Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าหุ้นปันผล
•
ติดตาม
24 เม.ย. เวลา 00:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Let’s Talk: เงินเย็น vs เงินร้อน – รู้ก่อนลงทุน ไม่ร้อนใจทีหลัง
ช่วงนี้หลายคนเริ่มหันมาสนใจลงทุนกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน คริปโต อสังหา หรือแม้แต่ของสะสม
เรามักเห็นคนโชว์พอร์ตที่กำไรหนักๆ จนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “ทำไมเราไม่ลองบ้างนะ?”
แต่ก่อนจะลงทุน เราควรถามตัวเองก่อนว่า…
“เงินที่เรากำลังจะใช้ลงทุนนี้… เป็นเงินเย็น หรือเงินร้อน?”
คำถามง่ายๆ นี้แหละ ที่จะกำหนดอนาคตของพอร์ตการลงทุนเราเลยครับ
เข้าใจ “เงินร้อน” ก่อนจะร้อนใจ
เงินร้อน คือเงินที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือในระยะเวลาอันใกล้ เช่น
• เงินเดือนที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน
• เงินที่กันไว้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
• เงินที่จะต้องจ่ายค่าเทอมลูก
• หรือแม้แต่เงินที่เรากู้หรือหยิบยืมมาลงทุน เพราะหวังรวยไว
ปัญหาคือ เมื่อเอาเงินร้อนไปลงทุน แล้วตลาดไม่เป็นใจ
เราจะรู้สึกไม่สบายใจ เครียด หวั่นไหว พอราคาหุ้นตกนิดหน่อย ก็รีบขายทิ้งขาดทุน ทั้งที่มันอาจจะยังไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ที่แย่กว่านั้นคือ หากเงินนั้นเป็นเงินที่ต้องใช้จริงในอีกไม่นาน เช่น ค่าผ่าตัดพ่อแม่ หรือค่าเทอมลูก แล้วมันดันหายไปกับการลงทุน
เราไม่ได้แค่เจ็บใจ… แต่เดือดร้อนจริงๆ
“เงินเย็น” คือพลังของนักลงทุนระยะยาว
ในทางกลับกัน เงินเย็น คือเงินที่เราสามารถ “วางไว้เฉยๆ ได้โดยไม่กระทบชีวิต” อย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป เช่น
• เงินออมส่วนเกินหลังหักค่าใช้จ่าย
• โบนัสประจำปี
• เงินที่ตั้งใจจะเก็บไว้เพื่อเกษียณ
• หรือเงินที่มีเป้าหมายชัด เช่น “เอาไว้ลงทุนเพื่ออนาคตลูกในอีก 10 ปี”
เงินเย็นทำให้เราลงทุนได้อย่างมีสติ ไม่ตกใจง่าย ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทุกวัน
เราใจเย็นพอจะศึกษากิจการ อ่านงบการเงิน และอดทนกับความผันผวนได้ดีขึ้น
นี่แหละคือหัวใจของการลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ
เรื่องจริงจากชีวิตคนใกล้ตัว
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อพี่เอก เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา แต่เก็บออมเก่งมาก
ตอนอายุ 35 เขาเริ่มแบ่งเงินจากโบนัสปลายปีมา 100,000 บาท แล้วเลือกหุ้นปันผลตัวหนึ่งที่เขาศึกษาอย่างดี
เขาตั้งใจถือยาว 5 ปี โดยไม่หวังรวยเร็ว ไม่เก็งกำไร
พอปีถัดมาตลาดหุ้นดันตกหนัก หุ้นตัวนั้นลดลงไปกว่า 30% หลายคนรอบตัวตื่นตระหนก ขายทิ้งไปหมด
แต่พี่เอกกลับเฉยๆ เขายังเดินหน้าทำงาน เก็บเงิน และซื้อเพิ่มทุกปี
เวลาผ่านไป 5 ปี หุ้นตัวนั้นราคาฟื้นกลับมา พร้อมปันผลที่รับปีละ 5-6% ทุกปี
ตอนนี้เขามีพอร์ตหุ้นปันผลที่โตขึ้น 3 เท่าจากเงินต้น และมี passive income เดือนละหลายพันโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินเราร้อนหรือเย็น?
ลองถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ นี้ครับ:
“ถ้าเงินก้อนนี้หายไปครึ่งหนึ่งใน 1 ปี… เราจะยังใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมไหม?”
ถ้าคำตอบคือ “ไม่” นั่นคือเงินร้อน อย่าเพิ่งเอาไปลงทุน
แต่ถ้าคุณตอบว่า “ได้ ยังอยู่ได้สบาย ไม่เครียด”
แสดงว่าเงินนั้นอาจจะเป็น “เงินเย็น” ที่พร้อมให้เติบโตอย่างใจเย็นในสนามลงทุนแล้วล่ะครับ
Let’s Talk สั้นๆ ก่อนจากกัน…
การลงทุนไม่ใช่เรื่องของกำไรอย่างเดียว แต่คือการจัดการความเสี่ยง
รู้ว่าเงินไหนควรลงทุน เงินไหนควรถอย คือจุดเริ่มต้นของการลงทุนที่ยั่งยืน
อย่าให้ความอยากรวยไว ทำให้เราลงทุนด้วยเงินที่ไม่ควรเสี่ยง เพราะกำไรที่ได้มา อาจไม่คุ้มกับความเครียดที่แลกไป
หากบทความนี้ช่วยให้คุณคิดก่อนลงทุนมากขึ้น กดติดตามเพจไว้เลยครับ
การเงิน
การลงทุน
ไลฟ์สไตล์
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Let's Talk
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย