Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Thai PBS - ไทยพีบีเอส
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
1 พ.ค. เวลา 00:00 • สุขภาพ
มองมุมใหม่ 'ภาวะ Burnout' เมื่อการหมดไฟไปไกลถึงโลกรวน
📌 อ่านฉบับเว็บที่:
www.thaipbs.or.th/now/content/2627
แม้คนทำงานในยุคนี้จะพยายามสร้าง ‘work life balance’ แต่หลายครั้ง ภาระงานอันหนักอึ้งและดูไม่จบสิ้นนั้น ทำให้ชีวิตมีแต่ ‘work ไร้ balance’ จนทำให้เกิดภาวะ ‘Burnout’ แทน
Burnout หมายถึง ภาวะความเหนื่อยล้าทางกาย ใจ และอารมณ์ ซึ่งสามารถเกิดได้หากเราเผชิญกับความเครียดสะสมและรู้สึกถูกกดดันโดยเฉพาะจากหน้าที่การงานและความรับผิดชอบต่าง ๆ ในชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงระบุว่า burnout หรือภาวะหมดไฟนั้นได้กลายเป็น “ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (occupational phenomenon)” ในปัจจุบันไปเสียแล้ว
ภาวะ Burnout ประกอบไปด้วยอาการหลายอย่างที่อาจแตกต่างไปสำหรับแต่ละคน อาทิ รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลาและโดดเดี่ยว ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามร่างกาย มีความดันเลือดสูง ขาดความสนใจและความพึงพอใจ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง หัวร้อนและขี้รำคาญง่าย สูญเสียความอยากอาหาร หรือบางคนอาจกินดื่มเยอะผิดปกติเพื่อจัดการกับภาวะ burnout แบบผิดทางอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ดี บทความนี้จะพูดถึงภาวะ burnout ในแง่มุมที่เหนือไปจากการวิเคราะห์อาการและการรับมือ เพราะแท้จริงแล้ว ภาวะ burnout นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่ปัญหาสุขภาพจิตของเราเท่านั้น แต่ร้ายแรงไปจนถึง ‘ภาวะโลกรวน (climate change)’ เลยทีเดียว
พยาบาลคนหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์กำลังเหนื่อยจากวิกฤตโควิด-19 ในเดือน เม.ย. 63 (ภาพจาก: Aris Oikonomou/AFP)
เพราะ “รับจบทุกอย่าง” จึงป่วยเป็นภาวะ Burnout
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เส้นแบ่งระหว่าง ‘งาน’ และ ‘ชีวิตส่วนตัว’ ในทุกวันนี้พร่าเลือนจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันไปเสียแล้ว เราต่างเต็มใจทำงานทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์จากที่บ้าน และวิกฤตโควิด-19 เมื่อ 5 ปีก่อนก็ทำให้ภาวะ burnout ในหมู่คนทำงานร้ายแรงขึ้น อย่างเช่นในช่วงล็อกดาวน์ ครูทั่วโลกต้องประสบกับความเครียดและภาวะ burnout มากกว่าคนในวิชาชีพแพทย์ เนื่องจากภาระงานที่เพิ่มขึ้นและการแบกรับความกังวลของนักเรียนมาอีกทอดหนึ่ง
ทั้งนี้ ภาวะ burnout ได้ “ระบาด” ไปทั่วโลกก่อนที่โควิดจะเกิดขึ้น บย็อง-ช็อล ฮัน (Byung-Chul Han) นักปรัชญาชาวเกาหลีในเยอรมนี ได้อธิบายในหนังสือ ‘The Burnout Society’ ไว้ว่า “ความเป็นบวก (positivity)” ที่ล้นเกินนั้นเป็นต้นตอของภาวะ burnout ในศตวรรษที่ 21 เราต่างไขว่คว้าความสำเร็จโดยเชื่อว่า เรา “สามารถ (can)” ทำทุกอย่างได้ แตกต่างจากสังคมยุคก่อน ๆ ที่ระเบียบวินัยได้ควบคุมชีวิตและจำความเป็นไปได้ต่าง ๆ ไว้
ป้าย "ทำงานจนตาย" ของผู้ประท้วงต่อต้านแผนปฏิรูปยืนอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปีในฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2566 (ภาพจาก: Sameer Al-Doumy/AFP)
ความเป็นบวกที่ว่านี้ขับเคลื่อน (หรือบังคับ) ให้เรากลายเป็นคน “โปรดักทีฟ (productive)” และมีทักษะ “มัลติทาสกิง (multitasking)” ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ฮันเสนอว่า multitasking คือทักษะของสัตว์ป่าที่ต้องออก (ล่า) หาอาหารและระแวงระวังภัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนมนุษย์นั้นเหนือกว่าสัตว์ป่าได้ เพราะมีสมาธิจดจ่อและคิดใคร่ครวญ
ความเชื่อที่ว่า เรา “สามารถ” ทำ (งาน) ทุกอย่างได้ในเวลาเดียวกันตามคอนเซ็ปต์ multitasking จึงลดทอนมนุษย์ให้เป็นเพียงสัตว์ที่ทำงานเพื่อประทังชีพ อีกทั้งก่อให้เกิดความเฉื่อยชาและภาวะ burnout ในท้ายที่สุด
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งในสหรัฐฯ กำลังปฏิบัติงานด้วยความเครียด (ภาพจาก: Stewart F. House/Getty Images North America/AFP)
Burnout จนชีวิตและโลก “รวน”
ก่อนที่จะเกิด burnout ผลกระทบอย่างหนึ่งที่ “คน (บ้าทำ) งาน” ต้องเผชิญคือ การขาดเวลาว่างเพื่อพัฒนาตนเองและผ่อนคลายความเครียด ในบทหนึ่งของหนังสือ ‘Overtime: Why We Need a Shorter Working Week’ เสนอว่า “งานส่วนใหญ่ภายใต้ระบบทุนนิยมจะพัฒนาทักษะของมนุษย์ตราบเท่าที่งานเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเท่านั้น” และได้รับการออกแบบให้เป็นกิจวัตรที่ลูกจ้างแทบทุกคน “สามารถ” ปฏิบัติตามได้เลย
เมื่อบวกกับความ productive และทักษะ multitasking ที่ (ต้อง) ทุ่มให้งานแล้ว เราจึงไม่มีเวลามากพอที่จะไปทำสิ่งที่ตัวเองสนใจจริง ๆ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา จนนำมาสู่ภาวะ burnout อย่างเลี่ยงไม่ได้
บางคน “รู้สึกผิด” ที่จะหยุดพักผ่อนแม้แต่ในเวลาที่ควรพัก อาจเป็นเพราะว่า บ้างผูกคุณค่าในตัวเอง (self-worth) ติดไว้กับความ productive บ้างโหยหาความสำเร็จและการยอมรับจาก “การทำงานหนัก (hard-working)” หรือบ้างอาจป่วยเป็นภาวะสมาธิสั้น (ADHD) โดยไม่รู้ตัว
สาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนก่อให้เกิดความเครียดและภาวะ burnout ซึ่งกำลังบั่นทอนสุขภาพและสุขภาวะของคนไทย ในปี พ.ศ. 2566 พบว่า คนวัยทำงานในไทย ใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน และในกรุงเทพฯ นั้น คนทำงานราว 7 ใน 10 มีภาวะ burnout จากงาน และคนในวัยแรงงานโทร. ขอรับคำปรึกษาเรื่องความเครียดจากงานถึงเกือบ 3 ใน 4
อีกด้านหนึ่ง ภาวะ burnout ก็มีส่วนทำให้ภาวะโลกรวนร้ายแรงขึ้น เนื่องจากเวลาทำงานที่มากขึ้นย่อมทำให้มีการใช้ทรัพยากรและการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างหนึ่งคือ หากเราทำงานเกินเวลา – ไม่ว่าจะเป็นจากที่บ้านหรือออฟฟิศ – เราจะขี้เกียจเตรียมอาหารเองแล้วกดสั่งอาหารจากมือถือแทน จากนั้น ร้านอาหารห่ออาหารด้วยพลาสติกหรือกระดาษ ไรเดอร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งอาหารให้เรา และถ้าเราไม่กินเลย ก็อาจทำให้อาหารนั้นเย็นชืดจนต้องไปอุ่นใหม่ในไมโครเวฟ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในสังคมที่ขนส่งสาธารณะไม่สะดวกนั้น ผู้คนจะใช้พาหนะส่วนตัวไปทำงานทุกวัน ทำให้การจราจรติดขัดและเกิดมลพิษมากขึ้นไปอีก ยังไม่นับว่า ผู้คนเหล่านั้นต้องเสียเวลาบนท้องถนนและเผชิญภาวะ burnout วนไปอีก
เมื่อมาถึงจุดนี้ ภาวะ burnout จึงไม่ใช่เพียงปัญหาสุขภาพจิตของปัจเจกบุคคล แต่เป็นวิกฤตสังคม-สิ่งแวดล้อมระดับโลกที่ต้องหาทางออกให้ได้
สภาพทะเลสาบติติกากา (Titicaca Lake) อันแห้งแล้งในฝั่งโบลิเวีย เมื่อปี พ.ศ. 2566 (ภาพจาก: Aizar Raldes/AFP)
“ลดเวลาการทำงาน” หยุด Burnout แก้โลกรวน
เพราะเรื่องสุขภาพจิตปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ การรับมือกับภาวะ burnout ในระดับปัจเจกบุคคลจึงสำคัญจำเป็นเสมอ ทั้งการขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาจากคนที่ช่วยเหลือได้ การฝึกสติสมาธิลดความเครียด การปล่อยผีและใจดีกับตัวเองบ้าง การผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานและการดูแลซึ่งกันและกัน และการลางานเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เราจะแก้ปัญหาภาวะ burnout ได้จริงจัง ก็ต้องแก้ที่ระบบสาธารณสุขและสวัสดิการแรงงานด้วย
จากข้อมูลปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีจิตแพทย์ราว 845 คน คิดเป็นอัตราส่วนจิตแพทย์ 1.3 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งต่ำกว่าสัดส่วนจิตแพทย์ต่อประชากรตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก (จิตแพทย์ 10 คน ต่อประชากร 100,000 คน) และภาวะ burnout ในหมู่จิตแพทย์ก็พุ่งสูงขึ้นถึง 5 เท่าในปีที่ผ่าน ๆ มา กระทรวงสาธารณสุขจึงมีแนวนโยบายแก้ปัญหาสุขภาพจิตในไทยผ่านการปรับระบบบริการทั้งหมด การเพิ่มจำนวนจิตแพทย์ 400 คนภายในปี พ.ศ. 2572 รวมถึงการให้ความรู้ประชาชนที่จะดูแลสุขภาพจิตของตัวเองเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ข้อเสนอหนึ่งในการแก้ปัญหาภาวะ burnout ระบาด “ที่ต้นเหตุ” นั้น คือการ “ลดเวลาทำงานลง” และแนวคิดลดวันทำงานเหลือ 4 วันโดยที่มีการจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมมักจะถูกพูดถึงอยู่หลายครั้ง เช่น ในเดือน ธ.ค. 63 ปาโพล อิเกลเซียส์ (Pablo Iglesias) รองนายกฯ ของสเปน ณ ขณะนั้น ประกาศถึงการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะลดเวลาการทำงานลงเหลือ 4 วัน
ต่อมา เมืองบาเลนเซีย (Valencia) ได้นำร่องโครงการหยุดทำงานวันจันทร์แก่คนทำงานกว่า 360,000 คน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. 66 นอกจากจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายใจแก่คนในเมืองและเพื่อช่วยลดปัญหา burnout ลงบ้างแล้ว ก็ยังทำให้คุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้นและลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์อีกด้วย
ทิวทัศน์มุมสูงของเมืองบาเลนเซียในสเปน (ภาพจาก: Jose Jordan/AFP)
ผลลัพธ์จากโครงการนำร่องในเมืองบาเลนเซีย ดูจะสอดคล้องกับการประมาณการของจูเลียต ชอร์ (Juliet Schor) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน และคณะว่า การลดชั่วโมงการทำงาน 1 ใน 4 จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงร้อยละ 30
ทั้งนี้ หนังสือ ‘Overtime: Why We Need a Shorter Working Week’ เสนอว่า การลดเวลาการทำงานจะเกิดขึ้นได้จริง ต่อเมื่อหน่วยสังคมต่าง ๆ ทั้งขบวนการทางสังคม สหภาพแรงงาน และพรรคการเมือง (ที่อยู่ในอำนาจ) ต้องช่วยผลักดันและกดดันนายทุนอย่างที่การรณรงค์ให้มีวันหยุด 2 วัน (เสาร์-อาทิตย์) สำเร็จมาแล้วในศตวรรษที่ 20
ดังนั้น ถึงจะท้าทายสักเพียงใด แต่หากแก้ปัญหา burnout ทั้งต้นและปลายเหตุได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะลดความเหนื่อยล้าของเรา แต่ยังช่วยให้โลกพ้นขีดอันตรายจากความแปรปรวนทางสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อีกด้วย
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW:
www.thaipbs.or.th/now
กลุ่ม Korean Confederation of Trade Unions รวมตัวประท้วงที่กรุงโซลเนื่องในวันแรงงาน ปี พ.ศ. 2565 เพื่อเรียกร้องสวัสดิภาพการทำงานที่ดีขึ้น (ภาพจาก: Jung Yeon-je/AFP)
1 บันทึก
2
2
1
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย