27 เม.ย. เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรไทย : จุดแข็ง จุดอ่อน และทางเลือกใหม่

ภาคการเกษตรคือหนึ่งในเสาหลักที่ยังคงเลี้ยงดูเศรษฐกิจและสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี และระบบการค้าโลก ต่างกดดันให้เกษตรกรไทยต้องเร่งปรับตัว โครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่สนับสนุนการเกษตรจึงมีบทบาทสำคัญยิ่ง — ทั้งในแง่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความยั่งยืน
โครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน : อะไรที่เรามีอยู่แล้ว?
1. ระบบชลประทาน
ไทยมีระบบชลประทานขนาดใหญ่และขนาดกลางกระจายทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคกลาง เช่น โครงการเจ้าพระยาใหญ่ที่สามารถรองรับการปลูกข้าวได้หลายฤดู
2. ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการเกษตร
มีหน่วยงานของรัฐ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ทำหน้าที่พัฒนาสายพันธุ์ เทคนิคการผลิต และถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกร
3. ตลาดกลางเกษตร
เช่น ตลาดไท ตลาดศรีเมือง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายผลผลิตเกษตรกรรมขนาดใหญ่ รองรับสินค้าหลากหลายประเภท
4. เครือข่ายถนน และโลจิสติกส์
มีถนนหนทางและการขนส่งที่ค่อนข้างสะดวกเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยให้สินค้าเกษตรเคลื่อนย้ายได้เร็วขึ้น
ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างพื้นฐาน
แม้จะมีระบบรองรับอยู่บ้างแล้ว แต่การเจาะลึกพบว่ามี “ช่องโหว่” สำคัญที่ทำให้เกษตรกรไทยเสียโอกาสและแบกรับต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น เช่น
• ระบบชลประทานไม่ทั่วถึง
ชลประทานดีเฉพาะบางพื้นที่ แต่เกษตรกรในเขตฝนทิ้งช่วงหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนมากยังต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก
• การถ่ายทอดเทคโนโลยียังไม่ลึกถึงเกษตรกรตัวจริง
งานวิจัยดีๆ มักติดอยู่ในห้องประชุม หรือถ่ายทอดได้ไม่ถึงเกษตรกรระดับรากหญ้า จึงทำให้เกษตรกรจำนวนมากยังใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่สิ้นเปลืองแรงงานและต้นทุน
• ขาดระบบเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตสูญเสียจำนวนมากหลังการเก็บเกี่ยว เช่น ข้าวหัก เสียหายจากเชื้อรา หรือผลไม้เน่าเสีย เพราะไม่มีคลังเย็นหรือเทคโนโลยีถนอมอาหารที่เข้าถึงง่ายและราคาประหยัด
• ตลาดถูกผูกขาด
เกษตรกรจำนวนมากไม่มีทางเลือกในการขายผลผลิต ต้องขายให้พ่อค้าคนกลางในราคาที่ไม่เป็นธรรม
แนวทางแก้ไขที่ควรเร่งทำ
1. กระจายระบบน้ำให้ครอบคลุม “ถึงแปลง”
ไม่ใช่แค่มีเขื่อนหรือคลองใหญ่ แต่ต้องต่อยอดระบบน้ำให้ถึงแปลงเกษตรจริง ๆ ผ่านระบบท่อ สปริงเกอร์ หรือจ่ายน้ำหยดในราคาที่เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงได้
2. ตั้ง “ที่ปรึกษาประจำหมู่บ้านเกษตรกรรม”
เปลี่ยนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากห้องอบรมมาเป็นการมีผู้เชี่ยวชาญเกษตร (Agricultural Coach) ประจำหมู่บ้าน คอยให้คำปรึกษาแบบถึงตัวถึงแปลงอย่างต่อเนื่อง
3. สร้างเครือข่ายคลังเก็บรักษาท้องถิ่น
สนับสนุนให้มี “ห้องเย็นชุมชน” และ “โรงเก็บแห้ง” ที่เป็นของกลุ่มเกษตรกรเอง เพื่อลดการสูญเสียผลผลิตหลังเก็บเกี่ยว และเพิ่มอำนาจต่อรองด้านราคา
4. เปิดแพลตฟอร์มตลาดเกษตรเสรี
ใช้เทคโนโลยีออนไลน์สร้างแพลตฟอร์มกลางที่เกษตรกรสามารถโพสต์ขายสินค้าของตนเองได้โดยตรงถึงผู้บริโภคหรือผู้ค้าปลีก ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง
แนวทางใหม่ที่ไทยควรริเริ่มเอง (และยังไม่มีประเทศไหนทำจริงจัง)
1. ระบบ “ประกันรายได้จาก Productivity ไม่ใช่ราคาตลาด”
ปัจจุบัน หลายประเทศอุดหนุนเกษตรกรด้วยการประกันราคาขั้นต่ำ แต่สิ่งที่ไทยควรริเริ่มคือ “การประกันรายได้ตามประสิทธิภาพ” เช่น ใครปลูกข้าวได้เกินค่าเฉลี่ยผลผลิตต่อไร่จะได้โบนัสเพิ่ม
ข้อดี: กระตุ้นเกษตรกรให้พัฒนาเทคนิคการผลิต แทนที่จะรอพึ่งราคาตลาดอย่างเดียว
2. แบ่งโซนเกษตรกรรมพิเศษ
แทนที่จะปลูกทุกอย่างทั่วประเทศ ไทยควรแบ่งพื้นที่เป็น “โซนเกษตรพิเศษ” เช่น โซนข้าวคุณภาพสูง โซนพืชสมุนไพร โซนผักปลอดสาร โดยมีโครงสร้างพื้นฐานเจาะจงสนับสนุน เช่น ห้องเย็นเฉพาะสมุนไพร ศูนย์แปรรูปสำหรับพืชอินทรีย์ ฯลฯ
3. บริการ “ฟาร์มเมเนเจอร์” มืออาชีพ
ตั้งหน่วยงานหรือเอกชนที่ให้บริการ “ผู้จัดการฟาร์ม” ให้เกษตรกรที่อยากพัฒนาฟาร์มของตัวเองจ้างได้ในราคาสมเหตุสมผล เหมือนการจ้างผู้จัดการร้านค้าปลีก
บทส่งท้าย
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีไม่ใช่แค่สร้างถนน เขื่อน หรืออาคาร แต่คือการสร้าง “ความสามารถ” ให้เกิดขึ้นจริงที่ตัวเกษตรกร หากเรากล้าคิด กล้าทำสิ่งใหม่ที่เหมาะกับบริบทไทย และยึดเป้าหมายการ “ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิต” อย่างจริงจัง
อนาคตของการเกษตรไทยอาจไม่ได้อยู่ที่ใครช่วย แต่จะอยู่ที่เราสร้างรากฐานให้แข็งแรงพอจะเติบโตเองได้
โฆษณา