เมื่อวาน เวลา 04:10 • ความคิดเห็น

กฎข้อแรกของความสุข

ชาลี มังเกอร์ คู่หูคู่ใจวอร์เรน บัฟเฟต์ และเป็นผู้ที่คอยให้คำแนะนำเรื่องชีวิตกับวอร์เรนมาตลอด เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อนเมื่ออายุได้ 99 ปี
ชาลีเป็นคนที่ฉลาด มีไหวพริบ และมักจะมีคำแนะนำดีๆให้กับทุกคนไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุนที่เขาเก่งกาจ แต่เป็นเรื่องมุมมองของชีวิตที่เขาเองก็ผ่านมรสุมชีวิตมามากมาย ตกผลึกในตัวเอง จนเป็นคนที่มีความสุขมากๆคนหนี่งในวัยเฉียดร้อย
เมื่อก่อนที่เขาจะเสียชีวิตหนึ่งปี มีคนถามเขาว่า ความลับความความสุขนั้นคืออะไรเพราะเขาดูมีความสุข มีความสงบในใจอยู่มากๆ
2
ชาลีตอบว่า “ กฎข้อแรกของความสุขก็คือต้องมีความคาดหวังที่ต่ำ ถ้าใครมีความคาดหวังที่เกินจริง คนๆ นั้นก็จะทุกข์ไปชั่วชีวิต
10
เราควรจะมีความคาดหวังต่อตัวเองที่สมเหตุสมผลแล้วยอมรับผลลัพธ์ของชีวิตเราไม่ว่าจะดีหรือร้ายถามวิถีที่มันเป็น “
3
หนังสือ Same as ever พูดถึงเรื่องนี้โดยตั้งคำถามว่าทำไมโลกเราดีขึ้นในทุกๆทางในรอบร้อยปี ไม่วาจะเป็นสงครามที่น้อยลง ความมั่งคั่งโดยรวมที่เพิ่มขึ้นมาก คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง มนุษย์ก็มีชีวิตที่ยืนยาว แต่ทำไมเราถึงดูจะไม่ได้มีความสุขขึ้นหรือเหมือนความทุกข์จะมากขึ้น
เหตุหลักๆก็เพราะไม่ใช่เฉพาะเรานั้นดีขึ้น แต่แทบทุกคนรอบตัวเราดีขึ้นไปด้วย การเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้เรามีความคาดหวังที่สูงขึ้น ความสุขก็เลยไม่ได้เพิ่มตาม
หนังสือเล่มนี้เขียนว่ามีอะไรที่ไม่เปลี่ยนบ้างแม้โลกจะเปลี่ยนไปอีกมากแค่ไหน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น เมื่อ 275 ปีก่อน Montesquieu ก็เขียนไว้ทำนองเดียวกันว่า ถ้าเราอยากมีความสุขนั้นไม่ยากเลย แต่ถ้าเราอยากมีความสุขกว่าคนอื่น อันนี้สิยากมากเพราะเรามักจะคิดว่าคนอื่นมีความสุขกว่าเราเสมอ...
7
275 ปีก่อนเป็นไง เดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบนั้น อีก 275 ปีก็คงเช่นกัน
ทุกพัฒนาการและความก้าวหน้ามักจะมีดาบสองคมเสมอ โซเชียลมีเดียที่ทำให้เราติดต่อกันได้ในพริบตา ทำให้โลกเชื่อมโยงเข้าหากัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้กันได้อย่างไม่เคยทำกันได้มาก่อน แต่ก็นำมาซึ่งความคาดหวังที่สูงขึ้นอย่างมากจากการที่ได้เห็นชีวิตด้านดีของคนอื่นที่นำมาอวดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอายุน้อยร้อยล้าน คนโน้นก็สวย คนนี้ก็รวยเร็ว คนนั้นก็มีซิกแพค
1
น้องพิ พิริยะ แห่ง Glow story เคยทำแคมเปญโฆษณาชิ้นหนึ่งที่จะได้มีโอกาสไปลองถามน้องๆรุ่นใหม่ว่ามีความทุกข์กับอะไรบ้าง ปรากฏว่าความทุกข์หลักๆของน้องๆรุ่นใหม่นั้นเกิดจากความคาดหวังของสังคมและคนรอบข้างที่จะทำให้เขาต้องพยายามในทุกอย่างจนเหนื่อย น้องพิลองลิสต์แรงกดดันของน้องๆมา อ่านแล้วก็ขำขื่นๆ และเหนื่อยตามน้องๆไปด้วย ในใจคิดว่าเออดีที่เราแก่ละ ไม่ต้องเจออะไรแบบนี้
3
ในลิสต์นั้นประกอบด้วย... น้องๆ รุ่นใหม่นั้นต้องรู้ลึก ต้อง work life balance ต้องทำงานเยอะๆ ไม่งั้นโตไม่ทันคนอื่น ต้องกินคลีน ต้องดูดี ต้องออกกำลังกาย ต้อง cardio ต้องเงินเดือนหลักแสน ต้องมีธุรกิจเสริม ต้องเน็ตเวิร์กกิ้ง ต้องพูดสามภาษา อังกฤษต้อง native ต้องเที่ยวรอบโลก ต้องถ่ายรูปสวย ต้องกระเป๋าแบรนด์เนม ต้องใส่ชุดไม่ซ้ำใคร
1
ต้องโพสต์คอนเท้นท์เท่ๆ ต้องพูดอะไรคมๆ ต้องเขียนโค้ด ต้องทำ start up ต้องฟังพอดแคสต์ ต้องลงทุน ต้องบล็อกเชน ต้องควอนตัม ต้องเอไอ ต้องเมตาเวิร์ส (ต้อง soft power อันนี้ผมเติมเอง) ต้องรอบด้านไปหมด ชีวิตทุกนาทีต้องมีค่า แต่ต้องไม่ดูพยายามเกินไป…
4
เหนื่อยแทนเลยครับ...
ความคาดหวังคือตัวชี้นำความสุขที่ชัดเจนไม่น้อย คนที่ผ่านความทุกข์มากๆเช่นหลายคนที่ผ่านค่ายกักกันนาซีแล้วยังมีชีวิตรอด พอได้เจอชีวิตแค่ปกติธรรมดาก็กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ไม่ยาก แต่คนที่รวยติดอันดับโลกหลายคนกลับไม่มีความสุขเมื่อพยายามจะต้องเอาชนะคนที่รวยกว่า
1
หนังสือบอกว่าเงินนั้นเหมือนยาอารมณ์ ถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะนำมาซึ่งความฟิน แต่ถ้าไม่รู้จักพอก็จะนำมาซึ่งหายนะในชีวิต
2
ในมุมชื่อเสียงก็เช่นกัน วิล สมิธ เคยบอกว่าตอนกำลังจะมีชื่อเสียงนี่มีความสุขมากๆ พอมีแล้วก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่พอขาลง เสื่อมลงนั้นทุกข์มาก เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าตอนที่เรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้นมันสูงกว่าความคาดหวัง ตอนที่ดังมากๆก็ได้เท่ากับความคาดหวัง แต่ตอนขาลงนั้นต่ำกว่าความคาดหวังมาก ไม่ว่าตอนนั้นเราจะรวยแค่ไหนก็ตาม
2
ความคาดหวังนั้นอาจทำให้ดาราดังซึมเศร้า แต่อาจทำให้ครอบครัวชนชั้นกลางมีความสุขมากกว่าดาราดังมากก็ได้ Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือสรุปไว้ว่า คนเรามักจะไม่ให้ค่าเรื่องการการจัดการความคาดหวังเพราะมันตีเป็นตัวเงินไม่ได้ว่ามันมีค่าเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มันจะนำมาซึ่งความสุข คู่แต่งงานที่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรสูงๆต่อกันมักจะเป็นคู่ที่มีความสุขมากๆ การให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการความคาดหวังของตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ
2
โลกเราไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความโลภ (greed) แต่ขับเคลื่อนด้วยความอิจฉา (envy) ชาลี มังเกอร์ ผู้ล่วงลับไปแล้วบอกไว้เช่นกัน
3
ผมเคยถามพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ บนเวทีเมื่อสี่ปีก่อนว่าพี่จิกมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร พี่จิกในวัยห้าสิบปลายๆในตอนนั้นหยุดคิดนิดนึง
เป้าหมายในชีวิตของพี่ ก็คือการลดเป้าหมาย…
2
พี่จิกตอบผมบนเวทีไว้แบบนั้นครับ...
โฆษณา