27 เม.ย. เวลา 02:01 • ข่าว

เงามืดในใจ: ถอดรหัสจิตใจฆาตกรหนุ่มจีน ฆ่า ชำแหละ และละเมิดศพ ณ พัทยา

กลางเมืองพัทยาที่เต็มไปด้วยแสงสี เสียงหัวเราะ และการเฉลิมฉลอง ชีวิตหนึ่งได้ถูกดับลงอย่างโหดเหี้ยมในห้องพักเงียบๆ ของโรงแรมแห่งหนึ่ง — เหยื่อคือสาวประเภทสอง ส่วนผู้ลงมือคือชายชาวจีนวัย 31 ปี
แต่การฆ่าเพียงอย่างเดียวไม่ใช่จุดจบของความโหดร้าย — เขาชำแหละศพอย่างเย็นชา นำซิลิโคนและหัวใจออกมา ส่วนปอดหายไปโดยไร้ร่องรอย
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากฆาตกรเกิด “ความรู้สึกสนุก” ต่อร่างไร้วิญญาณ
บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์จิตใจของฆาตกรอย่างมีหลักจิตวิทยา: ทำไมเขาจึงลงมือแบบนี้? เขาคิดอะไร? และในใจเขามีอะไรซ่อนอยู่?
ลำดับเหตุการณ์ที่แท้จริง
   •   ผู้ต้องหาและผู้เสียชีวิตเข้าพักในโรงแรมที่พัทยา
   •   ระหว่างอยู่ในห้อง เกิดการทะเลาะรุนแรง
   •   ผู้ต้องหาใช้มือเปล่าบีบคอเหยื่อจนเสียชีวิต
   •   หลังฆ่าแล้ว เกิดแรงกระตุ้นอยากสนุกกับศพ
   •   เดินทางออกไปซื้อของ เช่น มีด ถุงมือ และอุปกรณ์ชำแหละ
   •   กลับมาโรงแรม ชำแหละศพ แยกเอาซิลิโคนและหัวใจออกมา ปอดของเหยื่อหายไป
   •   พยายามหลบหนีทางสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ถูกจับกุมได้
การกระทำที่ผิดปกติ: ฆ่าแล้ว “สนุก” กับศพ
การฆ่าโดยมือเปล่า เป็นสัญญาณของความโกรธที่ควบคุมไม่อยู่ แต่สิ่งที่ผิดปกติกว่านั้น คือการไม่หยุดหลังจากเหยื่อตายแล้ว
หลักจิตวิทยาอธิบายว่า:
คนทั่วไปเมื่อฆ่าใครในสภาวะโกรธ จะเกิดความรู้สึกผิดหรือความกลัวตามมา แต่ในบางกรณีที่จิตใจผิดปกติรุนแรง
   •   เมื่อฆ่าได้สำเร็จ เขาไม่ได้รู้สึกผิด แต่เกิด ความตื่นเต้น (Excitement) และ ความพึงพอใจทางจิต (Psychological Gratification)
   •   ความตื่นเต้นนี้ผลักดันให้เขา “ทำอะไรเพิ่มเติม” กับศพ เพื่อรักษาความรู้สึกเหนือกว่าและควบคุมเหยื่ออย่างสมบูรณ์
การออกไปซื้ออุปกรณ์แล้วกลับมาชำแหละศพ จึงไม่ใช่การทำด้วยความตื่นตระหนก แต่คือการวางแผนใหม่ด้วยจิตใจที่ผิดรูป
วิเคราะห์โครงสร้างจิตใจฆาตกร
การถอดรหัสจิตใจจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้น พบลักษณะสำคัญดังนี้:
1. แรงขับซาดิสม์ (Sadistic Drive)
ฆาตกรมีความสุขจากการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดและไร้อำนาจ
   •   การฆ่าด้วยมือเปล่า และการชำแหละศพ เป็นการแสดงออกถึงการควบคุมสูงสุด
   •   การนำซิลิโคนและหัวใจออก คือการตอกย้ำความเหนือกว่าของตนเองเหนือชีวิตของเหยื่อ
ในเชิงจิตวิทยา: คนที่มีแรงขับซาดิสม์ มักรู้สึกอิ่มเอมเมื่อสามารถทำลายหรือครอบครองผู้อื่นอย่างแท้จริง
2. แรงกระตุ้นล่วงละเมิดศพ (Necrophilic Impulse)
การ “สนุก” กับศพไม่ใช่เรื่องทางเพศเสมอไป แต่คือการ “อยากครอบครอง” ร่างไร้วิญญาณที่ไม่สามารถต่อต้านได้
   •   การชำแหละ การเก็บอวัยวะ คือการแสดงออกว่าศพนี้ “เป็นของเขา” อย่างสมบูรณ์
   •   ปอดที่หายไป อาจถูกนำไปเก็บ หรือทำลายอย่างมีนัยสำคัญส่วนตัว
ในเชิงจิตวิทยา: แรงกระตุ้นล่วงละเมิดศพ มักพบในผู้ที่รู้สึกขาดอำนาจในชีวิตจริง และพยายามเติมเต็มความรู้สึกนั้นด้วยการควบคุมร่างที่ไม่มีทางขัดขืนได้
3. ขาดการควบคุมอารมณ์ (Emotional Dysregulation)
   •   พฤติกรรมรุนแรงเกิดขึ้นทันทีที่มีปัญหาความขัดแย้ง
   •   ไม่มีความสามารถในการหยุดยั้งอารมณ์โกรธ หรือใช้วิธีแก้ไขความขัดแย้งที่สร้างสรรค์
ในเชิงจิตวิทยา: บุคคลที่ขาดการควบคุมอารมณ์รุนแรง มักเปลี่ยนจากความโกรธธรรมดาไปสู่ความรุนแรงสุดขั้วได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมฆาตกรต้อง “แยกชิ้นส่วน”?
ในทางจิตวิทยา การแยกอวัยวะบางส่วนของศพมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น
   •   หัวใจ คือสัญลักษณ์ของชีวิตและอารมณ์ — การนำหัวใจออก คือการครอบครองจิตวิญญาณของเหยื่อ
   •   ซิลิโคน เป็นสัญลักษณ์ของตัวตนที่เหยื่อสร้างขึ้นมา — การเอาออก คือการลบล้างสิ่งที่เหยื่อเป็น
   •   ปอด ซึ่งหายไป เป็นสัญลักษณ์ของการหายใจและการดำรงชีวิต — การทำลายปอด อาจแปลได้ว่า ฆาตกรต้องการตัดทุกสิ่งที่เชื่อมโยงเหยื่อกับ “ชีวิต”
นี่ไม่ใช่เพียงการทำลายร่างกาย แต่คือการทำลาย “ตัวตน” และ “ความเป็นมนุษย์” ของเหยื่อโดยสิ้นเชิง
สรุป: ฆาตกรรมที่สะท้อนเงามืดในจิตใจมนุษย์
คดีสะเทือนขวัญครั้งนี้ไม่ใช่แค่เหตุฆาตกรรมธรรมดา
แต่คือการเผยให้เห็นถึง
   •   แรงขับแห่งความเกลียดชัง
   •   ความต้องการครอบครองที่บิดเบี้ยว
   •   และความมืดในจิตใจมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนความโกรธชั่ววูบให้กลายเป็นการละเมิดที่โหดเหี้ยมเหนือคำบรรยาย
เมื่อมองลึกเข้าไป เราไม่ได้เห็นแค่ฆาตกรคนหนึ่ง
แต่เห็นร่องรอยของชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด และความเจ็บปวด ที่รอวันระเบิดออกมาในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำได้
หมายเหตุ:
บทความนี้วิเคราะห์จากข้อมูลข่าวที่ตรวจสอบแล้ว และเรียบเรียงตามหลักจิตวิทยาพฤติกรรมศาสตร์เพื่อให้เข้าใจความลึกซึ้งของพฤติกรรมมนุษย์
โฆษณา