29 เม.ย. เวลา 10:33 • ประวัติศาสตร์

อะไรคือ ‘การปฏิวัติคู่’ หรือ Dual Revoluton ที่สร้างยุโรปยุคใหม่ขึ้น

ในยุคสมัยของเราในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งในแง่ของเทคโนโลยี การเมือง เศรษฐกิจ สังคมของโลกมากมาย ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ใช้คำว่า ปฏิวัติ ได้เปลืองมาก ชวนให้นึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีต ในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในยุโรป ทำให้มีนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกยุคสมัยนั้นว่า The long 19th century เพราะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเยอะจนดูว่าศตวรรษนั้นยาวนานเป็นพิเศษ
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 มีนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นคนหนึ่งชื่อว่า เอริก ฮอบส์บอว์ม (Eric Hobsbawm) เขาเสนอแนวคิดที่เรียกว่า Dual Revolution หรือว่าการปฏิวัติ 2 อย่างที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นหมอตำแย ทำคลอดยุโรปยุคใหม่หรือ Modern Europe ออกมา
การปฏิวัติทั้ง 2 ก็คือ การปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอุตสาหกรรม
เขามองว่า ยุคสมัยของจักรวรรดินิยมทำหน้าที่เหมือนเป็นสายสะดือที่หล่อเลี้ยงให้ยุโรปเติบโตแล้วคลอดออกมาด้วยการปฏิวัติทั้งสอง
วันนี้ก็เลยอยากจะมาเขียนเล่าสั้นๆว่า "Dual Revolution" ที่ Eric Hobsbawm เสนอเอาไว้ เขาเขียนไว้ว่ายังไงบ้าง
เริ่มจากทำความรู้จักกับฮอบส์บอว์มก่อน เขามีชีวิตอยู่ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 เขาเพิ่งเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 2012 ในยุคสมัยเขาถือว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง แล้วก็มีชื่อเสียงมีอิทธิพลความคิดของนักประวัติศาสตร์ยุคสมัยนั้นค่อนข้างมาก เขาจะเด่นในแง่ของการเป็น Marxist historian หรือนักประวัติศาสตร์สายมาร์กซิสต์ แล้วก็จะเน้นมากงานเขาจะโฟกัสไปที่การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ผ่านกรอบความคิดของมาร์กซ์ โดยเฉพาะเรื่องของทุน ชนชั้น และการเปลี่ยนผ่าน
เขาเขียนหนังสือสำคัญออกมา 4 เล่มด้วยกัน 3 เล่มเป็นเหมือนไตรภาค ได้แก่:
"The Age of Revolution: 1789-1848" (ยุคแห่งการปฏิวัติ: ค.ศ. 1789-1848)
"The Age of Capital: 1848-1875" (ยุคแห่งทุนนิยม: ค.ศ. 1848-1875)
"The Age of Empire: 1875-1914" (ยุคแห่งจักรวรรดินิยม: ค.ศ. 1875-1914)
"The Age of Extremes: The Short Twentieth Century, 1914-1991" (ยุคแห่งความสุดโต่ง ศตวรรษที่ 20 ฉบับย่อ, ค.ศ. 1914-1991)
โดยหนังสือ 3 เล่มแรกของเขามีเนื้อหาเหมือนเป็นไตรภาคที่ครอบคลุมช่วงเวลาที่เรียกว่า Long 19th Century หรือว่าช่วงเวลาที่ยาวนานเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19
แล้วการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนั้น เขาพูดว่า ยุโรปเข้าสู่ modern ได้ เพราะมี หนึ่งสายสะดือ และสองหมอตำแย
เริ่มจากสายสะดือ
ในหนังสือไตรภาคเขาเทียบยุค จักรวรรดินิยม หรือว่าอิมพีเรียลลิซึม (Imperialism) ว่าทำหน้าที่เป็นเหมือนสายสะดือที่เชื่อมและให้อาหารกับยุโรปโดยการดูดกลืนทรัพยากรจากดินแดนอื่นๆ ทำให้ยุโรปสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันก็ขยายอิทธิพลไปสู่ดินแดนต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ยุโรปได้ทรัพยากรมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรมก็ต้องมองหาตลาดที่จะนำสินค้าเหล่านั้นไปขาย ซึ่งก็นำไปขายในประเทศอาณานิคมของตัวเอง
1
นอกจากนี้ ยุโรปก็ร่ำรวยขึ้นจากการใช้แรงงานราคาถูกผ่านระบบทาสหรือการกดขี่ประชาชนของดินแดนอื่นๆ ทำให้ยุโรปเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ทางเศรษฐกิจการเมือง แล้วก็มีผลกระทบที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมต่างๆ วัฒนธรรมและการเมือง ทั้งตัวยุโรปเองและของประเทศอาณานิคม
สำหรับสองหมอตำแยที่ทำคลอดยุโรปออกมา ก็จะมีการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติฝรั่งเศส (ใครสนใจในรายละเอียดผมเคยเล่าเป็นซีรีส์ยาวใน Youtube ไว้แล้วนะครับ ลองไปฟังดูกันได้)
เขามองว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส มีผลใหญ่ๆ อย่างน้อยสองอย่าง หนึ่งคือ การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในฝรั่งเศสเป็นต้นแบบของการล้มล้างอำนาจกษัตริย์และชนชั้นสูงในยุโรป แล้วเอาประชาชนคนธรรมดาขึ้นมาปกครอง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน สองคือ เกิดแนวคิดเกี่ยวกับสังคมแบบใหม่ขึ้นมาทดแทน นั่นก็คือ จุดประกายแนวคิดเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค ประชาธิปไตย รวมไปถึง เรื่องของชาตินิยม ซึ่งก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสคนส่วนน้อยที่จะพูดถึงเรื่องนี้ แต่สังคมปัจจุบัน เราจะชินและคุ้นเคยกับแนวคิดนี้มาก
1
ส่วนการปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือที่เรียกว่าเป็น First industrial revolution เกิดขึ้นในช่วงปลายของศตวรรษที่ 18 เริ่มต้นที่อังกฤษ ตามด้วยเบลเยียม ฝรั่งเศส และยุโรปกลางอื่น ๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อทุก ๆ ด้านของสังคม เพราะอะไร?
2
การปฏิวัติอุตสาหกรรมมันไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาเครื่องจักรมาใช้เป็นแรงงานคนหรือแรงงานสัตว์เหมือนสมัยก่อนเท่านั้น แต่มันทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น แล้วส่งผลกระทบต่อเป็นทอดๆ จนเปลี่ยนทุกอย่าง
อย่างแรกสุดเลย แม้ว่าคนจะมองการทำงานในโรงงานเป็นการทำงานที่หนัก แต่เมื่อเทียบกับสังคมเกษตรสมัยก่อน มันทำให้ชีวิตคนธรรมดาจึงมีเวลาว่างมากขึ้น และเกิดงานอดิเรกเกิดขึ้น ซึ่งนำไปสู่การผลิตหรือทำอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากของที่ทำเล่นๆ ต่อมาก็กลายเป็นอาชีพใหม่ๆขึ้นมา เช่น นักร้อง นักดนตรี นักแสดง สิ่งของเครื่องใช้แปลกๆ ใหม่ๆ  ฯลฯ
อย่างที่สองคือ มีการย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรเข้ามาในเมืองอย่างมหาศาล ทำให้วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป เมืองเปลี่ยนไป จากครอบครัวขยายก็กลายเป็นครอบครัวขนาดเล็ก
อย่างที่สาม ทักษะที่ต้องการในงานใหม่ๆ ต่างไปจากเดิม เช่น คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่สำคัญขึ้นมา งานต้องการให้คนต้องบวกลบคูณหารเป็น เรขาคณิตจากที่เดิมเป็นงานอดิเรกของคนที่มีเวลาว่าง ก็กลายเป็นงานขึ้นมา การเรียนรู้จากพ่อแม่ปู่ย่าตายายแบบสังคมเกษตรไม่เพียงพออีกต่อไป คนต้องไปโรงเรียน ต้องมีระบบการศึกษามารองรับ
1
อย่างที่สี่ วิถีชีวิต ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากสังคมที่ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลามากก็กลายเป็น ตื่นพร้อมกัน เข้างานพร้อมกัน กินพร้อมกัน เลิกงานพร้อมกัน
เรื่องของ การทหารก็เปลี่ยนไป พร้อมๆ กับไอเดียใหม่อย่างชาตินิยม
1
ประเทศที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก็จะมีอาวุธที่ทำลายล้างได้รุนแรงกว่า มีอำนาจมากกว่า กดขี่ประเทศอื่นได้มากกว่า เกิด geopolitics ที่พยายามถ่วงดุลระหว่างอำนาจระหว่างกันที่มากขึ้น
2
พอจะเห็นภาพไหมครับว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีผลกระทบกับยุโรปยังไงบ้าง
ดังนั้นเขาบอกว่าเหตุการณ์ที่เรียกว่า Industrial revolution มันกระทบหมดเลยทั้งเรื่องของวิถีชีวิต ไอเดีย สังคม เรื่องของการเมืองต่าง ๆ เปลี่ยน
อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์แบบนี้ ในเวลาต่อมานักประวัติศาสตร์หลายคนก็โต้แย้งว่า มีจุดอ่อนอยู่หลายจุดด้วยกัน ตัวอย่างเช่น เป็นวิธีการคิดที่โฟกัสไปที่ทางยุโรป หรือที่เรียกว่ายูโรเซ็นทริซึม (Eurocentrism) และแสดงให้เห็นว่า ในหลายวัฒนธรรมก็เปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติ
แต่การวิเคราะห์ของเขา ปัจจุบันก็ถือว่า ช่วยทำให้เราเข้าใจโลกปัจจุบันมากขึ้นว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วเมื่อมองไปในอนาคต นักวิชาการหลายคนก็ใช้กรอบวิธีคิดการประสานแรงของการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างร่วมกัน และคาดการณ์ว่า อนาคตจะเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหน
และประวัติศาสตร์สอนเราว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่เสมอ ยุคของเราก็เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ อาจนำมาซึ่งความไม่มั่นคงและการพลิกผันครั้งใหญ่ แต่ก็เปิดโอกาสให้เราได้สร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม หากเราสามารถเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างฉลาด
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
นอกจากนี้ผมยังมีรายการเล่าวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์อีกรายการใน Youtube ชื่อ Humanศาสตร์ ใน The Standard podcast
โฆษณา