25 เม.ย. เวลา 00:59 • การศึกษา

เทคนิคการเขียน Prompt ให้ได้ผลลัพธ์จาก AI อย่างมีประสิทธิภาพ

การเขียน prompt คือ การสื่อสารกับ AI ซึ่งเปรียบเสมือน การบรีฟงานให้ AI ปฏิบัติตามที่ต้องการ
โดยการพิมพ์คำสั่งหรือคำถามให้ AI หาคำตอบ ดังนั้น เพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงความต้องการที่สุด ไม่ต้องถามหลายรอบ (จนเกินไป) จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้ prompt ที่ดีมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้ผ่านการเรียนหลักสูตรดังกล่าวจาก course Google AI essentials มาแล้ว จึงนำมาเล่าให้ฟัง
เทคนิคก็เป็นดังนี้ครับ
1. Precise & Persona (เฉพาะเจาะจง & กำหนดบทบาท)
ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน (Describe specifically)
โดยควรกำหนดบทบาทและบริบท (Role & Context) ให้ AI, ใช้คำสำคัญที่เฉพาะเจาะจง (Employ keywords)
บทบาท: ระบุให้ AI สวมบทบาทเป็นใคร เช่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง, ครู, นักเขียน
ผู้รับสาร: ระบุกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับข้อมูล เช่น เด็กอายุ 10 ปี, ผู้บริหารระดับสูง
วัตถุประสงค์: ชี้แจงเป้าหมายของเนื้อหา เช่น เพื่อสอน, เพื่อโน้มน้าว, เพื่อความบันเทิง
บริบท: อธิบายสถานการณ์เพื่อให้ AI เข้าใจ เช่น "นี่คือการนำเสนอในที่ประชุม", "นี่คือบทความสำหรับบล็อก"
รูปแบบ: ระบุโทนและสไตล์การเขียน เช่น เป็นทางการ, เป็นกันเอง, สนุกสนาน
ตัวอย่าง:
แบบไม่ดี: "เขียนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน", "ออกแบบโลโก้"
แบบดี: "สมมติว่าคุณเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ กำลังอธิบายผลกระทบของภาวะโลกร้อนให้กับนักเรียนมัธยมปลาย เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายแต่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง พร้อมยกตัวอย่างที่เห็นได้ในชีวิตประจำวัน"
แบบดี (สั้นๆ) : "ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน อธิบายวิธีการลงทุนแบบ DCA สำหรับผู้เริ่มต้น", "ออกแบบโลโก้สไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย ใช้รูปทรงเรขาคณิต"
2. Role & Recipient (บทบาทและผู้รับสาร)
ระบุบทบาทที่ AI ควรสวมและกลุ่มผู้รับสารที่เป็นเป้าหมาย
เช่น "คุณเป็นครูอนุบาล กำลังอธิบายเรื่องวงจรน้ำให้เด็กอายุ 5 ปี"
3.Output Format (รูปแบบผลลัพธ์)
ระบุรูปแบบการนำเสนอผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น: "นำเสนอในรูปแบบตารางเปรียบเทียบ" หรือ "เขียนเป็นบทความ 500 คำ", "เขียนบทกวี 4 บทเกี่ยวกับความงามของธรรมชาติในฤดูใบไม้ร่วง"
• แบบไม่ดี: "เขียนเกี่ยวกับธรรมชาติ"
4. Model Examples (ตัวอย่างต้นแบบ)
ให้ตัวอย่างประกอบ (Add examples) แสดงตัวอย่างของผลลัพธ์ที่ต้องการหรืออ้างอิงรูปแบบที่ชื่นชอบ
เช่น: "เขียนในสไตล์คล้ายบทความของ นิตยสาร National Geographic", "เขียนเรื่องสั้นแนวสืบสวนสอบสวนคล้ายกับงานของอกาธา คริสตี้ ความยาวประมาณ 500 คำ"
• แบบไม่ดี: "เขียนเรื่องสั้น"
5. Phrase Variations (ปรับเปลี่ยนคำพูด)
ทดลองใช้คำพูดที่แตกต่างกันเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์
เช่น: หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ ลองปรับเปลี่ยนคำหรือโครงสร้างประโยค
ทดลองใช้คำพูดที่แตกต่างกัน (Iterate phrasings)
6. Tweak & Test (ปรับแต่งและทดสอบ)
ทบทวนผลลัพธ์และปรับปรุง prompt ย่างต่อเนื่อง
เช่น: "ผลลัพธ์ดีแล้ว แต่ช่วยเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียหน่อยได้ไหม"
เราสามารถใช้คำว่า "P-R-O-M-P-T" เป็น acronym ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะช่วยให้จำได้ง่ายและสื่อความหมายได้ตรงประเด็น
แต่อย่าลืมว่าบางกรณีไม่ควรใช้ AI
EAT
เมื่อไรที่ AI ไม่เหมาะกับงาน?
"EAT" ย่อมาจาก
Emotional Intelligence Required (ต้องใช้ความฉลาดทางอารมณ์) : การแก้ไขความขัดแย้งต้องอาศัยความเข้าใจและการตอบสนองต่ออารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ดี
Adaptability Needed in Real-time (ต้องการความละเอียดอ่อนและการปรับตัว) : คุณอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการแบบเรียลไทม์ตามการตอบสนองของสมาชิกในทีม ซึ่ง AI ไม่สามารถรับมือได้
Trust Building Essential (ต้องอาศัยการสร้างความไว้วางใจ) : การไกล่เกลี่ยที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการสร้างความไว้วางใจกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้การเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์อย่างแท้จริง
แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่สำคัญที่จะต้องตระหนักว่าเมื่อใดที่ทักษะของมนุษย์มีความจำเป็น
อ้างอิง
โฆษณา