29 เม.ย. เวลา 23:07 • สิ่งแวดล้อม

เมื่อไฟไหม้ป่า น้ำก็มา

สงกรานต์ปีนี้ฝนตกฉ่ำชนิดที่เราล้อเล่นกันว่า เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์ จริงๆ
สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์อยู่นั้น ฝนมักจะตกในช่วงวันสงกรานต์หรือหลังจากนั้นนิดหน่อยเสมอ จนเป็นที่รู้กันในหมู่คนทำไร่นอกเขตชลประทานว่าให้เตรียมหยอดเมล็ดพืชได้เมื่อหลังสงกรานต์ มาปีหลังๆ นี่ต่างหากที่ฝนสงกรานต์ห่างหายไป
ปีนี้กลับมาอีกครั้งด้วยอิทธิพลของปรากฏการณ์ La Nina
 
ฝนสงกรานต์ปีนี้มีเรื่องที่ไม่เคยมีเมื่อครั้งสมัยผมยังหนุ่มฉกรรจ์ นั่นคือมีอุทกภัยขนาดย่อมๆ เกิดขึ้นในจังหวัดเขตภาคเหนือ ที่จังหวัดลำพูนนั้นยังพ่วงมาด้วยเหตุดินโคลนถล่มจนมีผู้เสียชีวิตไปสองคน
ทุกคนชี้นิ้วไปที่การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้และเผาป่าว่าเป็นต้นเหตุ
ซึ่งก็น่าจะถูกในมิติที่ว่าการเผาป่าเป็นต้นเหตุ แต่อาจไม่ใช่เพราะว่าไม่มีป่าช่วยซับน้ำอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน
มันยังมีปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่เราท่านไม่ค่อยรู้จักซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุของอุทกภัยกลางฤดูร้อนทั้งที่ฝนตกไม่มากและดินยังแห้งผากอยู่
ก่อนจะไปถึงเรื่องที่ว่าเผาป่าแล้วเกิดปรากฏการณ์ทำให้มีน้ำป่าไหลหลากได้อย่างไร ขอเล่าก่อนว่ามีป่าแล้วช่วยซับน้ำอย่างไร
ป่าเขตร้อนบ้านเรานั้นจะมีเรือนยอดหลายชั้นไล่เรียงลำดับความสูงกันลงมาตั้งแต่ไม่ยืนต้นสูงลิ่วจนมาถึงไม้เลื้อยตามผิวดิน
เรือนยอดของป่าจะบังแสงแดดไม่ส่องถึงพื้นดินโดยตรง ทำให้เนื้อดินมีอุณหภูมิพอดีกับการดำรงชีพของด้วงแมงเห็ดราไปจนถึงเจ้าตัวเล็กที่เรียกว่าจุลชีพซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
สารตั้งต้นในการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตในดินเหล่านี้คือกิ่งไม้ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงสู่ผิวดินไปจนถึงการกินกันเองตามลำดับชั้นในห่วงโซ่อาหาร
ผลของการมีสิ่งมีชีวิตในดินที่หลากหลายและคับคั่งคือช่วยให้น้ำสามารถซึมลงดินได้ดี และมีอินทรียวัตถุ (สมัยผมยังเด็กเราถูกสอนว่ามันชื่อฮิวมัส) ที่ช่วยซับน้ำและรักษาความร่วนซุยของดินไว้
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกคือ เรือนยอดป่าที่มีหลายชั้นจะช่วยรับน้ำฝนไว้ก่อน เมื่อเต็มความจุของมันแล้วจึงค่อยปล่อยให้หยดลงมาหรือปล่อยไหลลงมาตามลำต้น
มีบ้างที่ไม่ลงมาเลย ระเหยกลับขึ้นไปในอากาศ
ประมาณกันว่ามีน้ำฝนราว 10 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ลงมาถึงดิน
ส่วนที่ตกลงมาถึงดินส่วนใหญ่ก็จะซึมลงดินไป ตัวเลขกลมๆ ที่ใช้กันคือมีน้ำราวๆ 20-25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ไหลออกมาจากป่าในช่วงฤดูฝน ที่เหลือจะอยู่ในดิน หากไม่ค่อยๆ ทะยอยไหลออกมาก็จะซึมลงลึกกลายเป็นน้ำบาดาลให้สูบขึ้นมาได้ใช้กัน
ทีนี้พอเผาป่า เรือนยอดต้นไม้ก็หายไป แทนที่น้ำฝนจะโดนชะลอไว้ชั้นหนึ่งก่อนก็จะตกลงสู่ผิวดินโดยตรง ตกหนักเท่าไรก็ถึงผิวดินเท่านั้น
แล้วดินล่ะ
ปัญหาสำคัญอยู่ตรงนี้ ถ้าน้ำฝนยังซึมลงดินได้ดีเหมือนตอนที่ป่ายังไม่ถูกเผา ในภาวะที่ดินแห้งผากตอนช่วงสงกรานต์ ดินก็จะยังพอซับน้ำได้อยู่ เรื่องที่จะเกิดน้ำป่าไหลหลากเป็นไปได้ยาก
ถ้าทบทวนกันให้ดีการจะเกิดน้ำป่าไหลหลากนั้นฝนต้องตกแช่จนดินฉ่ำน้ำเสียก่อน
แต่ครั้งนี้ฝนทิ้งช่วงไปนานพอดู พอมาครั้งเดียวตกไม่หนักเท่าไรก็มีน้ำป่าไหลหลากเสียแล้ว
ความที่น่าจะเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ น้ำฝนซึมลงดินไม่ทันเพราะมีอะไรไปขวางไม่ให้มันซึมได้ดีเหมือนปรกติ
ศัพท์ทางวิชาการเรียกดินที่มีคุณสมบัติแบบนี้ว่า water repellent soil
ที่มาของมันเกิดจากการที่ไฟไหม้ทำให้เกิดอุณหภูมิที่ผิวดินสูง ซึ่งอุณหภูมิอาจขึ้นไปถึง 700 เซลเซียสได้ในกรณีที่เป็นป่าซึ่งไม่ได้มีไฟไหม้มานาน มีเศษกิ่งไม้ใบไม้สะสมกันกองหนา หรือเป็นการตัดฟันแล้วรวมกองเผาในระบบทำไร่หมุนเวียน
ในช่วงความร้อน 200-300 เซลเซียส สารอินทรีย์ในดิน (ที่ควรจะมีมากเพราะเป็นผลอย่างหนึ่งของการมีป่า) จำพวกยางไม้ ไขมันในพืช และสารประกอบในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน จะระเหิดกลายเป็นไอแล้วโดนความร้อนที่ผิวดินผลักดันให้เคลื่อนที่ลงลึกไปในชั้นดิน
อีทีนี้ดินไม่ใช่อะไรที่นำความร้อนได้ดี ข้างบนร้อนมากก็จริง แต่พอลึกลงไปสักหน่อยไม่ทันถึงครึ่งเมตรก็จะไม่ร้อนเท่าไรแล้ว เจ้าไอระเหยพวกนั้นก็จะควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวจับตัวกับเม็ดดิน พอไฟหยุดดินเย็นลงมากเข้าก็กลายของแข็งเคลือบเม็ดดินและปิดช่องว่างในดินไว้
น้ำซึมผ่านสารพวกนี้ไม่ได้ ดังนั้นดินที่น้ำเคยซึมหายลงไปพรวดๆ ก็จะไม่ค่อยยอมให้น้ำซึมแล้ว
สัดส่วนน้ำฝนที่ไหลหลากก็มากขึ้น เป็นที่มาของอุทกภัยเล็กๆ ที่ไม่มีใครคาดถึง
โดยทั่วไปปรากฏการณ์แบบนี้ในบ้านเราอาจจะทำให้เกิด land slide ขนาดเล็กจิ๋วที่ระนาบซึ่งอยู่ลึกลงไปไม่กี่สิบเซนติเมตร และเกิดในพื้นที่เล็กๆ หลักสิบตารางเมตร มวลดินเคลื่อนตัวได้ไม่ไกล
ใครที่ขับรถในภาคเหนือตอนต้นหน้าฝนอาจเคยสังเกตเห็นร่องรอยดินเคลื่อนตัวแบบนี้ในพื้นที่ข้างทางที่ถูกเผามาบ้าง
อย่างไรก็ตามในต่างประเทศเคยมีรายงานว่า เพราะมีน้ำป่าไหลหลากเซาะตลิ่งที่ติดลาดเขาสูงชัน ทำให้เกิดดินถล่มขนาดใหญ่ พาเอาดินโคลนไหลลงมาสร้างความเสียหายกับชุมชนริมน้ำได้เหมือนกัน
สารที่เคลือบชั้นดินอยู่นั้นกว่าจะสลายตัวก็กินเวลานานอยู่ อย่างเร็วก็ปีหนึ่ง อย่างช้าก็ 5 ปี
ชุมชนไหนที่ต้นน้ำโดนเผาไปแล้วก็เตรียมรับความเสี่ยงเหล่านี้ไว้ด้วยแล้วกัน
ภาวนาขอให้พระคุ้มครองทุกคน
โฆษณา