แต่ความฝันของพวกเขากลับพังทลาย เมื่อ Meta บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของ Facebook และ Instagram เริ่มก่อสร้าง data center ขนาดยักษ์ถึง 2 ล้านตารางฟุตใกล้บ้านพวกเขาในปี 2018
สิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างเละเทะ Meta ตัดต้นไม้ทิ้งหมด ทั้งป่าสนสวยงามที่เคยอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ฝุ่นจากการก่อสร้างลอยฟุ้งเข้าบ้าน และแสงไฟสว่างจ้าตลอดทั้งคืนจนแทบไม่ต้องเปิดไฟในบ้าน
ถ้ายังไม่เข้าใจว่า data center คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญ มารู้จักมันกันหน่อย
Data center มีจุดเริ่มต้นจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ หรือเมนเฟรมในช่วงปี 1950 และ 1960 แต่ data center สมัยใหม่เริ่มบูมจริงๆ ในยุค 1990 เมื่ออินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น มันเป็นสถานที่ที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใช้เชื่อมต่อธุรกิจและคนทั่วโลกเข้ากับเว็บ
ในทศวรรษ 2010 data center ขยายตัวเป็นอย่างมากเพราะทุกคนต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ บนคลาวด์นี้แหละที่เราแชร์ภาพ ทำงานบนเอกสารร่วมกัน และจัดเก็บไฟล์สำหรับสตรีมวิดีโอต่างๆ ทุกอย่างตั้งแต่รูปสัตว์เลี้ยงจนถึงข้อมูลที่ทำงาน ล้วนอยู่บนคลาวด์ทั้งสิ้น
ทุกวันนี้ เราอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกรอบ นั่นคือการเติบโตของ AI ซึ่งต้องการพลังการประมวลผลโครตโหด มีรายงานระบุว่าการค้นหาด้วย Google ที่ใช้ AI แบบ ChatGPT ใช้พลังงานมากกว่าการค้นหาแบบปกติถึง 30 เท่า
2
ความต้องการพลังงานนี้ทำให้ data center ทั่วโลกคาดว่าจะใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าในอีกสามปีข้างหน้า และรัฐจอร์เจียกำลังเป็นรัฐที่มี data center เติบโตเร็วที่สุดในอเมริกา
ทำไม data center ถึงหมายปองรัฐจอร์เจีย? เหตุผลหลักมีสอง ประการแรกคือค่าไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมในรัฐนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 42% และประการที่สองคือการลดหย่อนภาษีแบบจัดเต็ม ปีที่แล้ว data center ในจอร์เจียได้รับการลดหย่อนภาษีมากกว่า 180 ล้านดอลลาร์
1
ที่เมือง Fayetteville ใน Fayette County ก็มีกรณีคล้ายกัน บริษัท QTS ที่เป็นของ Blackstone ได้ซื้อที่ดินขนาด 534 เอเคอร์ในราคา 153.8 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง data center ขนาดใหญ่ แม้ชาวบ้านจะคัดค้านอย่างหนักก็ตามที
Jean และ Joe Marschall ก็โดนกระทบหนัก พวกเขาอยู่บนที่ดิน 8 เอเคอร์ที่ชายขอบ Fayetteville ซึ่งทางเข้าบ้านเกือบจะเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่าง Fayette County กับที่ดินของ QTS
“เราไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรเลยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น” พวกเขาบอก แม้จะคัดค้านสุดชีวิต แต่การสร้าง data center รอบบ้านก็กลายเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น
“นักกฎหมายจอร์เจียกำลังรับผลประโยชน์จากเงินของ Georgia Power นี่คือผลประโยชน์ทับซ้อนชัดๆ และนำไปสู่การทุจริตที่ฉาวโฉ่” เธอกล่าว “CEO ของ Georgia Power รับเงินเดือนเป็นสิบๆ ล้านดอลลาร์ต่อปี ทำไมภูมิภาคที่จนที่สุดในประเทศถึงต้องจ่ายแพงที่สุดให้ CEO พวกนี้?”
1
ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดแค่จอร์เจีย การเติบโตของ data center กำลังระบาดไปทั่วประเทศ และพวกมหาเศรษฐีเทคโนโลยีก็บ่นเรื่องระบบราชการที่มาขัดขวางทางการขยายตัว
“เราจะอนุมัติโครงการเร็วมากในอเมริกา กับแผน AI ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ผมสามารถอนุมัติได้เองโดยไม่ต้องรอเป็นปีๆ” Trump ประกาศ
ด้วยการจับมือกันระหว่างรัฐบาลกลาง Silicon Valley และสาธารณูปโภคที่ผูกขาด คำถามก็คือใครจะปกป้องคนธรรมดาอย่างครอบครัว Morris?
Beverly และ Jeff Morris เห็นค่าไฟพุ่งเป็นสองเท่าตั้งแต่ Meta เปิด data center จาก 250 ดอลลาร์เป็นประมาณ 400 ดอลลาร์ต่อเดือน
“ทุกเดือนเป็นการต่อสู้ดิ้นรน Jeff อยากเกษียณแต่ต้องทำงานต่อเพราะเราต้องจ่ายบิล” Beverly เล่า เมื่อถามว่าคนธรรมดาควรจ่ายค่าไฟแพงขึ้นเพราะ data center ไหม เธอตอบเสียงแข็ง “ไม่เลย บริษัทพวกนั้นควรจ่ายเอง มันยากพอแล้วที่คนธรรมดาต้องจ่ายค่าไฟปกติ”
“รัฐอื่นๆ ควรออกกฎหมายแบบนี้ ไม่ว่าจอร์เจียจะทำหรือไม่ เพราะ data center อาจจะมาเยือนรัฐพวกเขาต่อไป จำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองประชาชน เพราะจากทุกรายงาน data center จะเติบโตเร็วมาก”
ในขณะที่โลกก้าวหน้าไปกับเทคโนโลยี AI เราต้องตั้งคำถามว่าใครควรจ่ายต้นทุนของการปฏิวัตินี้? ต้นทุนที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ในบัญชีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่อยู่ในชีวิตของคนธรรมดา สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย และชุมชนที่ต้องแบกรับภาระหนัก
การถกเถียงเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไปในหลายรัฐทั่วอเมริกา ขณะที่ความต้องการพลังงานเพื่อรองรับ AI เพิ่มขึ้นทั่วโลก การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีและการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนจะเป็นความท้าทายสำคัญในทศวรรษหน้า ซึ่งพวกเราทุกคนอาจต้องกลับมาคิดใหม่ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความรับผิดชอบต่อสังคมจะเดินคู่กันไปได้อย่างไร