28 เม.ย. เวลา 02:55 • คริปโทเคอร์เรนซี

การวิเคราะห์โปรเจกต์คริปโตที่มีโอกาสที่ราคาจะพุ่งสูง

ในบทความนี้จะวิเคราะห์โปรเจกต์สกุลเงินคริปโตสำคัญๆ ที่มีศักยภาพให้ราคาพุ่งสูงในอนาคต โดยจะพิจารณาปัจจัยหลัก 5 ด้าน ได้แก่ นโยบายล่าสุดของโปรเจกต์, เทคโนโลยีที่พัฒนาและเปิดตัวล่าสุด, ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง, ศักยภาพการเติบโต, และ ปัจจัยเสี่ยง ทั้งนี้จะนำเสนอเป็นรายโปรเจกต์ และวิเคราะห์ทั้งแง่บวกและลบพร้อมตัวอย่างประกอบอย่างละเอียด
Ethereum (ETH)
นโยบายล่าสุด
Ethereum มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐศาสตร์ครั้งใหญ่หลังเปลี่ยนจาก Proof-of-Work (PoW) มาเป็น Proof-of-Stake (PoS) ในปี 2022 (The Merge) ซึ่งลดการสร้างเหรียญใหม่ลงประมาณ 90% ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำมาก นอกจากนี้ นโยบายค่าธรรมเนียม
แบบใหม่ (EIP-1559) ที่เริ่มใช้ปี 2021 ส่งผลให้มีการเผาเหรียญ ETH ทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม ทำให้ปริมาณเหรียญมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เครือข่ายมีการใช้งานสูง (เกิดภาวะเงินฝืดเล็กน้อย) ด้วยนโยบายดังกล่าว Ethereum จึงเน้นการสร้างความมั่นคงด้านมูลค่าเหรียญในระยะยาว ควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจการรับรองธุรกรรมผ่านผู้ตรวจสอบ (validators) กว่า 7 แสนรายทั่วโลกหลังการเปลี่ยนเป็น PoS
เทคโนโลยีล่าสุด
Ethereum มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงความสามารถในการรองรับการใช้งานและลดค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนมีนาคม 2024 Ethereum ได้อัปเกรดเครือข่ายเพิ่มฟีเจอร์ Proto-Danksharding (EIP-4844) ซึ่งช่วยให้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลชั่วคราวสำหรับโรลอัพ (Rollups) ทำให้ลดภาระบนเครือข่ายหลักและช่วยลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมของเครือข่ายเลเยอร์ 2 ลงอย่างมาก. นอกจากนี้ ชุมชนนักพัฒนา
กำลังเตรียมการอัปเกรดครั้งใหญ่โค้ดเนม “Pectra” ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองช่วง (Prague และ Electra) เพื่อทยอยปรับใช้ฟีเจอร์ใหม่อย่างปลอดภัย โดยคาดว่าจะมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพของผู้ตรวจสอบ, ความปลอดภัยเครือข่าย, และรองรับการปรับขนาด (Sharding) ในระยะถัดไป. ความก้าวหน้าทางเทคนิคเหล่านี้สะท้อนว่า Ethereum ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งแก้ปัญหาความหนาแน่นของเครือข่ายเพื่อรองรับผู้ใช้จำนวนมากขึ้น
ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง
2015: เปิดตัวเครือข่าย Ethereum (Frontier) ใช้กลไกฉันทามติ PoW และอนุญาตการเขียน Smart Contract เป็นครั้งแรก ปูทางสู่ระบบนิเวศ DeFi และ NFT ในอนาคต
2016-2018: มีการ Hard Fork สำคัญหลายครั้ง (เช่น Homestead, Metropolis) รวมถึงการ Fork แยกเครือข่ายจากเหตุการณ์ DAO Hack ในปี 2016 เพื่อคืนเงินที่ถูกขโมย
2021: อัปเกรด London Hard Fork พร้อมใช้ข้อเสนอ EIP-1559 ที่ปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่และเผาค่าธรรมเนียมบางส่วน ทำให้อุปทาน ETH เริ่มถูกเผาลดลงอย่างต่อเนื่อง
2022: อัปเกรดครั้งประวัติศาสตร์ The Merge (กันยายน 2022) เปลี่ยนระบบเป็น PoS อย่างสมบูรณ์ ลดการใช้พลังงานกว่า 99% และลดการออกเหรียญใหม่ลงอย่างมาก
2023: อัปเกรด Shanghai/Capella (เมษายน 2023) เปิดให้ผู้Stake ETH สามารถถอนเหรียญที่ล็อกไว้ได้เป็นครั้งแรก เพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นให้กับนักลงทุน พร้อมทั้งปูทางสู่การพัฒนา Sharding ในขั้นต่อไป
ศักยภาพการเติบโต
เครือข่ายหลักของโลก DeFi และ NFT: Ethereum ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะที่มีผู้ใช้งานและนักพัฒนามากที่สุด DeFi มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์และโครงการ NFT ใหญ่ๆ ล้วนอยู่บน Ethereum ซึ่งเกิด Network Effect ที่ดึงดูดให้โปรเจกต์ใหม่ๆ เลือกใช้เครือข่ายนี้ต่อไป
โครงสร้างเศรษฐกิจเหรียญที่เอื้อราคาขึ้น: ด้วยการผสมผสาน PoS และกลไกเผาค่าธรรมเนียม ส่งผลให้ ETH กลายเป็นสินทรัพย์ที่อุปทานเพิ่มขึ้นช้าและอาจลดลงในบางช่วง หากความต้องการใช้งานเครือข่ายสูง ปริมาณ ETH อาจลดลง (deflationary) ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ราคาขยับขึ้นเมื่ออุปสงค์คงที่หรือเพิ่มขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยีไม่หยุดยั้ง: แผนงานในอนาคตอย่างการทำ Sharding (เพิ่มความสามารถในการประมวลผลหลายพันธุรกรรมต่อวินาที) และการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น Proposer-Builder Separation จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้ Ethereum สำหรับการใช้งานวงกว้าง ตั้งแต่การเงินไปจนถึงภาคธุรกิจ
การยอมรับจากสถาบันการเงิน: Ethereum ได้รับความสนใจจากสถาบันมากขึ้น เช่น การอนุมัติกองทุนฟิวเจอร์ส ETH ETF ในสหรัฐฯ และการทดลองใช้ Ethereum ในโครงการของธนาคารและบริษัทรายใหญ่ สิ่งนี้อาจนำเงินทุนและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนสถาบันเข้าสู่ระบบนิเวศ Ethereum เพิ่มเติม
ปัจจัยเสี่ยง
ค่าธรรมเนียมสูงและความหนาแน่นของเครือข่าย: แม้มีโครงการเลเยอร์ 2 มาช่วยขยายขนาด แต่ในช่วงที่เครือข่าย Ethereum แออัด ค่าธรรมเนียมก๊าส (Gas fee) บนเลเยอร์ 1 ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งผู้ใช้รายย่อยอาจหันไปใช้เครือข่ายอื่นที่ถูกกว่า ส่งผลให้บางส่วนของกิจกรรมถูกย้ายออกไปนอก Ethereum
การแข่งขันจากแพลตฟอร์มอื่น: ขณะที่ Ethereum พยายามปรับปรุงตัวเอง คู่แข่งอย่าง Binance Smart Chain, Solana, Cardano และเครือข่ายเลเยอร์ 2 อื่นๆ ก็กำลังดึงดูดนักพัฒนาและผู้ใช้เช่นกัน หาก Ethereumปรับตัวไม่ทันหรือเกิดปัญหาความล่าช้าในการอัปเกรด ก็อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งเหล่านี้
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการกระจายศูนย์: แม้ Ethereum จะกระจายศูนย์มาก แต่การที่บริการ Staking รายใหญ่เช่น Lido ถือครองส่วนแบ่งการฝากสูง (ใกล้ 30% ของ ETH ที่ stake) อาจก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการกระจุกตัวของอำนาจในการตรวจสอบธุรกรรม นอกจากนี้สัญญาอัจฉริยะที่ซับซ้อนบน Ethereum ยังมีประวัติถูกโจมตี (DeFi Hack) อยู่เรื่อยๆ ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นในระบบนิเวศ
ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ: แม้ ETH ยังไม่ถูกกำกับอย่างชัดเจนว่าเป็นหลักทรัพย์ แต่หน่วยงานบางแห่งในสหรัฐฯ เคยแสดงความเห็นว่า ETH อาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ ซึ่งหากมีกฎเข้มงวดออกมา เช่น การกำกับดูแลการ Stake หรือการซื้อขาย อาจจำกัดการเข้าถึง Ethereum ในบางประเทศ อย่างไรก็ดี Ethereum ถือว่ามีการกระจายอำนาจสูง ทำให้ความเสี่ยงด้านนี้น้อยกว่าเหรียญของบริษัทหรือแพลตฟอร์มที่รวมศูนย์มากกว่า
Cardano (ADA)
นโยบายล่าสุด
Cardano มีการเดินหน้าสู่ยุค Voltaire ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายในการพัฒนาเครือข่ายที่เน้นการกระจายอำนาจด้านการกำกับดูแล ล่าสุดมีการเสนอแนวทาง CIP-1694 (Cardano Improvement Proposal 1694) เพื่อปรับโครงสร้างระบบบริหารเครือข่ายบนเชน ให้ผู้ถือเหรียญ ADA ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการโหวต
ตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของเครือข่ายได้อย่างทั่วถึง. นโยบายนี้จะทำให้ Cardano กลายเป็นเครือข่ายที่ชุมชนมีสิทธิ์เสียงอย่างแท้จริง (on-chain governance) แทนที่การพึ่งพาทีมพัฒนาเพียงไม่กี่กลุ่ม นอกจากนี้ Cardano ยังคงนโยบายการพัฒนาแบบวิจัยเชิงวิชาการ (Research-driven) โดยทุกการเปลี่ยนแปลงจะผ่านการตรวจสอบและทดสอบอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้จริง ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาค่อนข้างระมัดระวังแต่มีความน่าเชื่อถือ
เทคโนโลยีล่าสุด
ทางด้านเทคโนโลยี Cardano ได้เปิดตัวโซลูชันการขยายขนาดแบบเลเยอร์ 2 ที่ชื่อ Hydra บนเครือข่ายหลักแล้ว โพรโตคอล Hydra จะสร้าง “หัว” (Heads) ซึ่งเป็นเชนย่อยสำหรับประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากนอกเชนหลัก และค่อยสรุปผลกลับมายังเชนหลัก ทำให้การทำธุรกรรมสามารถเกิดขึ้นเร็วขึ้นมากและมีค่าธรรมเนียมถูกลงอย่างมหาศาล. การเปิดใช้งาน Hydra ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาความเร็วและปริมาณ
ธุรกรรมของ Cardano เพื่อรองรับการใช้งานในวงกว้าง นอกเหนือจาก Hydra แล้ว Cardano ยังพัฒนา Mithril ซึ่งเป็นโปรโตคอลยืนยันสถานะเครือข่ายแบบรวดเร็ว (ช่วยให้โหนดซิงก์ข้อมูลได้เร็วขึ้น) และสนับสนุนการสร้าง ไซด์เชน (Sidechains) ที่เชื่อมต่อกับ Cardano เช่น เครือข่ายด้านความเป็นส่วนตัวชื่อ Midnight ดังนั้นเทคโนโลยีล่าสุดของ Cardano มุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถใหม่ๆ ให้เครือข่ายโดยไม่ลดทอนความปลอดภัย
ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง
2017: เปิดตัวเครือข่าย Cardano (ยุค Byron) เป็นระบบ Proof-of-Stake ที่มีการพัฒนาโดยยึดหลักวิชาการและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ (Peer-Review) ก่อนใช้งานจริง
2020: อัปเกรดยุค Shelley ทำให้เครือข่ายกระจายอำนาจเต็มที่ เปิดให้ผู้ถือ ADA สามารถ Stake และรันโหนดเป็นผู้ผลิตบล็อกได้ ส่งผลให้ปัจจุบันกว่า 70% ของเหรียญ ADA ในระบบถูกนำไป Stake เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยเครือข่าย
2021: การอัปเกรดครั้งสำคัญ Alonzo Hard Fork (กันยายน 2021) ที่เพิ่มขีดความสามารถ Smart Contracts ให้กับ Cardano เป็นครั้งแรก ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน DeFi และโปรเจกต์อื่นๆ บน Cardano ได้ ถือเป็นการเปิดระบบนิเวศให้กว้างขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ Cardanoยังไม่มีสมาร์ทคอนแทรคบนเชน
2022: อัปเกรด Vasil Hard Fork (กันยายน 2022) ปรับปรุงประสิทธิภาพของการประมวลผลธุรกรรมและการทำงานของ Plutus (ภาษาสำหรับเขียนสัญญาอัจฉริยะของ Cardano) ทำให้ทำงานเร็วขึ้นและรองรับปริมาณงานมากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของยุค Basho ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย
2023: มีความก้าวหน้าทั้งด้าน Scaling และ Governance – โพรโตคอล Hydra ถูกนำมาใช้งานจริงบนเมนเน็ตเพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผล และเริ่มทดลองระบบโหวต on-chain ผ่าน CIP-1694 เตรียมเข้าสู่ยุค Voltaire ที่ชุมชนจะควบคุมทิศทางเครือข่ายร่วมกัน
ศักยภาพการเติบโต
ชุมชนแข็งแกร่งและฐานผู้ถือเหรียญเหนียวแน่น: Cardano ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนผู้ถือ ADA จำนวนมากที่เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ระยะยาว การที่กว่า 70% ของ ADA ถูกนำไป Stake สะท้อนว่าผู้ถือส่วนใหญ่พร้อมล็อกเหรียญช่วยเครือข่ายและเชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาว ซึ่งลดแรงเทขายและทำให้อุปทานหมุนเวียนตึงตัว ส่งผลดีต่อราคาหากความต้องการเพิ่มขึ้น
สถาปัตยกรรมที่เน้นความปลอดภัยและความถูกต้อง: การพัฒนาฟีเจอร์ทุกอย่างของ Cardanoผ่านการวิจัยและทดสอบอย่างเป็นระบบ (เช่น พิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ของโปรโตคอล Ouroboros) ทำให้เครือข่ายมีความเสถียรและน่าเชื่อถือ เหมาะกับการนำไปใช้ในภาครัฐหรือองค์กรที่ต้องการความมั่นใจสูง (ตัวอย่างเช่น โครงการบัตรประชาชนดิจิทัลในเอธิโอเปียที่ใช้ Cardano) ความน่าเชื่อถือเชิงวิชาการนี้อาจดึงดูดพันธมิตรรายใหญ่เพิ่มขึ้น
การมาถึงของฟังก์ชันใหม่ๆ จะขยายระบบนิเวศ: เมื่อ Cardano สามารถใช้งาน Smart Contracts ได้เต็มรูปแบบและมีการปรับปรุงด้านความเร็ว (ผ่าน Hydra) ควบคู่กับระบบ Governance ที่กระจายศูนย์ นักพัฒนาและโครงการใหม่ๆ จะมีแรงจูงใจเข้ามาสร้างบน Cardano มากขึ้น เนื่องจากค่าธรรมเนียมถูก ความปลอดภัยสูง และชุมชนให้การสนับสนุนดี ก่อให้เกิดระบบนิเวศ DeFi/NFT ที่ใหญ่มากขึ้นบนเครือข่าย
ภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: Cardano ใช้กลไก PoS ที่ใช้พลังงานต่ำอยู่แล้ว ประกอบกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้ได้รับความสนใจในฐานะบล็อกเชนสีเขียว หากกระแสรักษ์โลกยังเป็นที่สนใจในหมู่นักลงทุนและรัฐบาล โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง Cardano อาจได้รับการสนับสนุนหรือเลือกใช้งานมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยง
ความล่าช้าในการพัฒนาและนำมาใช้: แม้ Cardano จะมีโรดแมปชัดเจน แต่การดำเนินงานค่อนข้างช้า (ใช้เวลาหลายปีในการเปิดใช้ Smart Contract และฟีเจอร์อื่น) ทำให้ระหว่างนั้นคู่แข่งรายอื่นๆ สร้างชุมชนและฐานผู้ใช้ไปมากแล้ว Cardano จึงยังมีจำนวน dApp และมูลค่ารวมใน DeFi ที่น้อยเมื่อเทียบกับ Ethereum หรือ BNB Chain ความล่าช้านี้อาจทำให้นักพัฒนาหรือผู้ใช้ไม่อดทนรอและเลือกแพลตฟอร์มอื่นแทน
การแข่งขันสูง: ตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะมีหลายรายที่แย่งชิงส่วนแบ่ง ทั้ง Ethereum, BNB Chain, Solana, Polygon เป็นต้น Cardano ต้องแข่งขันทั้งด้านเทคโนโลยีและการดึงดูดนักพัฒนา หากไม่สามารถสร้างระบบนิเวศที่มีแอปพลิเคชันเด่นๆ และผู้ใช้จำนวนมากได้เร็วพอ ก็อาจเสียโอกาสในการเติบโตของราคา
ถูกจับตามองด้านกฎระเบียบ: ในปี 2023 สำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐ (SEC) ได้ระบุชื่อ ADA ว่าอาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ในการยื่นฟ้องบางกรณี ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มซื้อขายในสหรัฐฯ บางแห่งเพิกถอน ADA หรือทำให้การลงทุนใน ADA มีข้อจำกัดมากขึ้น แม้ทีมพัฒนา Cardano จะอยู่ต่างประเทศและมุ่งเน้นตลาดอื่น แต่ความไม่แน่นอนด้านกฎหมายในตลาดสหรัฐฯ ก็สร้างแรงกดดันต่อราคาและภาพลักษณ์ของโปรเจกต์
ความเสี่ยงในการใช้งานจริง: แม้เทคโนโลยีของ Cardano จะถูกวิจัยมาอย่างดี แต่การนำมาใช้จริงในวงกว้างยังเป็นสิ่งที่ต้องทดสอบต่อไป ตัวอย่างเช่น โพรโตคอล Hydra ที่เพิ่งเปิดใช้อาจต้องอาศัยเวลาในการดึงดูดแอปมาใช้จริง หากฟีเจอร์ที่พัฒนามาไม่
สามารถสร้างการยอมรับหรือแก้ปัญหาได้อย่างที่คาดหวัง (เช่น ดึงนักพัฒนามาได้ไม่มาก, ผู้ใช้ยังไม่ตามมา) ก็จะเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของ Cardano เอง นอกจากนี้ Cardano ยังเคยประสบปัญหาด้านเทคนิคเล็กน้อย (เช่น เหตุโหนดบางส่วนรีสตาร์ทเองช่วงต้นปี 2023) ซึ่งแม้แก้ไขได้เร็วแต่ก็เตือนให้เห็นว่าปัญหาทางเทคนิคสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
Solana (SOL)
นโยบายล่าสุด
Solana มีลักษณะการดำเนินโครงการที่แตกต่างโดยไม่มี “นโยบาย” หรือการกำกับดูแลบนเชนที่ชัดเจนเท่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ เนื่องจากยังคงใช้การพัฒนาผ่านองค์กร (Solana Labs และ Solana Foundation)
เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์ความผันผวนในปี 2022 (เช่น การล่มสลายของ FTX ที่เคยเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ของ Solana) ทีมงานได้มุ่งเน้น นโยบายการปรับปรุงความเสถียรและกระจายศูนย์ ของเครือข่ายมากขึ้น ในปีล่าสุดมีการสนับสนุนให้มีไคลเอนต์ตรวจสอบความถูกต้อง (Validator Client) ทางเลือก เช่น โครงการ Firedancer ที่พัฒนาโดย Jump Crypto
เพื่อให้มีซอฟต์แวร์รันเครือข่ายหลายชุด ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์ของ Solana Labs เพียงเจ้าเดียว ถือเป็นการสร้างความหลากหลายและเพิ่มความมั่นคงให้เครือข่าย (หากตัวหนึ่งล้ม อีกตัวหนึ่งยังทำงานได้) นอกจากนี้ Solana ยังดำเนินนโยบายสร้างระบบนิเวศให้หลากหลาย เช่น สนับสนุนภาคเกมและโทรศัพท์มือถือ (ผ่านโปรเจกต์ Saga phone) เพื่อเพิ่มฐานผู้ใช้ใหม่ๆ เข้าสู่เครือข่าย
เทคโนโลยีล่าสุด
Solana เป็นที่รู้จักจากเทคโนโลยี Proof of History (PoH) และกลไก Tower BFT ที่ทำให้การยืนยันธุรกรรมรวดเร็วมาก ล่าสุด Solana ได้พัฒนาระบบให้รองรับปริมาณงานได้ดีขึ้นและลดปัญหาเครือข่ายหยุดชะงักที่เคยเกิดขึ้นบ่อยในช่วงแรกๆ มีการอัปเกรดซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องในปี 2023 เพื่อลดบั๊กและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่วยความจำของโหนด ทำให้เครือข่ายเสถียรขึ้นมาก นอกจากนี้ Solana ยังเปิดตัว Solana Saga ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ Web3 โดยตรง
ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันบนบล็อกเชนได้ง่ายผ่านมือถือ ถือเป็นนวัตกรรมเชิงฮาร์ดแวร์ที่แพลตฟอร์มอื่นยังไม่มี ในส่วนของประสิทธิภาพ Firedancer (ไคลเอนต์ validator ทางเลือก) ได้ทดสอบว่าสามารถประมวลผลธุรกรรมได้สูงถึงหลัก 600,000 TPS ในสภาพแวดล้อมทดลอง ซึ่งบ่งชี้ว่าอนาคต Solana
จะสามารถรองรับการใช้งานในระดับมวลชนได้สบาย และในปี 2024 เครือข่าย Solana ยังได้รับการพัฒนาให้รองรับการใช้งาน Zero-Knowledge (ZK) ผ่านโครงการเชื่อมต่อกับ Ethereum (เช่น Wormhole) อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้การย้ายสินทรัพย์ข้ามเชนรวดเร็วและปลอดภัย
ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง
2020: Solana เปิดตัว Mainnet Beta เป็นบล็อกเชนความเร็วสูงที่ใช้ Proof of History ผสานกับ PoS สามารถประมวลผลธุรกรรมได้หลายพันรายการต่อวินาที ค่าธรรมเนียมถูกมาก (ไม่กี่บาทต่อธุรกรรม) ดึงดูดโครงการด้าน DeFi และ Web3 เข้ามาเริ่มพัฒนาบนเครือข่าย
2021: ระบบนิเวศ Solana เติบโตแบบก้าวกระโดด มูลค่าล็อกใน DeFi พุ่งทะลุ 9 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี พร้อมกับตลาด NFT ที่คึกคัก (เช่น คอลเลกชัน Degenerate Ape) อย่างไรก็ตาม เครือข่ายเริ่มเจอปัญหาความเสถียร โดยเกิดเหตุ Solana หยุดผลิตบล็อก หลายครั้งในปี 2021 ทำให้ต้องรีสตาร์ทเครือข่ายใหม่ ส่งสัญญาณว่าต้องปรับปรุงในระดับโปรโตคอล
2022: ปีที่ท้าทายของ Solana – แม้มีการอัปเกรดแก้ปัญหาเครือข่ายหลายครั้ง แต่ก็ยังเกิดการหยุดชะงักใหญ่ เช่น เหตุเครือข่ายล่มเกือบ 17 ชั่วโมงช่วงมิถุนายน 2022 ผลจากธุรกรรมสแปม นอกจากนี้การล้มละลายของ FTX และ Alameda Research ในปลายปี 2022 กระทบ Solana อย่างหนัก เพราะสองบริษัทนี้ลงทุนในโปรเจกต์ Solana มาก SOL ราคาดิ่งลงอย่างมาก และโปรเจกต์บางส่วนหยุดชะงัก (เช่น DEX Serum ถูกแยกเป็นชุมชน OpenBook)
2023: Solana ฟื้นตัวได้อย่างน่าประทับใจ มีการอัปเกรดโปรโตคอลหลายส่วนจนเครือข่ายไม่ล่มเลยตลอดครึ่งหลังของปี 2023 นอกจากนี้ แอปดังอย่าง Helium (เครือข่าย IoT) ได้ย้ายมาอยู่บน Solana เพิ่มกรณีการใช้งานใหม่ๆ ให้เครือข่าย Solana.
ทีมพัฒนาเปิดตัว Solana Saga phone และร่วมมือกับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ (เช่น Mastercard ในโครงการเกี่ยวกับสินทรัพย์โทเค็น) อีกทั้ง จำนวน Developer ใหม่ที่เข้าร่วมในระบบ Solana ในปี 2024 สูงที่สุดในวงการ แซงหน้า Ethereum ซึ่งอยู่ในอันดับถัดมา สะท้อนความสนใจของนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มีต่อ Solana
ศักยภาพการเติบโต
ประสิทธิภาพสูง เหมาะกับแอปพลิเคชันขนาดใหญ่: จุดขายหลักของ Solana คือความเร็วและปริมาณธุรกรรมที่รองรับได้สูงมาก (ระดับหลายหมื่น TPS บน mainnet ขณะนี้) และค่าธรรมเนียมที่ถูกมาก สิ่งนี้เอื้อต่อแอปพลิเคชันที่ต้องรองรับผู้ใช้จำนวนมากแบบเรียลไทม์ เช่น เกมออนไลน์, โซเชียลเน็ตเวิร์กบนบล็อกเชน, หรือระบบการเงินที่ต้องการความรวดเร็ว Solana สามารถเป็นแพลตฟอร์มหลักให้บริการเหล่านี้ได้โดยไม่ติดขัด ซึ่งหากมี “แอปดัง” เกิดขึ้นบน Solana จะดึงผู้ใช้จำนวนมหาศาลและสร้างความต้องการในเหรียญ SOL เพิ่มขึ้น
การยอมรับในวงกว้างและการกลับมาของสถาบัน: หลังผ่านวิกฤติปี 2022 Solana เริ่มได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมา เห็นได้จากแพลตฟอร์มซื้อขายอย่าง Robinhood กลับมาเปิดการซื้อขาย SOL และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cboe ยื่นขอจัดตั้งกองทุน ETF ฟิวเจอร์สที่อ้างอิง SOL ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภาคการเงินกระแสหลักมอง Solana
เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ. นอกจากนี้ บริษัทการเงินอย่าง Franklin Templeton ยังใช้บล็อกเชน Solana ในการออกกองทุน tokenized และธนาคาร Societe Generale ของฝรั่งเศสใช้ Solana ในโครงการสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง แสดงให้เห็นว่า Solana ถูกนำไปใช้ในเคสระดับสถาบันแล้ว ซึ่งความเชื่อมั่นและการใช้งานจริงเหล่านี้จะช่วยผลักดันมูลค่าของ Solana ในระยะยาว
ระบบนิเวศนักพัฒนาคึกคัก: Solana มีการจัด Hackathon และโครงการสนับสนุนนักพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนโครงการใหม่ๆ บน Solana เพิ่มขึ้นมาก ที่โดดเด่นคือจำนวน นักพัฒนารายใหม่ ในปี 2024 ที่เข้าร่วม Solana สูงที่สุดในอุตสาหกรรม แซงหน้ากระทั่ง Ethereum การที่มีนักพัฒนาจำนวนมากสร้างแอปพลิเคชันบน Solana หมายถึงโอกาสที่จะมี dApp หรือบริการที่ประสบความสำเร็จสูงเกิดขึ้นบนเครือข่าย ซึ่งจะดึงดูดผู้ใช้และสภาพคล่องเข้ามา และยกระดับความต้องการ SOL ให้สูงขึ้นตาม
การขยายสู่โลกมือถือและ Web2: การเปิดตัวโทรศัพท์ Saga ที่รองรับการใช้งานบล็อกเชนโดยตรง และความร่วมมือกับบริษัท Web2 (เช่น Shopify ที่รองรับการชำระเงินผ่าน Solana Pay) ทำให้ Solana มีสะพานเชื่อมกับผู้ใช้นอกวงการคริปโตมากขึ้น ลดความซับซ้อนในการเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน หาก Solana สามารถเจาะตลาดผู้ใช้ทั่วไปผ่านมือถือหรือบริการที่คุ้นเคยได้ จะเป็นการขยายฐานผู้ถือ SOL อย่างมหาศาลที่ยังไม่มีแพลตฟอร์มไหนทำได้ในระดับนี้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัญหาความเสถียรของเครือข่าย: แม้ว่าสถานการณ์ดีขึ้นมาก แต่ Solana เคยมีประวัติระบบล่มบ่อยในช่วงปี 2021-2022 ล่าสุดต้นปี 2024 ก็ยังเกิดเหตุเครือข่ายหยุดผลิตบล็อกและต้องให้ผู้ตรวจสอบร่วมกันรีสตาร์ทระบบอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้บั่นทอนความน่าเชื่อถือ เมื่อเทียบกับเครือข่ายอย่าง Ethereum ที่แทบไม่เคยล่มเลย Solana ยังต้องพิสูจน์ตนเองในระยะยาวว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร ไม่เช่นนั้นนักลงทุนและโครงการใหญ่ๆ อาจลังเลที่จะใช้งาน
การกระจายอำนาจและความปลอดภัย: การที่จะให้ได้ความเร็วสูง Solana เลือกใช้สเปคเครื่องเซิร์ฟเวอร์สูง ทำให้จำนวนโหนดที่รันเครือข่ายมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับบางเครือข่าย การกระจายอำนาจจึงอาจน้อยกว่า อีกทั้งกลไก Proof of History ยังค่อนข้างใหม่และซับซ้อน ศักยภาพในการรับมือการโจมตียังต้องพิสูจน์ หากมีช่องโหว่หรือการโจมตี 51% เกิดขึ้น ความเชื่อมั่นอาจสูญเสียอย่างรวดเร็ว
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: SOL ถูกกล่าวถึงในคดีความของ SEC ปี 2023 ว่าอาจถือเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน เมื่อหน่วยงานสหรัฐฯ ฟ้อง Binance และ Coinbase มีการระบุชื่อ SOL เป็นหนึ่งในคริปโตที่เข้าข่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ทำให้บางแพลตฟอร์มยุติการซื้อขาย SOL ในสหรัฐฯ ปัจจัยนี้สร้างแรงกดดันราคาพอสมควร และหากกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นในตลาดตะวันตก Solana อาจถูกจำกัดการเติบโตในภูมิภาคนั้น
การพึ่งพาบุคคลและองค์กรเดี่ยว: ระบบนิเวศ Solana แม้จะเปิดกว้าง แต่ก็มีบุคคลและองค์ประกอบหลักที่มีอิทธิพล เช่น Solana Labs หรือผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Anatoly Yakovenko หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับบุคคลเหล่านี้หรือองค์กรสนับสนุนหลัก (เช่น ปัญหาทางการเงิน) อาจกระทบต่อการพัฒนาและความเชื่อมั่นต่อ Solana เนื่องจากไม่มีระบบการกำกับดูแลแบบ on-chain ที่ชุมชนสามารถรับช่วงต่อได้ทันที
Polkadot (DOT)
นโยบายล่าสุด
Polkadot มีความเคลื่อนไหวด้าน การกำกับดูแล (Governance) ที่สำคัญเมื่อปี 2023 โดยได้ปรับใช้ระบบ OpenGov ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างการบริหารเครือข่ายครั้งใหญ่ ยกเลิกการมีคณะกรรมการ (Council) และคณะกรรมการเทคนิคชุดเล็กๆ ที่เคยมีอำนาจพิเศษในการอนุมัติข้อเสนอบางอย่าง แล้วแทนที่ด้วยระบบประชาธิปไตยบนเชน 100% ที่ให้ผู้ถือ DOT ทุก
คนสามารถเสนอและโหวตได้อย่างเท่าเทียม. การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Polkadot เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่กระจายอำนาจด้านการตัดสินใจมากที่สุด โปรเจกต์ทั้งหมดจะถูกกำหนดทิศทางโดยการโหวตของชุมชน ซึ่งมีหลายช่องทาง (referenda tracks) รองรับหัวข้อต่างๆ เช่น ด้านเทคนิค, ทรัพย์สินส่วนกลาง, หรือการอัปเกรดเครือข่าย
สำหรับนโยบายทางเศรษฐกิจ Polkadot ยังคงมีการ ปล่อยเหรียญ DOT ใหม่เพื่อเป็นรางวัล Staking อย่างสม่ำเสมอ (อัตราเงินเฟ้อประมาณ 7-8% ต่อปี) แต่ก็มีการใช้ DOT ในการประมูล parachain และล็อกค้ำประกัน ทำให้อุปทานหมุนเวียนส่วนหนึ่งถูกดึงออกจากตลาดเป็นระยะ
เทคโนโลยีล่าสุด
Polkadot โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม Multichain (Relay Chain + Parachains) และในปีที่ผ่านมาก็ได้เสริมความสามารถเทคนิคหลายด้าน ล่าสุดมีการพัฒนา Cross-Chain Messaging (XCM) เวอร์ชัน 3 ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลและสินทรัพย์ระหว่าง Parachain รวมถึงระหว่าง Polkadot กับเครือข่ายภายนอก (เช่น Ethereum) ทำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้น ระบบ XCM ใหม่นี้เปิดประตูให้ Polkadot เชื่อมต่อกับโลกภายนอก
อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ Polkadot ยังทดลอง เทคนิคเพิ่มความเร็วการประมวลผลที่เรียกว่า Asynchronous Backing ซึ่งจากผลทดสอบล่าสุดสามารถทำให้เครือข่ายรองรับธุรกรรมได้มากกว่า 128,000 TPS เลยทีเดียว (ตัวเลขระดับนี้เทียบเท่าหรือสูงกว่าเครือข่ายความเร็วสูงอย่าง Solana)
โดยคาดว่าแนวคิดนี้จะถูกนำมาใช้กับการประมวลผล Parachain ในอนาคต ส่งผลให้ทุก Parachain ได้รับประโยชน์เรื่องความเร็วไปด้วย เทคโนโลยีอื่นๆ ที่เพิ่งเปิดตัวรวมถึง รูปแบบ Parathread ที่ให้โปรเจกต์เข้าร่วมเป็น parachain แบบชั่วคราวโดยไม่ต้องชนะการประมูลระยะยาว ลดอุปสรรคในการเข้าร่วมเครือข่าย และเครื่องมือ Substrate Marketplace ที่ช่วยให้นักพัฒนาหาวัสดุ (โมดูล) มาสร้างบล็อกเชนใหม่บน Polkadot ได้ง่ายขึ้น
ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง
2020: เปิดตัวเครือข่าย Polkadot mainnet พร้อมกลไก Nominated Proof of Stake (NPoS) ที่ให้ผู้ถือ DOT สามารถวางเดิมพันโหวตเลือกผู้ตรวจสอบ (Validators) เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยเครือข่าย Polkadot เริ่มแรกยังไม่มี Parachain ใดทำงาน แต่ได้วางรากฐานโครงสร้าง Multichain ไว้
2021: เปิดประมูลช่อง Parachain ครั้งแรกบน Kusama (เครือข่ายทดสอบเชิงเศรษฐศาสตร์) กลางปี 2021 และต่อมาที่ Polkadot ช่วงปลายปี โครงการต่างๆ แข่งขันกันล็อกเหรียญ DOT จำนวนมากเพื่อชนะสล็อต Parachain ส่งผลให้ DOT ส่วนใหญ่ถูกล็อกออกจากระบบช่วงหนึ่ง ปลายปี 2021 Parachain ชุดแรก (5 โปรเจกต์) ได้เปิดใช้งานบน Polkadot อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเริ่มต้นยุค Multichain ที่เครือข่ายต่างๆ ทำงานขนานกันบน Polkadot
2022: จำนวน Parachain บน Polkadot เพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบเครือข่าย ครอบคลุมหลากหลายการใช้งาน เช่น DeFi (Acala, Moonbeam), Web3 และ IoT (Robonomics), เกม (Efinity) ฯลฯ มีการเปิดตัว XCM (Cross-Consensus Messaging) เวอร์ชันแรก ทำให้ Parachain ต่างๆ สามารถโอนสินทรัพย์และสื่อสารข้ามกันได้โดยตรง ถือเป็นหนึ่งในระบบ interoperability ที่ล้ำหน้าที่สุด ณ ขณะนั้น ด้านนโยบายการกำกับ Polkadot ได้เริ่มหารือแนวคิด OpenGov บน Kusama และปรับปรุงตามฟีดแบ็กเพื่อเตรียมนำมาใช้บน Polkadot
2023: ระบบ OpenGov ถูกนำมาใช้จริงบน Polkadot (มิถุนายน 2023) ยกเลิกโครงสร้างการโหวตแบบเดิมที่มีสภา ปัจจุบันทุกข้อเสนอขึ้นอยู่กับคะแนนโหวตจากผู้ถือ DOT ทั้งหมดและระบบการตัดสินใจแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ Polkadot ยังพัฒนาประสิทธิภาพเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง มีการทดสอบ Asynchronous Backing ที่เพิ่ม TPS ได้เป็นหลักแสน และวางโรดแมปสำหรับ parachain ต่อเชนภายนอก เช่น การเชื่อมต่อกับเครือข่าย Ethereum และ Bitcoin ผ่านบริดจ์ที่ปลอดภัย
ศักยภาพการเติบโต
แนวคิด Multichain ที่ตอบโจทย์อนาคต Web3: Polkadot เป็นผู้นำแนวคิดการรวมเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกันอย่างปลอดภัย ความสามารถในการให้บล็อกเชนหลายสายรันควบคู่และสื่อสารถึงกันได้บนโครงสร้างรวมศูนย์กลาง (Relay Chain) เป็นสิ่งที่โดดเด่นและหาไม่ได้ในแพลตฟอร์มอื่น หากอนาคตของ Web3 เป็นโลกที่ต้องการ interoperability สูง (เช่น แอปพลิเคชันหนึ่งต้องใช้ประโยชน์จากหลายบล็อกเชน) Polkadot ก็อยู่ในจุดที่พร้อมรองรับเทรนด์นี้มากที่สุด
การเติบโตของระบบนิเวศ Parachain: เมื่อมี Parachain จำนวนมากขึ้น และแต่ละ Parachain นำผู้ใช้หรือนักพัฒนาของตัวเองเข้ามา ก็จะเกิดเครือข่ายเอฟเฟกต์แบบรวม (Network effect) บน Polkadot ทุก Parachain สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานร่วม (เช่น ความปลอดภัย, การส่งข้อความ) และแลกเปลี่ยนผู้ใช้หรือสินทรัพย์กันได้ง่าย สิ่งนี้จะสร้างมูลค่าให้ DOT ในฐานะตัวกลางของระบบ ถ้าเครือข่ายย่อยแต่ละแห่งประสบความสำเร็จ Polkadot ในภาพรวมก็จะเติบโตมหาศาล
เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่แข็งแกร่ง: Polkadot มีเฟรมเวิร์ก Substrate ที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างบล็อกเชนใหม่ได้สะดวก ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ และยังได้ความปลอดภัยจาก Polkadot โดยการเป็น Parachain เครื่องมือนี้ดึงดูดสตาร์ทอัพและโครงการต่างๆ ให้มาสร้างบล็อกเชนเฉพาะทางบน Polkadot แทนที่จะเป็นสัญญาอัจฉริยะบนแพลตฟอร์มอื่น (เพราะสามารถปรับแต่งระดับบล็อกเชนได้เลย) แนวโน้มนี้หมายความว่ายิ่งมีคนใช้ Substrate สร้างเชนมาก Polkadot ก็จะมีเครือข่ายย่อยเพิ่มและเพิ่ม Demand ในการเชื่อมต่อเข้าสู่ Relay Chain
ชุมชนและการสนับสนุนระยะยาว: Polkadot ก่อตั้งโดย Gavin Wood ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ทำให้ได้รับความสนใจจากชุมชนนักพัฒนาแต่แรกเริ่ม ปัจจุบัน Web3 Foundation และ Parity Technologies ยังคงสนับสนุน Polkadot อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเงินทุน
และการพัฒนาโปรโตคอลขั้นพื้นฐาน อีกทั้ง Polkadot พยายามดำเนินการด้านกฎหมายเพื่อจัดประเภท DOT เป็นซอฟต์แวร์ (ไม่ใช่หลักทรัพย์) มาตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้ DOT ไม่ถูกกล่าวถึงในคดีความของ SEC ปี 2023 ที่พาดพิงเหรียญอื่นหลายตัว การสนับสนุนเชิงโครงสร้างและความชัดเจนทางกฎหมายในระยะยาวเหล่านี้เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้ Polkadot สามารถเติบโตได้มั่นคง
ปัจจัยเสี่ยง
ความซับซ้อนและการเข้าถึงยาก: สถาปัตยกรรมของ Polkadot มีความซับซ้อนสูง ทั้งแนวคิด Relay Chain/Parachain, การประมูลสล็อต, ระบบ XCM ซึ่งอาจไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้หรือนักพัฒนาหน้าใหม่เท่ากับแพลตฟอร์มที่เน้นความเรียบง่ายอย่าง Ethereum หรือ Solana โครงการบางส่วนอาจเลือกเปิดตัวบนเชนที่ตั้งค่าและเข้าถึงง่ายกว่า (เช่น สร้างโทเค็นบน Ethereum หรือใช้เชนคู่แข่ง) แทนการมาชิงสล็อต Parachain ที่ยุ่งยาก นี่อาจจำกัดการเติบโตของจำนวนโครงการบน Polkadot หากกระบวนการยังยุ่งยาก
การใช้งานจริงยังน้อยในบางมิติ: แม้จะมี Parachain จำนวนมาก แต่วัดในแง่ผู้ใช้ปลายทาง (End users) Polkadot และเครือข่ายย่อยยังมีส่วนแบ่งไม่มากในตลาด DeFi หรือ NFT เมื่อเทียบกับ Ethereum หรือเครือข่ายเดี่ยวอื่นๆ มูลค่ารวมที่ล็อก (TVL) บน Parachain สำคัญๆ ยังค่อนข้างต่ำ การที่แพลตฟอร์มมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากไม่ได้การันตีว่าจะมีผู้ใช้มาก หากไม่สามารถดึงดูดแอปฯหรือบริการที่คนทั่วไปอยากใช้ ก็อาจทำให้ราคา DOT ไม่เติบโตดังที่หวัง
การแข่งขันด้านการเชื่อมต่อบล็อกเชน: แม้ Polkadot จะมีแนวคิดโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ผู้เล่นเดียวในเรื่อง interoperability เช่น Cosmos (ATOM) ที่ใช้แนวคิดต่างออกไป (IBC protocol) หรือโซลูชันอย่าง Ethereum Layer-0, Avalanche subnets, และการพัฒนา Layer-2 แบบใหม่ๆ ล้วนเสนอวิธีเชื่อมต่อหรือขยายบล็อกเชนเช่นกัน หากแนวทางของคู่แข่งได้รับความนิยมมากกว่า Polkadot อาจถูกลดความสำคัญลงในสายตานักพัฒนา และส่งผลต่อมูลค่าเหรียญ DOT
ความเสี่ยงทางเทคนิคและความปลอดภัย: การที่ Polkadot รวมหลายเชนเข้าด้วยกันก็มีความท้าทาย หากเกิดจุดบกพร่องใน Relay Chain หรือ XCM อาจลามส่งผลกระทบต่อ Parachain ทั้งหมด (single point of failure) แม้ระบบจะถูกทดสอบอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีอะไรการันตีว่าจะไม่มีบั๊กขนาดใหญ่ นอกจากนี้ หาก Parachain ใดมีปัญหา (เช่น โดนแฮ็ก) ก็อาจกระทบความเชื่อมั่นของระบบ Polkadot โดยรวมได้เช่นกัน
แรงกดดันด้านตลาดและเศรษฐศาสตร์เหรียญ: ราคาของ DOT ในช่วงปี 2022-2023 ไม่สดใสนักเมื่อเทียบกับคู่แข่ง บางส่วนมองว่าอุปสงค์ต่อ DOT ถูกจำกัด เพราะการถือ DOT ส่วนใหญ่เพื่อ Staking และประมูล Parachain ซึ่งไม่ได้สร้างผลตอบแทนระยะสั้นมากนัก นักลงทุนอาจไม่ค่อยเก็งกำไร DOT เมื่อเทียบกับเหรียญแพลตฟอร์มอื่น นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อ ~7% ต่อปี หมายถึงมีเหรียญใหม่เพิ่มมาตลอด หากความต้องการไม่เติบโตตาม ก็เป็นแรงกดดันด้านราคาที่ต้องพิจารณา
BNB Chain (BNB)
นโยบายล่าสุด
BNB Chain (เดิมชื่อ Binance Smart Chain และ Binance Chain) มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับบริษัท Binance นโยบายล่าสุดของโปรเจกต์นี้จึงมักสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ Binance เอง หนึ่งในนโยบายสำคัญคือ การเผาเหรียญ BNB เป็นประจำ โดยใช้กลไก Auto-Burn ที่กำหนดปริมาณเผาตามปริมาณการซื้อขายและราคา BNB ในตลาด เป้าหมายเพื่อดึงเหรียญออกจากระบบจนเหลืออุปทานสูงสุด 100 ล้าน BNB (จาก 200 ล้านแรกเริ่ม) ซึ่งจะสร้างความขาดแคลนและสนับสนุนราคาในระยะยาว
นโยบายนี้ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องรายไตรมาส นอกจากนี้ BNB Chain พยายาม เพิ่มการกระจายอำนาจ ของผู้ตรวจสอบเครือข่ายมากขึ้น เดิมที BNB Smart Chain มีผู้ตรวจสอบหลักเพียง 21 ราย (เลือกโดย Binance) แต่มีแผนจะขยายจำนวนและเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมยิ่งขึ้น เพื่อลดข้อครหาว่า Binance ควบคุมเครือข่ายอย่างเบ็ดเสร็จ
แม้การกำกับดูแลบนเชน (on-chain governance) ของ BNB Chain จะยังไม่ชัดเจนและส่วนใหญ่ตัดสินใจผ่านทีมพัฒนา แต่ก็มีสัญญาณของความพยายามให้ชุมชนออกเสียงมากขึ้น เช่น การเปิดให้โหวตปรับปรุงพารามิเตอร์หรือโปรเจกต์ที่ขอใช้กองทุนร่วม
เทคโนโลยีล่าสุด
BNB Chain มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับผู้ใช้จำนวนมหาศาลที่ไหลมาจากแพลตฟอร์ม Binance ล่าสุดในปี 2023 ได้เปิดตัว opBNB ซึ่งเป็นเครือข่ายเลเยอร์ 2 แบบ Optimistic Rollup บนฐานของ BNB
Smart Chain โดย opBNB ใช้เทคโนโลยี OP Stack (เช่นเดียวกับ Optimism) ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้สูงถึง ~4,000 TPS ในช่วงทดสอบ และมีค่าธรรมเนียมต่ำเพียง ~0.005 ดอลลาร์ต่อธุรกรรม ซึ่งพร้อมเปิดใช้งานบน mainnet แล้ว. การเพิ่มเลเยอร์ 2 นี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของ BNB Chain หลัก และมอบประสบการณ์ที่รวดเร็วราคาถูกแก่ผู้ใช้มากขึ้น นอกจากนั้น
Binance ยังเปิดตัว BNB Greenfield ซึ่งเป็นเครือข่ายสำหรับเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Storage) ที่ผสานเข้ากับ BNB Chain โดยผู้ใช้สามารถเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้บนเครือข่ายนี้ และใช้โทเคน BNB ในการดำเนินการ เช่น การชำระค่าพื้นที่เก็บข้อมูล BNB Greenfield ถือเป็นการขยายขอบเขตของ
BNB Chain จากเดิมที่รองรับเฉพาะธุรกรรมการเงิน ไปสู่การเก็บข้อมูลและเนื้อหา สร้างระบบนิเวศ Web3 ที่กว้างขึ้น. ด้านเทคนิคอื่น ๆ BNB Chain มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ BNB Smart Chain อย่างต่อเนื่อง เช่น อัปเกรดโปรโตคอลฉันทามติเป็น BEP-126 เพื่อให้ finality เร็วขึ้น ลดเวลาบล็อกและเพิ่มความเร็วธุรกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ BNB Chain สามารถรองรับผู้ใช้ DeFi และเกมจำนวนมากพร้อมๆ กันได้ดียิ่งขึ้น
ประวัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยีย้อนหลัง
2017: Binance เปิดตัวเหรียญ BNB เป็นโทเค็น ERC-20 บน Ethereum เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมการเทรดบนเว็บเทรด Binance โดยมีแผนเผาเหรียญเป็นระยะจากกำไรของบริษัท
2019: เปิดตัว Binance Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนของตนเองที่ใช้กลไกคล้าย BFT (ชุดย่อยของ PoS) โดยมี DEX (Binance DEX) ทำงานอยู่บนเชนนี้ และมีการย้าย BNB จาก Ethereum มาอยู่บน Binance Chain เป็นหลัก
2020: เปิดตัว Binance Smart Chain (BSC) ซึ่งรันควบคู่กับ Binance Chain แต่เพิ่มความสามารถ Smart Contract (รองรับ EVM) เพื่อตอบโจทย์กระแส DeFi ที่เติบโตอย่างมาก BSC ใช้กลไกฉันทามติ Proof of Staked Authority (PoSA) มีผู้ตรวจสอบ 21 ราย ทำให้ได้ความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำกว่า Ethereum มาก ส่งผลให้โครงการ DeFi และเกมต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาสร้างบน BSC จำนวนมากในช่วงปี 2021
2021: BSC ประสบความสำเร็จสูงสุด มีปริมาณธุรกรรมต่อวันสูงถึงหลายล้านรายการ แซงหน้า Ethereum อย่างมาก (ช่วงพีคมีธุรกรรมรายวันสูงกว่า Ethereum หลายเท่า) เนื่องจากผู้ใช้รายย่อยหันมาใช้แพลตฟอร์มที่ค่าธรรมเนียมถูก แม้จะแลกกับการกระจายอำนาจที่น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม BSC ก็เผชิญปัญหาเรื่องโปรเจกต์หลอกลวง (rug pull, scam) ที่เกิดขึ้นง่ายบนแพลตฟอร์ม เนื่องจากใครก็สามารถสร้างโทเค็นและเพิ่มสภาพคล่องได้ อัตราการเติบโตของ BNB ทำให้ Binance ตัดสินใจแยกแบรนด์เครือข่ายออกมา
2022: รีแบรนด์ Binance Smart Chain และ Binance Chain รวมกันเป็น BNB Chain (โดย “BNB” ย่อมาจาก Build and Build) เพื่อสื่อสารว่าเครือข่ายนี้จะเติบโตเกินกว่าแค่ของ Binance และเปิดรับการพัฒนาโดยชุมชนมากขึ้น ในปีนี้มีการเปลี่ยนมาใช้ระบบ
Auto-Burn สำหรับการเผา BNB โดยไม่ขึ้นกับกำไรบริษัท แต่คำนวณตามราคากับอุปทาน (เผา ~1.8 ล้าน BNB ในไตรมาส 4/2022) ด้านความปลอดภัย BNB Chain เผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อบริดจ์ระหว่าง Beacon Chain กับ BSC (Token Hub) ถูกแฮ็ก สูญเสียสินทรัพย์ไปราว $570 ล้าน แม้กู้คืนมาได้บางส่วน แต่ก็ชี้ให้เห็นจุดอ่อนในโครงสร้าง ทำให้ทีมต้องเสริมความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น
2023: เดินหน้าขยายความสามารถของ BNB Chain ทั้งเปิดตัวโครงสร้างเลเยอร์ 2 (opBNB) และเครือข่ายจัดเก็บข้อมูล (BNB Greenfield) ที่กล่าวไปข้างต้น Binance และ BNB Chain ต้องเผชิญแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ โดยเฉพาะ SEC สหรัฐฯ ที่ฟ้องร้อง Binance และระบุว่า BNB เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน ส่งผลให้ภาพรวมวงการต้องจับตาการดำเนินการของ BNB Chain อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ศักยภาพการเติบโต
ฐานผู้ใช้มหาศาลจาก Binance: จุดแข็งที่สุดของ BNB คือเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ Binance ซึ่งมีผู้ใช้หลายสิบล้านคนทั่วโลก ผู้ใช้เหล่านี้มีแรงจูงใจถือ BNB เพื่อรับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ บนเว็บเทรด อีกทั้ง Binance ยังใช้ BNB เป็นโทเค็นกลางในหลายบริการ (Launchpad, Binance Pay, ฯลฯ) ทำให้ Demand พื้นฐานของ BNB สูงและต่อเนื่อง การที่มีผู้ใช้ในมือจำนวนมากทำให้ทุกครั้งที่ BNB Chain เปิดตัวบริการหรือฟีเจอร์ใหม่ สามารถดึงผู้ใช้จาก Binance มาลองใช้ได้ทันที ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่แพลตฟอร์มอื่นไม่มี
แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อย: BNB Smart Chain มีค่าธรรมเนียมต่ำและใช้งานง่าย (เพราะคล้าย Ethereum) จึงกลายเป็น “แหล่งทดลอง” สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักพัฒนาในการสร้างโปรเจกต์ใหม่ๆ ตั้งแต่เหรียญมีม ไปจนถึงเกมและ DeFi แปลกใหม่ ความคึกคักนี้ทำให้มีปริมาณธุรกรรมสูงต่อเนื่อง และเมื่อเกิดโปรเจกต์ฮิต (เช่น เกม Play-to-Earn ช่วงปี 2021) ก็ยิ่งดึงดูดให้คนต้องซื้อ BNB มาใช้ในเครือข่าย ส่งผลดีต่อราคา BNB
การขยายตัวของระบบนิเวศ: ด้วยการเพิ่มเลเยอร์ 2 (opBNB) BNB Chain สามารถรองรับผู้ใช้เพิ่มอีกหลายเท่าตัวโดยไม่ติดปัญหาความแออัด ซึ่งเปิดโอกาสให้แอปพลิเคชันใหญ่ๆ (ที่อาจต้องประมวลผลมาก) สามารถมาลงได้โดยไม่กังวล นอกจากนี้ BNB Greenfield ยังเพิ่ม use-case ให้ BNB นอกเหนือจากการเป็นแค่แก๊สของธุรกรรมทางการเงิน แต่ยังเป็นโทเค็นสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูล หากบริการนี้ติดตลาด (เช่น มี dApp เก็บข้อมูลหรือแชร์ไฟล์ยอดนิยม) ก็จะเพิ่มความต้องการใช้ BNB และขยายฐานผู้ใช้ออกไปสู่นอกวงการการเงินมากขึ้น
กลยุทธ์กระจายศูนย์และความร่วมมือในอุตสาหกรรม: Binance รับรู้ถึงข้อครหาว่า BNB Chain รวมศูนย์เกินไป จึงมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ชุมชนเป็นผู้สร้าง (Build) และมีส่วนร่วมมากขึ้น หาก Binance สามารถดึงพันธมิตรในอุตสาหกรรมมาร่วมรันโหนด
หรือให้โครงการภายนอกมาถือหุ้นในเครือข่าย BNB Chain ได้ จะเพิ่มความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อมูลค่า BNB (เพราะลดความกังวลเรื่อง “ความเสี่ยงของบริษัทเดียว”) นอกจากนี้การที่ Binance มีบริการหลากหลาย เช่น บัตรเดบิตคริปโต, การชำระเงิน, และอื่นๆ การผนึก BNB เข้าในบริการเหล่านี้ (เช่น ใช้ BNB จ่ายเงินร้านค้า) สามารถเพิ่มการใช้งานในชีวิตประจำวันและทำให้ BNB มีมูลค่าจริงจังมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยง
การกระจุกตัวและความเป็นศูนย์กลาง: แม้จะพยายามกระจาย แต่ความจริงคือ Binance และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีอิทธิพลสูงมากต่อ BNB Chain โหนดยืนยันส่วนใหญ่ดำเนินการโดยพาร์ทเนอร์หรือกลุ่มที่ Binance เลือก ความเสี่ยงคือหากเกิดปัญหาที่ Binance บริษัท (เช่น ทางการสั่งปิด, ขาดสภาพคล่อง) เครือข่าย BNB Chain อาจหยุดชะงักเพราะขาดการประคับประคองจากผู้ดูแลหลัก ต่างจากเครือข่ายอย่าง Ethereum ที่ดำเนินต่อได้แม้ไม่มีองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
แรงกดดันด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ: ปี 2023 Binance ถูกหน่วยงานสหรัฐฯ (SEC) ฟ้องร้อง โดยระบุว่า BNB เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนและ
Binance ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ในการออกเหรียญนี้.
กรณีดังกล่าวทำให้ตลาดสหรัฐฯ มอง BNB เป็นเหรียญความเสี่ยงสูง หลายแพลตฟอร์มหยุดให้บริการ BNB กับลูกค้าในสหรัฐฯ หากการต่อสู้ทางกฎหมายลงเอยไม่ดี หรือขยายไปยังประเทศอื่น ราคาของ BNB จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้ Binance USD (BUSD) ซึ่งเคยเป็น Stablecoin หลักในระบบนิเวศก็ถูกสั่งระงับการออกใหม่ ส่งผลให้ขาดคู่เงินสำคัญใน BNB Chain
การแข่งขันจากเครือข่ายทางเลือก: การมาของ Ethereum Layer 2 หลายเจ้าที่ทั้งเร็วและกระจายอำนาจกว่า อาจเบียดบังความนิยมของ BNB Chain ในกลุ่มผู้ใช้และนักพัฒนาได้ หาก Ethereum สามารถลดค่าธรรมเนียมลงมาใกล้เคียงกัน ข้อได้เปรียบของ BNB Chain จะลดลงทันที ขณะเดียวกัน คู่แข่งอย่าง Polygon, Tron หรือเชนใหม่ๆ ก็พยายามดึงกลุ่ม DeFi/เกม ไปอยู่บนแพลตฟอร์มตนเองด้วยเม็ดเงินสนับสนุน ซึ่ง BNB Chain ก็อาจสูญเสียส่วนแบ่งในระยะยาวหากไม่รักษาความน่าสนใจไว้
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: ปัจจุบัน BNB Chain ถือเป็นเป้าหมายที่นักแฮ็กให้ความสนใจสูง เนื่องจากมีมูลค่าล็อกอยู่มากและบางส่วนรวมศูนย์ ง่ายต่อการโจมตีจุดเดียว ย้อนกลับไปตุลาคม 2022 การแฮ็กสะพานข้ามโซ่ BNB Chain ทำให้สูญ BNB มูลค่ากว่าครึ่งพันล้านดอลลาร์ (แม้เครือข่ายจะถูกหยุดไว้ทัน) กรณีเช่นนี้หากเกิดซ้ำจะกระทบความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง ยิ่ง BNB Chain มีการใช้งานกว้างขึ้น ก็ต้องยิ่งระวังการโจมตีทางไซเบอร์และสัญญาอัจฉริยะที่ประสงค์ร้ายในระบบ
ขึ้นกับความสำเร็จของ Binance โดยรวม: BNB เป็นเหมือนหุ้นหรือดัชนีชี้วัดความสำเร็จของระบบนิเวศ Binance หากวันใด Binance เสื่อมความนิยม หรือประสบปัญหาทางธุรกิจ (เช่น ปริมาณเทรดลดลงมาก, คู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาด, หรือกรณีเลวร้ายอย่างการล่มสลาย) มูลค่าและความต้องการใน BNB ก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะผู้ใช้ถือ BNB น้อยลงและย้ายไปใช้แพลตฟอร์มอื่น ความสัมพันธ์แบบพึ่งพานี้ถือเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุน BNB ต้องคอยจับตาภาพรวมของ Binance อยู่เสมอ
สรุป: โปรเจกต์คริปโตแต่ละแห่งมีปัจจัยส่งเสริมและความเสี่ยงเฉพาะตัว โปรเจกต์อย่าง Ethereum มีสถานะผู้นำตลาดและพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสเติบโตตามการยอมรับทั่วโลก ขณะที่ Cardano แม้ชุมชนแข็งแกร่งแต่ต้องเร่งเพิ่มการใช้งานจริงเพื่อผลักดันราคา Solana เร็วแรงและมีชุมชน dev รุ่นใหม่หนุนหลัง
แต่ก็ต้องพิสูจน์ความเสถียร Polkadot นำนวัตกรรม multichain มาเสนอ หากเทรนด์เว็บ3 ต้องการการเชื่อมต่อสูง DOT ก็พร้อมพุ่ง แต่ถ้ายังขาดแอปดึงดูด ผู้ใช้ก็อาจยังน้อย ส่วน BNB Chain อาศัยพลังของ Binance ที่หนุนหลัง หากฝ่าฟันปัญหากฎระเบียบและขยายบริการใหม่ได้ต่อเนื่อง BNB ก็ยังมีโอกาสเติบโต อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรพิจารณาทั้งปัจจัยบวกและลบเหล่านี้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ โดยดูความก้าวหน้าของนโยบายและเทคโนโลยีล่าสุดควบคู่กับการประเมินความเสี่ยงในระยะยาวของแต่ละโปรเจกต์
แหล่งที่มา: รายงานและบทวิเคราะห์ข่าวสารล่าสุดของแต่ละโปรเจกต์ อาทิ CoinDesk, Cointelegraph และเอกสารประกาศจากทีมพัฒนาซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบาย เทคโนโลยี และความเคลื่อนไหวล่าสุดของแต่ละเครือข่าย.
🚀 การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง!
อยากเริ่มลงทุนในเหรียญคริปโตที่มีศักยภาพพุ่งสูงอย่างมั่นใจ?
เปิดบัญชีเทรดกับเราวันนี้ เพื่อเข้าถึงโอกาสก่อนใคร พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย!
🔥 เปิดบัญชีเทรดคริปโต & ทองคำ พร้อมรับรีเบทสูงสุด!
🔹 Exness: เทรดคริปโต & ทองคำ 👉 สมัครเลย
🔹 Binance TH: ซื้อขายคริปโต 👉 สมัครที่นี่
🔹 Bitkub: เทรดคริปโตไทย 👉 สมัครที่นี่
🔥 รีเบท Exness สูงสุดทุกการเทรด!
✅ Standard/Cent: $0.72/lot
✅ Pro/Zero/Raw Spread: $0.5625/lot
📌 วิธีเปิดบัญชี Exness ดูที่นี่ 👉 คลิกเพื่อรับชม
📢 เข้ากลุ่มไลน์ "ตามผมลงทุนคริปโต" รับสัญญาณเทรดก่อนใคร! 👉 เข้ากลุ่มที่นี่ @peachcrypto
📌 ติดตามเราเพื่ออัปเดตข่าวสารการลงทุน
📍 Facebook: ตามผมลงทุนคริปโต
📍 YouTube: ตามผมลงทุนคริปโต
📍 TikTok: @peachtamphomlongthun
#ตามผมลงทุนคริปโต #วิเคราะห์คริปโต #Altcoinน่าลงทุน #ETH #ADA #SOL #DOT #BNB #ลงทุนอย่างมีแผน #DYOR
โฆษณา