8 พ.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
Rimping Supermarket NimCity Branch

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “Lambrusco” (ลัมบรุสโก) สปาร์กกลิ้งไวน์เก่าแก่ของอิตาลี

Lambrusco (ลัมบรุสโก) เป็นสปาร์กลิ้งไวน์ประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากแคว้น Emilia-Romagna ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เกิดจากองุ่นพันธุ์ Lambrusco ที่ใช้ในการผลิต โดยทั่วไปจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว มีฟองละเอียด และมีกลิ่นหอมของผลไม้ เช่น เชอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี หรือผลไม้เล็กอื่น ๆ
.
ต้นกำเนิดของ Lambrusco มีประวัติย้อนกลับไปในสมัยเอทรัสคันโบราณ ซึ่งเป็นอารยธรรมก่อนโรมันที่อาศัยอยู่ในบางส่วนของอิตาลีตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตศักราช เนื่องจาก Lambrusco เป็นองุ่นพันธุ์เก่าแก่ที่มีต้นกำเนิดในสมัยนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าชาวเอทรัสคันโบราณเป็นผู้คิดค้นไวน์ Lambrusco
.
ไวน์ Lambrusco รุ่นแรก ๆ ในประวัติศาสตร์นั้นว่ากันว่าผลิตจากองุ่น Lambrusco ป่า ซึ่งไม่ได้มีการเพาะปลูกแบบเป็นระบบเหมือนปัจจุบัน และวิธีการทำก็ค่อนข้างแตกต่างจากปัจจุบันนี้มาก โดยไวน์จะผ่านการหมักซ้ำในโถ เมื่อเติมน้ำ และปิดจุกให้แน่นแล้ว พวกเขาจะนำโถไปแช่ใต้ดิน หรือแช่ในน้ำเย็น เพื่อรักษาอุณหภูมิของไวน์ให้ต่ำลงทำให้ไวน์มีฟอง จากนั้นจึงนำไวน์ไปแช่ในอุณหภูมิที่สูงขึ้น ปล่อยทิ้งไว้เพียงไม่กี่วันไวน์ก็พร้อมดื่มได้
.
ต่อมาในสมัยจักรวรรดิโรมันไวน์ Lambrusco ก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม โดยพลินีนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมันได้กล่าวถึง Lambrusco ในงานเขียนของเขาว่ามีการเพาะปลูกกันอย่างแพร่หลาย เพื่อผลิตไวน์รสผลไม้ที่เข้มข้น และมีฟองอากาศตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการหมักในโถทำให้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ชาวโรมัน
.
ในช่วงยุคกลางไวน์ Lambrusco กลายเป็นเครื่องดื่มหลักของชาว Emilia-Romagna ซึ่งได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่ชาวไร่ ชาวนา เนื่องจากมีราคาที่เอื้อมถึงง่าย โดยในสมัยนั้นจะมีรสชาติเบา และมีความซ่า นิยมทานคู่กับอาหารหลากหลาย เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป ชีส และพาสต้า
.
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ผู้ผลิตไวน์ในพื้นที่ก็เริ่มปรับปรุงเทคนิคการผลิตไวน์ Lambrusco โดยเน้นปรับปรุงพันธุ์องุ่น และวิธีการผลิต สิ่งนี้ส่งผลทำให้ไวน์ Lambrusco มีคุณภาพดี และในช่วงนี้เองที่ไวน์ Lambrusco เริ่มมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับไวน์สมัยใหม่มากขึ้น
.
ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ไวน์ Lambrusco ก็เริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง เนื่องจากแคว้น Emilia-Romagna กลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ และวัฒนธรรมของอิตาลี โดยไวน์มักจะถูกเสิร์ฟในงานเลี้ยงของเศรษฐี และผู้ทรงอำนาจ ด้วยเหตุนี้เมื่อเวลาผ่านไปความนิยมของไวน์ชนิดนี้จึงแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วอิตาลี
.
ในศตวรรษที่ 19 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของไวน์ Lambrusco เนื่องจากเริ่มมีการผลิตปริมาณมากขึ้นในเชิงอุตสาหกรรม ไวน์เริ่มถูกส่งออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกทั้งในยุโรป และอเมริกา ด้วยรสชาติที่เข้าถึงได้ง่ายจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
.
หลายปีต่อมาความนิยมของไวน์ Lambrusco ก็เริ่มลดลง เนื่องจากคุณภาพไวน์ไม่มีความสม่ำเสมอ เพราะผู้ผลิตบางรายให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าฝีมือการผลิต สิ่งนี้ส่งผลทำให้ผู้บริโภคมองว่า Lambrusco เป็นไวน์ราคาถูก และมีคุณภาพต่ำ
.
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไวน์ Lambrusco ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยผู้ผลิตไวน์ใน Emilia-Romagna ได้หวนกลับไปใช้กรรมวิธีดั้งเดิมที่เป็นลักษณะเฉพาะของไวน์ Lambrusco รวมถึงเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมกระบวนการหมักได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือไวน์ Lambrusco มีความหลากหลายมากขึ้นตั้งแต่แบบ Dry และมีแทนนินไปจนถึงแบบหวาน และมีกลิ่นผลไม้ โดยแต่ละชนิดก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น
.
Lambrusco di Modena มีรสชาติเข้มข้น หวานอมเปรี้ยว และมีฟองละเอียด
Lambrusco di Sorbara มีรสชาติเบากว่า Modena หวานน้อยกว่า และมีฟองละเอียด
Lambrusco Grasparossa di Castelvetro รสชาติเข้มข้นที่สุดในบรรดา Lambrusco ทั้งหมด มีกลิ่นหอมของผลไม้สีแดง และมีฟองปานกลางมีแทนนินสูงกว่า Sorbara เหมาะสำหรับทานคู่กับเนื้อแดง
Lambrusco Salamino di Santa Croce มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมกลิ่นของผลไม้สุก เหมาะสำหรับทานเป็น Aperitif หรือทานคู่กับของหวาน
.
ปัจจุบันไวน์ Lambrusco ได้รับความนิยมในฐานะไวน์อเนกประสงค์ที่เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด นอกจากนี้ไวน์ Lambrusco ยังครองตำแหน่งไวน์คุณภาพเยี่ยมที่นักดื่มทั่วไปชื่นชอบอีกด้วย
โฆษณา