1 พ.ค. เวลา 17:21 • การเมือง

เหตุใดอิสราเอลจึงลุกเป็นไฟ

เมื่อคุณไม่ใช่เจ้าของดินแดน แม้แต่ธรรมชาติก็ไม่ต้อนรับคุณ
เหตุไฟไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสราเอลในวันที่ 30 เมษายน ปี 2025/2568 และยังไม่มีทีท่าว่าจหยุดนั้น มีสาเหตุประการหนึ่งมาจากการปลูกต้นสนจำนวนมากโดยรัฐบาลอิสราเอล
ย้อนไปในปี ค.ศ. 1930 หรือเมื่อ 95 ปีก่อนนั้น กองทุนแห่งชาติของยิว หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Jewish National Fund (JNF) ที่ระบุวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจนว่าเป็นกองทุนเพื่อ "การกู้ชาติและทวงคืนดินแดนของชาวยิว" (Redeems and Reclaims the Land of Israel) ได้นำต้นสนจากยุโรปจำนวนมากมาปลูกในดินแดนปาเลสไตน์ เพื่อเตรียมการยึดครองดินแดนแห่งนี้ ซึ่งพวกเขาทำได้สำเร็จส่วนหนึ่งในปี ค.ศ. 1948 จากการสนับสนุนของอังกฤษและชาติพันธมิตรในยุโรป
ในปีค.ศ.1935 JNF ได้ปลูกต้นสนไปถึง 1.7 ล้านต้น ครอบคลุมบริเวณถึง 1,750 เอเคอร์ และในระยะเวลาเพียง 50 ปี JNF ได้ปลูกต้นสนไปแล้วกว่า 260 ล้านต้น โดยส่วนใหญ่ปลูกในบริเวณดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองโดยอิสราเอล การกระทำดังกล่าวเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของอิสราเอลที่จะปกปิดความเสียหายอันเกิดจากการทำลายล้างหมู่บ้านชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งเพื่อลบล้างอดีตของพวกชาวพื้นเมืองเจ้าของดินแดนแห่งนี้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทุนแห่งชาติยิว ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะลบล้างอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวปาเลสไตน์ และขณะเดียวกันชาวยิวเหล่านี้ก็พยายามทำให้อิสราเอลมีลักษณะเหมือนยุโรป ซึ่งเป็นดินแดนที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยก่อนการอพยพเข้ามายึดครองดินแดนจากชนพื้นเมืองชาวปาเลสไตน์
พืชพรรณและป่าไม้ในปาเลสไตน์ต่างถูกทำลายล้าง ต้นมะกอก ซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของปาเลสไตน์ถูกทำลายและปลูกแทนที่ด้วยต้นสน บริเวณหนึ่งที่ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงในปี ค.ศ. 2016 คือทางตอนใต้ของภูเขาคาเมล (Mount Camel) ซึ่งชาวอิสราเอลเรียกขานกันว่าเป็น Little Switzerland แต่ในปีนั้น “ดินแดนจำลองแห่งสวิสเซอร์แลนด์” แห่งนี้ถูกไฟไหม้จนแทบไม่เหลือซาก โดยในปี ค.ศ. 2010 ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นในอิสราเอลในบริเวณดังกล่าวแล้วเช่นกัน
ความจริงที่น่าสนใจประการหนึ่งและเป็นเรื่องที่ทำให้ JNF ต้องประสบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงคือ ต้นสนที่อิสราเอลพยายามนำมาปลูกในดินแดนปาเลสไตน์นั้นไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศของท้องถิ่นได้ เช่นเดียวกับชาวอิสราเอลที่ต่างล้มเหลวในการปรับตัวเข้ากับดินแดนตะวันออกกลาง จากข้อมูลทางสถิติของ JNF ต้นสนที่นำมาปลูกจำนวน 6 ใน 10 ต้นไม่สามารถอยู่รอดได้
ส่วนที่เหลือก็ได้กลายเป็นกับดักเชื้อเพลิงอย่างดี ต้นสนเหล่านี้ โดยเฉพาะพันธุ์ที่ชื่อว่า สนอเลปโป หรือ Aleppo pine (Pinus halepensis) ซึ่งปลูกไว้จำนวนมากนั้นติดไฟได้ง่ายมาก เพราะมีเนื้อไม้ที่มียางไม้และมีลักษณะใบแหลมที่หนาแน่น ทำให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดที่อันตรายของไฟป่า โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่ร้อน แห้ง และมีลมแรง ป่าสนอเลปโปเหล่านี้ซึ่งปลูกเป็นจำนวนมากที่เนินเขาเยรูซาเล็ม ภูเขาคาเมล และเบน เชเมน มักจะได้รับความเสียหายซ้ำๆ จากไฟป่า
ดังนั้นทุกช่วงปลายฤดูร้อน ป่าสนทุกแห่งในอิสราเอลจึงกลายเป็นหลุมพรางแห่งอเวจีที่รอการเผาไหม้ เหตุเพลิงไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลในปลายเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2025 และขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้นั้นก็มีสาเหตุหลักประการหนึ่งมาจากการที่อิสราเอลได้วางกับดักตัวเองไว้นั่นเอง
ถึงแม้อิสราเอลจะมีความเป็นเลิศด้านนิวเคลียร์ มีกองกำลังทางทหารที่โหดเหี้ยมได้เทียมทาน รวมทั้งมีหน่วยราชการลับมอสสาดและขบวนการลอบบี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก แต่อิสราเอลก็ดูจะเปราะบางเสียเหลือเกิน ชาวอิสราเอลช่างเป็นคนแปลกหน้าต่อดินแดนที่พวกเขาอ้างเสมอว่าเป็นเจ้าของและต้องการยึดครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เช่นเดียวกับต้นสนที่พวกเขานำมาปลูกในปาเลสไตน์ ขบวนการไซออนิสต์ ชาวอิสราเอล และรัฐเถื่อนของพวกเขาต่างก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในพื้นที่แห่งนี้ และธรรมชาติก็ดูจะไม่ต้อนรับพวกเขาเอาเสียเลย
แปลและเรียบเรียงโดย สุรัยยา สุไลมาน
อ้างอิงจาก:
Why Israel is Burning? ของ Gilad Atzmon
ข้อมูลจาก http://www.gilad.co.uk/writings/201...
โฆษณา