า และเก่งกว่า แต่ Reggie กลับใช้สิ่งนั้นเป็นแรงผลักดันมากกว่าจะรู้สึกด้อยกว่า เขาเคยพูดติดตลกว่า "เวลาผู้คนพูดถึง Miller พวกเขาหมายถึง Cheryl ไม่ใช่ผม"
Reggie เข้าเรียนมัธยมต้นที่ Riverside Polytechnic High School เขาได้เริ่มเล่นบาสแบบจริงจังที่นี่ แม้จะมีการชู้ตที่แม่นยำแบบน่าทึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช่นักกีฬาดาวเด่นของทีม และด้วยความที่ตัวเขาผอมแห้ง ดูไม่ค่อยมีแรง โค้ชหลายคนยังสงสัยในตัวเขาว่า เขาจะผอมเกินไปไหมสำหรับการเล่นบาสเกตบอล
แต่ Reggie ก็ไม่ได้ย่อท้อต่อคำสบประมาท เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมอย่างหนัก จนในที่สุด เขาก็พิสูจน์ตัวเองได้ จนได้รับทุนจากมหาวิทยาลัย UCLA (University of California, Los Angeles) ที่นี่เขาค่อย ๆ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับตำนานของ UCLA เขาทำคะแนนรวมได้มากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย รองจาก Kareem Abdul-Jabbar
จุดเด่นที่ทุกคนพูดถึงเขาเป็นเสียงเดียวกันก็คือ เขายิงลูกสามแต้มได้อย่างแม่นยำมาก ๆ รวมถึงการเป็นนักกีฬาที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี แม้จะเจอความกดดันมากแค่ไหนก็ตาม นี่คือคุณสมบัติของยอดนักบาสเกตบอลอย่างแท้จริง
และแล้วในที่สุด ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดมาหลายต่อหลายปี Reggie ก็ได้เข้าสู่ระบบนักกีฬาบาสเกตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว โดยในปี 1987 Reggie ถูกดราฟต์อันดับ 11 จากทีมระดับอาชีพใน NBA นั่นคือ Indiana Pacers ซึ่งในตอนนั้นแฟน ๆ Pacers แสดงความไม่พอใจทีมอย่างมาก เพราะหลายคนอยากได้ Steve Alford เด็กเทพระดับมหาวิทยาลัย ฮีโร่แห่ง Indiana Hoosiers มากกว่า
Steve Alford เล่นให้กับ Indiana University ภายใต้โค้ชในตำนานอย่าง Bob Knight เขาเป็นผู้เล่นขวัญใจมหาชน โดยเฉพาะในรัฐอินเดียนา เป็นนักบาสที่ยิงแม่นขั้นเทพโดยเฉพาะลูกโทษ (Free throw) ผลงานเด่นของเขาคือในปี 1987 พา Indiana คว้าแชมป์ NCAA และเขาเป็นหนึ่งในดาวเด่นของทีม เขาทำแต้มที่ Indiana ได้มากกว่า 2,000 แต้ม ด้วยอัตราความแม่นยำมากกว่า 89% ตลอด 4 ปี
ไม่แปลกที่แฟน ๆ Pacers จึงคาดหวังว่าทีมจะต้องไปดราฟต์ Alford เข้าสู่ทีมอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้อะไรทำให้ทาง Pacers ตัดสินใจไปดึง Reggie มาเข้าทีมแทน และต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะต่อมา Alford ก็ไม่ได้มีผลงานที่ดีมากนักในการเป็นนักบาสอาชีพ ตรงข้ามกับ Reggie อย่างที่รับรู้กันโดยทั่วไป เขากลายเป็นฮีโร่ของทีม เป็นตำนานของทีม และของวงการบาสเกตบอล NBA
การแข่งขันบาสเกตบอล NBA ในฤดูกาลปี 1995 ทีม Indiana Pacers ที่มี Reggie Miller เป็นดาวเด่นของทีม ทำผลงานในฤดูกาลปกติได้ดีมากโดยสามารถจบอันดับที่ 2 ของสายตะวันออกได้สำเร็จ ด้วยสถิติ ชนะ 52 แพ้ 30 และมีโอกาสมากที่ทีมจะสามารถสร้างความสำเร็จให้แฟน ๆ ได้เสียที หลังจากที่ยังไม่เคยได้แชมป์ NBA เลย นับตั้งแต่เข้าร่วมแข่งขันมา โดยทีมอันดับที่ 1 ของสายตะวันออกในปีนั้น ได้แก่ Orlando Magics ที่มีสถิติ ชนะ 57 แพ้ 25 ซึ่งในขณะนั้นมีดาวรุ่งพุ่งแรงที่ชื่อว่า Shaquille O’Neal และ Penny Hardaway อยู่ในทีม
ในรอบเพลย์ออฟ Pacers ทีมอันดับ 2 ของสาย ไขว้มาเจอกับทีมอับดับ 7 นั่นคือ Atlanta Hawks โดย Pacers เอาชนะไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยสกอร์ 3 – 0 ทำให้ต้องเข้าไปพบกับ New York Knicks ซึ่งเป็นทีมอันดับ 3 ที่เพิ่งชนะทีมอันดับ 6 Cleveland Cavaliers มาเช่นกัน นี่คือเกมที่แฟน ๆ ให้ความสนใจมาก เพราะเป็นการเจอกันระหว่างคู่รักคู่แค้นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค 90’s ที่ทั้งสองทีมมักโคจรมาเจอกันบ่อยมาก และต่างฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มีเกมที่ดุเดือดเลือดพล่านกันแทบทุกครั้งที่เจอกัน
วันที่ 7 พฤษภาคม 1995 ณ Madison Square Garden สนามเหย้าของ Knicks เป็นเกมแรกของรอบรองชนะเลิศสายตะวันออก Knicks เจอกับ Pacers สถานการณ์ในควอเตอร์แรกนั้น Knicks เป็นฝ่ายคุมเกมได้ดีในช่วงต้น โดยมี Patrick Ewing เป็นตัวหลักใต้แป้น Knicks มีความแม่นในการยิงระยะกลางดีกว่า โดยเฉพาะจาก John Starks และ Derek Harper ส่วน Pacers ออกสตาร์ทช้า Reggie Miller เครื่องยังไม่ร้อนเท่าไหร่ในควอเตอร์แรก โดยสกอร์ในช่วงต้นเกมนั้น Knicks เป็นฝ่ายขึ้นนำเล็กน้อย
ควอเตอร์ที่ 2 Pacers สถานการณ์เริ่มตีตื้น Reggie Miller เริ่มหาจังหวะได้บ้าง แต่ยังไม่พีค ส่วน Knicks ยังใช้ความแข็งแกร่งของ Ewing และการเคลื่อนบอลเร็วทำเกมได้ดี Pacers มีจังหวะรันแต้มบ้าง แต่ Knicks ยังควบคุมโมเมนตัมได้เป็นส่วนใหญ่ พักครึ่ง Knicks มีคะแนนนำเล็กน้อย แต่ Pacers ก็ยังอยู่ในเกม ยังดูไม่ออกว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
เริ่มควอเตอร์ที่ 3 เกมเริ่มสูสี และเข้มข้นขึ้นอีกระดับ ทั้งสองทีมเริ่มแลกหมัดกันชัดเจน โดย Pacers มีจังหวะส่องสามแต้มที่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ส่วน Knicks ก็ได้กำลังใจจากเสียงเชียร์ในสนาม และเล่นแบบรัดกุมมากขึ้น จบควอเตอร์ที่ 3 Knicks นำแบบหายใจรดต้นคอ
และแล้วก็มาถึงควอเตอร์ที่ 4 ทางด้าน Knicks ดูเหมือนน่าจะปิดเกมได้ เพราะในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 30 วินาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน Knicks ยังนำอยู่ 105 - 99 คะแนน ซึ่งคนทั้งสนามคิดว่าน่าจะจบแล้วล่ะ ไม่น่ามีพลิกล็อคอะไรได้แล้ว เพราะเหลือเวลาน้อยเกินไปที่จะทำอะไรได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนคนนึงในทีม Pacers ยังไม่ยอมแพ้ และนั่นคือจุดเริ่มของตำนาน
เรามาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับวินาทีกัน วินาทีที่ 18.7 (นาฬิกานับถอยหลัง) Pacers ได้บอลจากการเล่นข้างสนาม Reggie Miller วิ่งตัดหลังแนวรับ Knicks แล้วรับบอลจาก Mark Jackson ไม่รอช้า เขายิงสามแต้มแบบไม่มีลังเลลงไปอย่างสวยงาม สกอร์กลายเป็น 105-102
วินาทีที่ 16.4 Knicks รีบส่งบอลเข้ามาให้ Anthony Mason ซึ่งกำลังจะส่งบอลต่อ แต่กลับเสียท่า Reggie Miller อ่านเกมขาด พุ่งเข้าตัดบอลทันที แล้วก้าวกลับหลังออกมายิงสามแต้มอีกลูกทันที ลูกลงไปอย่างสวยงาม สกอร์กลายเป็น 105-105 กลับมาเสมอกันในพริบตา
วินาทีที่ 13.2 Knicks ตกใจ ยังตั้งสติไม่ทัน รีบเอาบอลเข้ามาเล่น แล้วถูก Pacers ทำฟาวล์ John Starks ได้ยิงลูกโทษ ถ้ายิงเข้า แต้มจะกลับไปนำอีกครั้ง และจะทำให้ทีมได้ผ่อนคลายลงได้บ้าง Knicks ต้องการแต้มจากการยิงลูกโทษนี้ แต่เขาดันพลาดทั้งสองลูกเลย แต้มยังเสมอกันอยู่ 105 - 105
และสุดท้าย วินาทีที่ 8.9 Pacersได้เล่นบอลอีกครั้ง Reggie พุ่งเข้าไปใต้แป้นเพื่อรอจังหวะรีบาวด์ Knicks ทำพลาด ลูกกระดอนไปเข้าทางเขาพอดี เขาโดน Knicks ทำฟาวล์ใส่ และได้โอกาสยิงลูกโทษสองลูก ถ้าเขาทำคะแนนจากลูกโทษนี้ได้ จะทำให้ Pacers กลับมานำในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 วินาทีแล้ว แปลว่าเขาอาจจะทำให้ทีมชนะในเกมนี้ได้เลย และแล้วเขาก็ยิงลงทั้งสองลูก Pacers พลิกนำ 107-105
เวลาที่เหลืออีกน้อยนิด Knicks พยายามสวนกลับเพื่อทำคะแนนตีเสมอ แต่ไม่ทัน… หมดเวลาการแข่งขัน Pacers พลิกนรกชนะได้ในที่สุด!
วินาทีที่เวลาหมดลง เหล่าผู้เล่น Pacers วิ่งกรูกันเข้ามากอดกันด้วยความดีใจ ทว่าเสียงในสนามกลับเงียบสงัด ทุกคนกำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมเจ้าบ้าน กองเชียร์ ผู้เล่น สต๊าฟโค้ช ต่างไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
สื่อมวลชนต่างรายงานข่าวนี้กันอย่างเอิกเกริก
ESPN ได้กล่าวถึงการทำแต้มของ Reggie Miller ว่าเป็นการกลับมาที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ NBA โดยเฉพาะการทำแต้มในช่วงเวลาสุดท้าย ที่ทำให้แฟน ๆ ที่ Madison Square Garden ตกตะลึง
Stephen A. Smith ผู้สื่อข่าวกีฬา และนักวิเคราะห์ชื่อดัง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ในรายการ "First Take" โดยยอมรับว่าการทำแต้มของ Reggie Miller ในเวลาสั้น ๆ นั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง และยากจะลืมเลือน
รวมถึง Greg Anthony อดีตผู้เล่นของ Newyork Knicks ที่อยู่ในสนามในวันนั้นด้วย ได้กล่าวถึงความรู้สึกของเขาหลังจากที่ Reggie Miller ทำแต้มเหล่านั้น โดยยอมรับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดสำหรับ Knicks และแฟน ๆ อย่างมาก
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์บาสเกตบอล NBA แต่ยังเป็นที่จดจำ และพูดถึงอย่างต่อเนื่องในวงการบาสเกตบอล และสื่อมวลชนจวบจนปัจจุบัน
แม้ว่าในที่สุด Reggie Miller จะพา Pacers เข้าไปถึงแชมป์ NBA ไม่ได้ เพราะดันไปแพ้ต่อ Olando Magics ในรอบชิงแชมป์สายตะวันออกด้วยสกอร์ 4-3 เกมซะก่อน แต่โมเมนต์ดังกล่าวกลายมาเป็นที่กล่าวขวัญถึง และเป็นตัวอย่างของความไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้ายของ Reggie Miller
และหากคุณกำลังคิดจะยอมแพ้…
ขอให้คุณนึกถึง 9 วินาทีของ Reggie Miller
ตอนที่คนทั้งสนามเชื่อว่ามันจบแล้ว
ตอนที่ความหวังดูน้อยกว่าศูนย์
ตอนที่แม้แต่เพื่อนร่วมทีมยังเริ่มยอมรับความพ่ายแพ้
แต่เขาไม่ยอม
เขาลุกขึ้นมา ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะฝัน
ยิง 8 แต้มใน 9 วินาที
พลิกเกมที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลับมาได้
เพราะบางที สิ่งที่คุณต้องการ
อาจไม่ได้อยู่ใน "อีกปีข้างหน้า"
แต่อยู่ใน 9 วินาทีที่คุณยังไม่ยอมแพ้นั่นเอง
โฆษณา