20 เม.ย. เวลา 02:59 • ประวัติศาสตร์

สัตว์ร้ายแห่งโครกริน เกรน (Croglin Grange) ผีดูดเลือดในตำนานของประเทศอังกฤษ

“Phantom of Croglin Grange” เป็นหนึ่งในพงศาวดารแวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศอังกฤษ เรื่องราวนี้เทียบเคียงได้กับของท่านแดรกคูลาเลยทีเดียว...
ตำนานสัตว์ร้ายแห่งโครกริน เกรน (The Beast of Croglin Grange)
ในเขตคัมเบรีย ประเทศอังกฤษ บริเวณพื้นที่ที่ถูกเรียกว่าโครกริน มีตำนานเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดมาอย่างยาวนาน เช่น หากย้อนกลับไปในปี 1733 ณ หมู่บ้าน Renwick ในระหว่างการรื้อถอนโบสถ์เก่า คนงานได้ถูกเล่นงานด้วยสัตว์ประหลาดในยุคกลางที่มีชื่อว่า “Cockatrice” เนื่องจากไปรบกวนการนอนหลับของพวกมัน ตอนนั้น คนงานส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นเพียงค้างคาวและไม่เป็นอันตราย
แต่... ไม่มีใครสักคนที่เอะใจว่า ในอีกหนึ่งศตวรรษต่อมา การปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดอีกตัวได้ปรากฏตัวขึ้นและมอบความหวาดกลัวไปทั่ว
โครกริน เกรน (Croglin Grange) เป็นชื่อของบ้านไร่ชั้นเดียวหลังหนึ่ง ที่ถูกสร้างด้วยอิฐหินแกรนิตเตี้ยๆ มันตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้กับสุสานโบราณ ในปี 1800 ครอบครัวชาวไร่ฟิชเชอร์เจ้าของบ้านได้ย้ายออกไปเพื่อหาบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้นสำหรับครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนที่จะประกาศให้เช่ามัน
อย่างไรก็ตาม บ้านหลังนี้ว่างเปล่าไร้ผู้อยู่อาศัยตลอดช่วงฤดูหนาว เมื่อฤดูใบไม้ผลิก็ได้มีผู้เช่ารายใหม่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ เป็นสามพี่น้องชาวออสเตรเลีย ได้แก่ “เอ็ดเวิร์ด” กับ “ไมเคิล” และ “อเมเลีย ครานส์เวล” ที่มาท่องเที่ยว ณ ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะมาตกหลุมรักบ้านไร่ในชนบทที่สวยงาม แต่โดดเดี่ยว นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นมิตรมาก ทำให้เข้ากับคนท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งปีหลังจากที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ ราวปี 1875 ในคืนที่ร้อนอบอ้าว อเมเลียได้เปิดหน้าต่างห้องนอนของตัวเองเอาไว้เพื่อรับสายลม ก่อนที่จะเธอจะสังเกตเห็นแสงกะพริบสองดวงในความมืดอยู่ใกล้กับลานของโบถ์ เมื่อแสงนั้นเขามาใกล้จนอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ เธอกลับไม่เห็นร่างของคนหรือสัตว์สักตัว เธอรีบปิดหน้าต่างและล็อกประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพยายามข่มตาให้หลับ
ครู่ต่อมา เธอได้ยินเสียงกรอบแกรบ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบ “ดวงตา” ของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่เธอผ่านกระจกหน้าต่าง ร่างนั้นมีใบหน้าสีน้ำตาลที่แห้งเหี่ยว พร้อมกับเสียงเล็บข่วนที่หน้าต่าง เธอกระโจนลงจากเตียงและวิ่งไปที่ประตู ในขณะที่สัตว์ร้ายนั้นกำลังดึงบานพับตะกั่วหน้าต่างจนหลุดออกมา ก่อนที่ร่างที่ผอมหนังหุ้มกระดูกเข้ามาในห้อง
เธอพยายามกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ร่างนั้นเข้ามาถึงตัวเธอแล้วลากเธอข้ามเตียงก่อนที่จะฝังเขียวแหลมคมลงไปที่ลำคอ ในวินาทีนั้นเองเธอก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง ทำให้คนที่เหลือรีบรุดเข้ามาช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงร่างของเธอที่ทรุดอยู่บนพื้นและเลือกที่ไหลออกมาจากบาดแผลถูกกัดบนลำคอเท่านั้น พวกเขาพยายามติดตามร่างปริศนานั้น แต่มันก็หายไปในวซุ้มประตูกำแพงไร่ในความมืดมิด
หมอถูกเรียกให้มาช่วยเหลือกลางดึก พร้อมกับแนะนำให้เธอหยุดพักผ่อนยาวเพื่อรักษาอาการตกใจ เมื่ออาการของเธอดีขึ้นเล็กน้อย พวกเขาจึงย้ายไปพักผ่อนที่เทือกเขาสวิสเซอร์แลนด์แทน ในขณะที่สัตว์ร้ายตนนั้น พวกเขาเชื่อว่าอาจเป็นคนวิกลจริตหรือลิงดุร้ายที่หลบหนีจากคณะละครเร่ที่บังเอิญมาพบเธอเข้าพอดี
หนึ่งปีผ่านไป ดูเหมือนอเมเลียจะยังคงมีความชื่นชอบบ้านไร่โครกริน เกรน มากจนเกินพอดี เธอยืนยันให้กลับไปอีกครั้ง คราวนี้ทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะเป็นปกติดี ความสยองขวัญที่เคยพบก็กลายเป็นเพียงภาพอดีตที่แสนเลือนราง อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยพวกเขาปิดหน้าต่างและเปิดด้านบนเอาไว้เพียงเล็กน้อย ไมเคิลย้ายมานอนในห้องตรงข้ามกับน้องสาวและมักเก็บปืนเตรียมพร้อมเอาไว้ในห้องเสมอ
ในระหว่างที่ทั้งสามคนไม่อยู่ มีรายงานเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่ถูกสัตว์ประหลาดหนังหุ้มกระดูกจู่โจม หลังจากนั้นฝูงแกะก็ถูกฆ่าไปหลายตัว ข่าวลือเหล่านี้เริ่มให้พวกเขาเริ่มกังวลอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ปกติดี จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม ปี 1876
อเมเลียได้ยินเสียงกรงเล็บอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง มันพยายามเปิดหน้าต่าง แต่ก่อนที่มันจะเข้ามาในห้องได้สำเร็จเธอก็กรีดร้อง พี่ชายของเธอพุ่งเขามาในห้องทันทีพร้อมกับปืนในมือ เขายิงใส่มันไปหลายนัด ทำให้มันต้องวิ่งหนีไปตามสนามหญ้า ในช่วงเวลานั้นเอง แสงจันทร์ได้ช่วยทำให้พวกเขาได้เห็นร่างสูงโปร่งในความมืดอย่างชัดเจน เขาจึงยิงใส่มันอีก จนสัตว์ร้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะสะดุดล้มลงบนทุ่งที่เต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังโบสถ์
รุ่งเช้าที่เต็มไปด้วยม่านหมอก สองชายหนุ่มกับชายฉกรรจ์หลายคนในหมู่บ้านได้รวมตัวกันเดินทางไปที่สุสานโบราณใกล้โบสถ์ ในตอนแรกพวกเขาไม่พบสิ่งผิดปกติใด อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจอย่างละเอียดพวกเขาพบว่าห้องเก็บศพใต้ดินของตระกูลฟิชเชอร์ถูกบุกรุก ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นเละเทะมากยกเว้นโลงศพหินที่ปิดอยู่ เมื่อสองพี่น้องเปิดฝาโลง ชาวบ้านก็ต้องพากันผงะ เมื่อได้เห็นร่างสีน้ำตาลน่าเกลียดน่ากลัว ดูราวกับศพตายซาก ผิวหนังแห้งเหี่ยว ที่ขาของร่างนั้นข้างหนึ่งมีบาดแผลที่เกิดขึ้นจากปืนลูกซอง
ชาวบ้านคนหนึ่งยืนยันว่า เขาเคยเห็นสิ่งนี้ปรากฏตัวในคืนที่ปศุสัตว์ถูกฆ่า พร้อมกับเสนอให้เผาทำลายมันให้สิ้นซาก พวกเขาช่วยกันหาฟืนมาสุมเป็นกองใหญ่ ณ จุดที่ไกลจากสุสาน ก่อนที่จะกลับไปช่วยกันนำร่างนั้นออกมาจากโลงศพหินโยนใส่กองไฟ หลังจากนั้น เมื่อหมอกเริ่มจาง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นโลก สัตว์ร้ายตนนั้นก็ร้องโหยหวนและแหลกสลายกลายเป็นขี้เถ้าไปในเปลวไฟ หลังจากนั้น เรื่องราวที่น่าหวาดกลัวก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น ณ หมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่า สัตว์ร้ายตนนี่มาจากที่ไหน!? ทำไมมันถึงมาที่นี่!? และทำไมถึงได้นอนหลับอย่างสงบมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ ก่อนที่จะลุกขึ้นมาอาละวาดสร้างความหวาดกลัวให้กับหมู่บ้านชนบทที่แสนสงบสุขมาอย่างยาวนานนับปี...
ถ้าหากใครสนใจอยากอ่านเรื่องราวเหนือธรรมชาติ ตำนานของเหล่าภูตผี ปีศาจ ตำนานเมืองและความสยองขวัญมากมายจากทั่วทุกมุมโลก สามารถติดตามอ่านได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา