23 เม.ย. เวลา 09:53 • นิยาย เรื่องสั้น

การพังทลายของยักษ์ใหญ่

การล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส
ริชาร์ด ฟูลด์ ยืนอยู่บนชั้น 31 ของตึกระฟ้าใจกลางแมนฮัตตัน มองลงไปยังถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นประธานและซีอีโอของเลห์แมน บราเธอร์ส มากว่า 14 ปี และในวันที่ 14 กันยายน 2008 นี้ เขากำลังจะเป็นประจักษ์พยานในการล่มสลายของอาณาจักรการเงินอายุ 158 ปีที่เขาร่วมสร้างมา
โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น ฟูลด์รู้ดีว่าใครโทรมา... ทีมทนายความและที่ปรึกษาการเงินของเขากำลังรอคำตอบ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พวกเขาจะต้องแถลงข่าวต่อสาธารณชนว่าเลห์แมน บราเธอร์ส ยักษ์ใหญ่แห่งวอลสตรีทกำลังจะยื่นขอล้มละลาย
1
บทที่ 1: วัฒนธรรมแห่งความโลภ
"ผมต้องการผลตอบแทน 20% ในไตรมาสนี้" ฟูลด์พูดในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงเมื่อต้นปี 2007 "ถ้าใครทำไม่ได้ก็รู้กันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
แจ็ค โมร์แกน หัวหน้าฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ กดปากกาในมือแน่น เขารู้ดีว่าการจะบรรลุเป้าหมายนั้นต้องเสี่ยงมากเพียงใด ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มส่งสัญญาณไม่ดี หลายคนในทีมของเขาเตือนถึงฟองสบู่ที่กำลังจะแตก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฟูลด์อยากได้ยิน
"ธุรกิจของเราคือการเสี่ยง" ฟูลด์กล่าวต่อ พลางหยิบซิการ์ราคาแพงขึ้นมาจุด "และคนที่กล้าเสี่ยงมากที่สุดคือคนที่ได้รับรางวัล"
ระบบการจ่ายโบนัสของเลห์แมนทำให้เกิดวัฒนธรรมที่โลภและมุ่งเน้นผลกำไรระยะสั้น เทรดเดอร์หนุ่มสาวเสพติดกับการได้รับโบนัสมหาศาลทุกสิ้นปี พวกเขาลงทุนในสิ่งที่เรียกว่า CDO (Collateralized Debt Obligations) และ CDS (Credit Default Swaps) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ทางการเงินที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากำลังเล่นกับไฟอันตราย
"เราทำเงินได้ 4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่แล้ว ฟูลด์ควรภูมิใจในทีมของเขา" แซม โคเฮน เทรดเดอร์หนุ่มวัย 32 ปีพูดกับเพื่อนร่วมงานขณะเดินออกจากห้องประชุม "ปีนี้โบนัสของฉันอาจถึง 5 ล้านดอลลาร์"
แต่สิ่งที่แซมและเพื่อนร่วมงานไม่รู้คือ ความสำเร็จนั้นสร้างขึ้นบนทรายที่กำลังจะพังทลาย
บทที่ 2: เกมแห่งตัวเลข
ในห้องประชุมชั้น 27 อีริน สมิธ รองประธานฝ่ายบัญชีกำลังประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
"เราไม่สามารถใช้เลเวอเรจในระดับนี้ต่อไปได้" เธอพูดเสียงเครียด ขณะชี้ไปที่กราฟบนหน้าจอ "อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราอยู่ที่ 44 ต่อ 1 หมายความว่าเราลงทุนด้วยเงินของตัวเองเพียง 2.3% ที่เหลือคือเงินกู้ยืมทั้งหมด"
"แต่นั่นคือวิธีที่ทุกคนในวอลสตรีททำกัน" มาร์ค ฮอลเดอร์ หัวหน้าฝ่ายการเงินตอบกลับ "แบงก์ออฟอเมริกา เจพีมอร์แกน พวกเขาก็ทำแบบนี้"
"ไม่ใช่ในระดับนี้" อีรินยืนยัน "และพวกเขามีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายกว่า เรากระจุกตัวอยู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากเกินไป ถ้าตลาดพังแค่ 5% เราจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด"
การใช้เลเวอเรจในระดับสูงเป็นเหมือนการเล่นการพนันด้วยเงินของคนอื่น เลห์แมนนำเงิน 1 ส่วนไปกู้ยืมเพิ่มอีก 43 ส่วนเพื่อลงทุน เมื่อตลาดขึ้น พวกเขาทำกำไรมหาศาล แต่เมื่อตลาดลง ความเสียหายก็มหาศาลเช่นกัน
"ฉันจะนำเสนอกับบอร์ดบริหารว่าเราควรลดสัดส่วนการลงทุนในสินเชื่อซับไพรม์" อีรินกล่าว "ฉันมีตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้กำลังเพิ่มขึ้น"
มาร์คส่ายหน้า "เธอรู้ว่าฟูลด์จะพูดอะไร ตลาดนี้เป็นเพียงสะดุดชั่วคราว พอร์ตการลงทุนเหล่านี้สร้างกำไรให้เรามาแล้วนับพันล้าน"
อีรินถอนหายใจ "แต่ถ้าเราผิดล่ะ?"
บทที่ 3: ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่
แม้เลห์แมนจะมีสินทรัพย์กว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือการพึ่งพาการกู้ยืมระยะสั้นมากเกินไป
ทุกเช้า เลห์แมนต้องหาเงินกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์จากตลาด repo (ตลาดซื้อคืนพันธบัตร) เพื่อใช้หมุนเวียนภายในวันนั้น พวกเขานำสินทรัพย์ไปวางเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินระยะสั้น 1 วัน แล้วคืนในวันถัดไป วนเวียนเช่นนี้ทุกวัน
"มันเหมือนการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี" เทด โจนส์ ผู้จัดการฝ่ายสภาพคล่องพูด "ตราบใดที่เพลงยังเล่นอยู่ เรายังปลอดภัย แต่ถ้าเพลงหยุด..."
วันที่ 9 มีนาคม 2008 เพลงเริ่มเบาลง เมื่อเบียร์ สเติร์นส์ แบงก์การลงทุนใหญ่อีกแห่งประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง
"เจพีมอร์แกนซื้อเบียร์ สเติร์นส์ในราคาแค่ 2 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากที่เคยซื้อขายที่ 150 ดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว" ข่าวดังกระหึ่มไปทั่ววอลสตรีท
"ตอนนี้ตาเราแล้ว" เทดพูดขณะมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงราคาหุ้นเลห์แมนที่เริ่มดิ่งลง "นักลงทุนกำลังสงสัยว่าเราจะเป็นรายต่อไป"
ในห้องประชุมใหญ่ ฟูลด์พยายามส่งสัญญาณความมั่นใจ
"เรามีเงินสดสำรอง 40,000 ล้านดอลลาร์ เรามีสินทรัพย์คุณภาพดี" เขาประกาศท่ามกลางที่ประชุมผู้บริหาร "นี่เป็นเพียงปัญหาการรับรู้ ไม่ใช่ปัญหาพื้นฐานทางธุรกิจ"
แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดคือ เมื่อความเชื่อมั่นหายไป เงินกู้ยืมระยะสั้นก็จะหายไปด้วย และเมื่อนั้น แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ล้มลงได้
บทที่ 4: วันที่โลกเปลี่ยนไป
คืนวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2008 ทีมผู้บริหารของเลห์แมนประชุมกันอย่างเร่งด่วนที่สำนักงานใหญ่ หลังจากความพยายามครั้งสุดท้ายในการขายกิจการให้แบงก์ออฟอเมริกาและบาร์เคลย์ส์ล้มเหลว
"รัฐบาลปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเรา" ฟูลด์แจ้งทีมด้วยน้ำเสียงเรียบ "เฮนรี พอลสัน (รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง) บอกว่ารัฐบาลจะไม่เข้าช่วยเหลือเหมือนที่ทำกับเบียร์ สเติร์นส์"
"แต่ทำไม?" หนึ่งในกรรมการถาม "เราใหญ่เกินกว่าจะล้ม มันจะส่งผลกระทบทั่วโลก"
"พวกเขาต้องการสร้างบทเรียน" ฟูลด์ตอบ "พวกเขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครใหญ่เกินกว่าจะล้มจริงๆ"
เช้าวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2008 ข่าวการล้มละลายของเลห์แมนบราเธอร์สกระจายไปทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 504 จุดหรือ 4.5% ในวันเดียว ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงตาม กลุ่มพนักงานเลห์แมนกว่า 25,000 คนทั่วโลกต่างเก็บของออกจากสำนักงาน
"ผมทำงานที่นี่มา 15 ปี" มาร์ติน วัย 43 ปี พนักงานฝ่ายวิเคราะห์ตราสารหนี้กล่าวขณะเดินออกจากอาคารพร้อมกล่องเอกสาร "จู่ๆ ทุกอย่างก็หายไป เงินเก็บของผม เงินบำนาญ ทุกอย่าง"
ในขณะที่พนักงานสูญเสียทุกอย่าง ริชาร์ด ฟูลด์ ผู้นำบริษัทสู่หายนะได้รับค่าตอบแทนกว่า 350 ล้านดอลลาร์ในช่วงหลายปีก่อนการล้มละลาย
บทที่ 5: คลื่นกระทบฝั่ง
ผลกระทบของการล่มสลายของเลห์แมนแผ่ขยายออกไปเหมือนคลื่นกระเพื่อม
"กองทุนรวมตลาดเงิน Reserve Primary Fund 'แตก' แล้ว" พาดหัวข่าวระบุในอีกสองวันต่อมา
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กองทุนตลาดเงินซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดประเภทหนึ่งมีมูลค่าหน่วยลงทุนต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ นักลงทุนแตกตื่นและแห่ถอนเงินจากกองทุนต่างๆ กว่า 550,000 ล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว
ในห้องประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เบน เบอร์นานเก้ ประธานเฟด และเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ต่างตระหนักว่าพวกเขาอาจประเมินสถานการณ์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
"เราต้องช่วย AIG" พอลสันประกาศ หลังจากที่บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ส่งสัญญาณว่ากำลังจะล้มละลายเช่นกันเนื่องจากการรับประกันความเสี่ยงให้กับผลิตภัณฑ์การเงินที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อซับไพรม์
ภายในวันเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติเงินกู้ฉุกเฉิน 85,000 ล้านดอลลาร์ให้ AIG และในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา รัฐสภาสหรัฐฯ ก็อนุมัติแผนช่วยเหลือภาคการเงิน (TARP) วงเงิน 700,000 ล้านดอลลาร์
วิกฤตการเงินโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บทส่งท้าย: บทเรียนที่ไม่มีวันลืม
ห้าปีหลังจากวิกฤต ริชาร์ด ฟูลด์ นั่งอยู่ในคอนโดใจกลางแมนฮัตตัน มองออกไปยังเส้นขอบฟ้าของนิวยอร์กที่เขาเคยมีอำนาจมาก
"คุณรู้ไหม บางครั้งผมยังคงคิดว่าเราสามารถฝ่าวิกฤตนั้นได้" เขาพูดกับผู้สัมภาษณ์ "ถ้ารัฐบาลช่วยเรา..."
แต่โลกได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้แล้ว:
ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: การใช้หนี้สูงเกินไปอาจสร้างกำไรมหาศาลในช่วงเศรษฐกิจดี แต่ก็สามารถทำลายองค์กรได้รวดเร็วเมื่อตลาดผันผวน
สภาพคล่องคือชีวิต: แม้องค์กรจะมีสินทรัพย์มูลค่าสูง แต่หากขาดเงินสดหมุนเวียนในยามฉุกเฉิน ก็สามารถล้มได้ภายในชั่วข้ามคืน
โครงสร้างแรงจูงใจสำคัญ: ระบบที่ให้รางวัลกับการทำกำไรระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงระยะยาวนำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นอันตราย
สำหรับระบบการเงินโลก วันที่ 15 กันยายน 2008 จะเป็นวันที่ไม่มีวันลืม วันที่สอนให้ทุกคนเข้าใจว่าไม่มีสถาบันใดใหญ่เกินกว่าจะล้ม และความโลภที่ไร้การควบคุมสามารถทำลายไม่เพียงแค่องค์กร แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
โฆษณา