3 พ.ค. เวลา 05:53 • ธุรกิจ

Apple Disrupt วงการแล็ปท็อปอย่างไร? กับเสียงพัดลมที่หายไป วิธีที่ชิป M1 พลิกโฉมวงการใน 5 ปี

ถ้าย้อนกลับไปประมาณ 5-6 ปีก่อน หากมีคนถามว่าแนะนำให้ซื้อ Mac หรือ Windows PC ผมว่าหลายคนคงตอบว่า Windows โดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน ช่วงนั้น Mac แย่มาก ทั้งช้า มีบั๊กเยอะ และทำงานหนักแทบจะไม่ได้
แต่ทุกอย่างพลิกโฉม เมื่อ Apple ประกาศชิปตัวแรกที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ Mac ซึ่งพวกเขาเรียกว่า M1
การเปลี่ยนไปใช้ M1 เปรียบเสมือนก้าวจากจักรยานไปขับ Lamborghini ทันใดนั้นทุกอย่างก็ทำงานได้อย่างสุดล้ำ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีความร้อน มีแต่พลังอันโหดเหี้ยม
เพื่อเข้าใจว่าทำไมชิปนี้ถึงเจ๋งมากๆ เราต้องดูว่า PC แบบเดิมทำงานอย่างไร
PC ทั่วไปมีการ์ดจอ ระบบระบายความร้อน เมนบอร์ด และ CPU แยกส่วนกันทำงานร่วมกัน แต่ M1 ต่างสิ้นเชิง แค่ชิปเดียวเท่านั้น ไม่มีส่วนประกอบแยกกัน ไม่มีระบบระบายความร้อนใหญ่โต เป็นเพียงซิลิคอนชิ้นเดียวที่รวม CPU, GPU และอื่นๆ ไว้ด้วยกัน
วิธีการทำงานแบบนี้ไม่เพียงมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสร้างพลังเท่ากันหรือมากกว่าในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลงมาก
แล้ว Apple เปลี่ยนจากการดิ้นรนมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแล็ปท็อปในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?
นี่คือเรื่องราวของวิธีที่ชิปตัวเดียวปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งหมด วิธีที่ Apple ทุ่มเททุกอย่างเพื่อความคิดที่ดูเหมือนเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ
และวิธีที่ M1 ไม่เพียงแต่เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ แต่ยังเปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีตลอดไป
เมื่อ M1 สร้างความตกตะลึงให้วงการในปี 2020 หลายคนคิดว่ามันเป็นแค่ความสำเร็จครั้งเดียว เป็นก้าวกระโดดที่คู่แข่งจะตามทันอย่างรวดเร็ว
แต่ 4 ปีต่อมากับซีรีส์ M4 บางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้น: ช่องว่างไม่ได้ปิดลง มันยิ่งห่างไกลจากคู่แข่งไปเรื่อย ๆ
MacBook Pro ที่ใช้ M4 Max ไม่ได้แค่แข่งกับแล็ปท็อปอื่นๆ อีกต่อไป มันกำลังต่อสู้กับเวิร์กสเตชั่นตั้งโต๊ะที่ใช้พลังงานมากกว่าห้าเท่า มีการทดสอบที่พบว่า Mac ที่รัน Windows แบบ VM เอาชนะแล็ปท็อป Windows ได้แบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น
MacBook ที่รันเวอร์ชันเสมือนของซอฟต์แวร์ Windows ซึ่งโดยปกติจะลดประสิทธิภาพลงครึ่งหนึ่ง กลับเอาชนะแล็ปท็อป Razer ราคา 4,000 ดอลลาร์ที่มี GPU รุ่นล่าสุด
ย้อนกลับไปในปี 2005 Apple กำลังมีปัญหาหนักหน่วง ชิป PowerPC กำลังล้าหลัง ไม่สามารถเทียบกับประสิทธิภาพของ Intel ไม่สามารถรองรับอายุแบตเตอรี่ได้นานเท่าที่ควร และกำลังเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Windows PC
Apple ต้องการผู้ช่วยให้รอด และพวกเขาพบหนึ่งในคู่แข่งเก่าแก่ที่สุด: Intel
Steve Jobs ขึ้นเวทีที่ WWDC 2005 และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาได้ส่งคลื่นช็อกไปทั่วโลกเทคโนโลยี เขาประกาศการเปลี่ยนผ่านจาก PowerPC ไปสู่โปรเซสเซอร์ Intel
Intel เดียวกับที่ Jobs เคยเย้ยหยันมาหลายปีกำลังจะกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของ Apple
หลังจากการบูรณาการ Intel แล้ว Mac ทำงานได้อย่างสวยงาม Mac สามารถรัน Windows ได้ด้วย พวกมันเร็วกว่าที่เคย
MacBook Air ปฏิวัติการออกแบบแล็ปท็อป Apple ขาย Mac ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา
แต่ภายใต้ความสำเร็จนี้ ปัญหากำลังก่อตัว ในขณะที่ชิป iPhone ของ Apple พุ่งทะยานในแต่ละปี Mac ดูเหมือนติดอยู่กับที่ ชิป Intel ร้อนมาก พวกมันต้องการระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อนเพียงเพื่อรักษาประสิทธิภาพพื้นฐาน
ภายในปี 2019 สถานการณ์พลิกผันอย่างสิ้นเชิง Intel ที่เคยเป็นผู้ช่วยให้รอดของ Apple กลายเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา
บริษัทเดียวกันที่ทำให้โทรศัพท์เร็วกว่าแล็ปท็อปส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้าง MacBook ที่สามารถแก้ไขวิดีโอโดยไม่ร้อนเกินไปได้
Intel ได้ช่วย Mac ในปี 2005 แต่อีก 15 ปีต่อมา Apple ต้องการการปฏิวัติอีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจที่จะช่วยเหลือตัวเอง
การปฏิวัติ M1 ไม่ได้เริ่มต้นในปี 2020 มันไม่ได้เริ่มต้นด้วยคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ มันเริ่มต้นด้วยการคาดการณ์ที่จะตามหลอกหลอน Intel เป็นทศวรรษ
ในปี 2007 Steve Jobs เสนอให้ Intel มีโอกาสทองที่จะทำชิปสำหรับอุปกรณ์ใหม่ที่เรียกว่า iPhone
Intel ปฏิเสธ พวกเขาคิดว่าโทรศัพท์มือถือเป็นทางตัน และมันได้กลายเป็นหนึ่งในการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดและมีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
เมื่อไม่มีพันธมิตรสำหรับ iPhone Apple ทำบางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาตัดสินใจที่จะออกแบบชิปของตัวเอง
พวกเขาซื้อบริษัทชิปขนาดเล็กชื่อ PA Semi ในราคา 278 ล้านดอลลาร์ สำหรับคนส่วนใหญ่ ดูเหมือนเป็นข่าวเล็กๆ
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิชิปของ Apple ที่จะมาสั่นคลอนวงการในอนาคต
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นเรื่องสุดยอด ตลอดหลายปีชิป A-series ของ Apple ไม่เพียงแค่เทียบเท่ากับคู่แข่ง พวกมันถีบคู่แข่งกระเด็น
ภายในปี 2013 โปรเซสเซอร์ของ iPhone มีประสิทธิภาพเหนือกว่าชิปมือถือของ Intel ภายในปี 2018 มันเทียบเท่ากับโปรเซสเซอร์แล็ปท็อป
ในขณะที่ Intel ยังคงพยายามที่จะเข้าสู่ตลาดมือถือที่พวกเขาปฏิเสธไปเมื่อหลายปีก่อน แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ลองเทียบง่าย ๆ ในการทำงานกับไฟล์ Photoshop ที่ซับซ้อน ด้านหนึ่งคือ Intel Mac ราคา 5,000 ดอลลาร์ รุ่นท็อป สเปคสูงสุด พัดลมส่งเสียงคำรามเหมือนเครื่องบินเจ็ท
อีกด้านหนึ่งคือ iPad Pro ที่ทำงานแก้ไขได้อย่างราบรื่นในขณะที่ Mac ราคาแพงดิ้นรนที่จะตามทัน มันเป็นแท็บเล็ตราคา 800 ดอลลาร์ ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ระดับมืออาชีพที่มีราคาสูงกว่าหกเท่า
ภายใน Apple Park ผู้บริหารเผชิญกับการตัดสินใจที่จะขีดชะตาชีวิตบริษัท พวกเขาประกาศว่า Mac กำลังก้าวกระโดดครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการเปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon
พวกเขาเชี่ยวชาญในชิปมือถือ แต่พวกเขาจะสามารถแทนที่ Intel ได้หรือไม่? เพราะมันหมายถึงการสร้างแอป Mac ทุกตัวใหม่ การเขียนระบบปฏิบัติการทั้งหมดใหม่ การเสี่ยงกับสายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่ทำกำไรมากที่สุดของพวกเขา
ครั้งล่าสุดที่บริษัทพยายามทำสิ่งที่เสี่ยงบ้าคลั่งเช่นนี้คือ Apple เอง เมื่อ 15 ปีก่อน ที่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC มาเป็น Intel นั่นเอง
Intel ที่เคยช่วย Mac ได้กลายเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุด และในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัว M1 มันไม่ใช่แค่ชิปใหม่ มันเป็นการแก้แค้นจากฝั่ง Apple ที่รอคอยเวลามา 15 ปี
PC แบบดั้งเดิม เช่น Mac ที่ใช้ Intel ใช้สิ่งที่เรียกว่าสถาปัตยกรรม x86 ที่ใช้ภาษาที่ซับซ้อน กินพลังงานมาก ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพดิบมากกว่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน แต่ประสิทธิภาพนั้นมาพร้อมกับต้นทุน: ความร้อน การใช้พลังงาน และความซับซ้อน
ชิป ARM เช่นที่อยู่ใน iPhone พูดในภาษาที่แตกต่างกัน มันง่ายกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์มือถือที่อายุแบตเตอรี่มีความสำคัญ
ในขณะที่ชิป x86 ของ Intel ต้องการคำสั่งที่ซับซ้อนเพื่อให้งานสำเร็จ ชิป ARM ใช้แนวทางที่เรียบง่าย: คำสั่งง่าย ๆ พลังงานน้อยลง ความร้อนน้อยลง
Intel กำลังเผชิญกับวิกฤต เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พวกเขาเพิ่มประสิทธิภาพชิปเป็นสองเท่าทุก 2 ปี แต่ภายในปี 2019 ความก้าวหน้านั้นได้ชะลอตัวลง
พวกเขากำลังเจอกับข้อจำกัดทางกายภาพของซิลิคอน การทำให้ชิปเร็วขึ้นหมายถึงการทำให้พวกมันร้อนขึ้น
การทำให้พวกมันร้อนขึ้นหมายถึงพลังงานมากขึ้น การระบายความร้อนมากขึ้น ปัญหามากขึ้น พวกเขาติดอยู่ในวงจรอุบาทว์
ลึกลงไปใน Apple Park โปรเจค Kalamata ได้ถือกำเนิดขึ้น เป้าหมายคือการสร้างชิปคอมพิวเตอร์ที่รวมประสิทธิภาพของ ARM กับพลังของโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป
แต่พวกเขาไม่ได้แค่สร้างชิป พวกเขากำลังรังสรรค์วิธีคิดใหม่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
และในเดือนพฤศจิกายน 2020 ท่ามกลางการระบาดทั่วโลก Tim Cook ขึ้นเวทีและแนะนำชิป M1 ที่จะทำให้วงการต้องสั่นสะเทือน
สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ชิปใหม่ มันเป็นช่วงเวลาที่การประมวลผลเปลี่ยนไปสำหรับ Apple และวงการคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
Apple สร้างสิ่งที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวม ที่สามารถปรับขนาดได้ในผลิตภัณฑ์ เริ่มจาก iPhone ไปสู่ iPad, Apple Watch และในที่สุดไปสู่ Mac
แนวทางของ Apple นั้นล้ำสมัย แทนที่จะแยกส่วนประกอบที่พูดคุยกัน ทุกอย่างจะอยู่บนชิปเดียว CPU, GPU, Neural Engine, หน่วยความจำ ทั้งหมดรวมกัน
ไม่มีคอขวดอีกต่อไป ไม่ต้องรอให้ข้อมูลเคลื่อนที่ในส่วนประกอบ เป็นเพียงการสื่อสารโดยตรงทันที มันเหมือนกับการแทนที่การแข่งขันวิ่งผลัดด้วยนักวิ่งเพียงคนเดียว
เมื่อผลการทดสอบครั้งแรกออกมา แม้แต่วิศวกรของ Apple ก็ยังตกใจ CPU เร็วขึ้น 3.5 เท่า GPU เร็วขึ้น 6 เท่า แบตเตอรี่อยู่ได้ 18 ชั่วโมง ในขณะที่ใช้พลังงานเพียงแค่เศษเสี้ยว
ในอุตสาหกรรมที่รู้จักกันดีในการใช้ตัวเลขที่เว่อร์เกินจริง สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ Apple ไม่ได้ทำสิ่งที่มันเป็นเพียงแค่ความฝันให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้
ชิปไม่ได้แค่เทียบเท่ากับประสิทธิภาพของ Intel มันกำลังถีบส่ง Intel ดิ่งลงเหว ทำงานเย็นมากจนไม่จำเป็นต้องมีพัดลม
พวกเขาไม่ได้แค่สร้างชิปที่ดีกว่า พวกเขาได้ปฏิวัติสิ่งที่ชิปคอมพิวเตอร์สามารถเป็นได้ คะแนนทดสอบทั้งซิงเกิลคอร์และมัลติคอร์สูงกว่าคู่แข่งอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อ Mac M1 เครื่องแรกมาถึง บางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้น นักตัดต่อวิดีโอสามารถทำงานเป็นชั่วโมงโดยไม่ได้ยินเสียงพัดลม
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เห็นเวลาคอมไพล์ลดลงครึ่งหนึ่ง ช่างภาพสามารถแก้ไขไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่มีการหน่วง
MacBook Air M1 รุ่นเริ่มต้นที่ถูกที่สุดมีประสิทธิภาพเจ๋งกว่า MacBook Pro Intel มูลค่า 6,000 ดอลลาร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตอนนี้ 5 ปีผ่านไปและสี่รุ่นผ่านไป บางสิ่งที่น่าทึ่งได้เกิดขึ้น ชิป M4 มาถึงแล้ว ผลักดันขอบเขตให้ไกลออกไปอีก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ:
ผู้ใช้ M1 หลายคนรวมแทบไม่ต้องอัพเกรด ชิปรุ่นแรกที่ปฏิวัติการประมวลผลในปี 2020 ยังคงมีประสิทธิภาพโหดเหี้ยมมากจนแทบไม่จำเป็นต้องอัพเกรด
ทุกครั้งที่มีการประกาศชิป M-series ใหม่ หลายคนมักถามว่าควรจะอัพเกรด M1 Max ไหม ความจริงคือ Apple ลดกำลังการผลิตชิป M2 เพราะมันขายไม่ดีเท่าที่ควร เหตุผลชัดเจนมาก เพราะ M1 นั้นเจ๋งมากๆ อยู่แล้ว
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ Apple มีกับ MacBook คือพวกมันดีมากเกินไปจนคนไม่อยากอัพเกรด นี่คือปัญหาที่บริษัทอื่นต่างถวิลหา
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนั้นรุนแรงและกระจายวงกว้าง มูลค่าตลาดของ Intel ดิ่งลงเหวอย่างน่าใจหาย Qualcomm ดิ้นรนที่จะตามให้ทัน
ตอนนี้แม้แต่ Microsoft ก็กำลังเห็นว่า Windows laptop กำลังเสื่อมความนิยมลงทุกที และเริ่มการเปลี่ยนผ่านของตัวเองไปสู่ชิป ARM
ราคาหุ้นของบริษัทชิปหลายแห่งลดฮวบลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าปัญหาของผู้ผลิตชิปนั้นลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด
Apple ไม่เพียงแค่เปลี่ยนตัวเอง แต่พวกเขากำลังบังคับให้อุตสาหกรรมทั้งหมดต้องปรับตัวตาม ผู้ผลิตชิปทุกรายกำลังพยายามที่จะสร้างชิปแบบบูรณาการของตัวเอง
แต่พวกเขาเข้าสู่วงการช้าเกินไป Apple มีประสบการณ์ในการพัฒนาชิปมากกว่าทศวรรษ และพวกเขาคิดถูกที่ลงทุนในด้านนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ M1 อาจไม่ใช่ประสิทธิภาพ แต่เป็นการเปลี่ยนความคาดหวังของเราว่าคอมพิวเตอร์สามารถและควรเป็นอะไรได้บ้าง
เราเคยยอมรับว่าคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังต้องมีเสียงดัง ร้อน และกินไฟเยอะ แต่ Apple แสดงให้เห็นว่านั่นเป็นเพียงข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่าเท่านั้น
M1 ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีที่เราใช้คอมพิวเตอร์ มันเปลี่ยนสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้มันเป็นไปได้ และขีดชะตาชีวิตของวงการใหม่ทั้งหมด
Apple Silicon ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการอย่างสมบูรณ์สามารถชนะการแยกส่วนได้ มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการคิดใหม่ทั้งหมดเป็นทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้า
มันเป็นเรื่องราวของการที่บริษัทหนึ่งตัดสินใจเพื่อพัฒนาสิ่งที่โลกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
เราไม่เพียงแค่ใช้ชิปใหม่ เรากำลังมีประสบการณ์กับการปฏิวัติ และมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบมากขนาดนี้
เรากำลังมองดูช่วงเวลาที่เทคโนโลยีชิปจะแยกเป็นสองยุคชัดเจน: ยุคก่อน Apple Silicon และยุคหลัง ในอนาคตเราอาจจะมองย้อนกลับไปที่ช่วงเวลานี้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
การกล้าที่จะฝ่าฝันถึงแม้จะต้องเสี่ยงกับธุรกิจหลักของบริษัท กลายเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ Apple ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก การเดิมพันกับชิปตัวเองไม่เพียงช่วยให้พวกเขาควบคุมชะตากรรมของตัวเอง แต่ยังเปลี่ยนทิศทางของอุตสาหกรรมทั้งหมด
จากการถูก Intel ปฏิเสธในปี 2007 สู่การเป็นผู้นำด้านการออกแบบชิปในปัจจุบัน Apple ได้พิสูจน์ว่าบางครั้งความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นบทเรียนที่ธุรกิจทุกแห่งควรใส่ใจ
ในที่สุด Apple Silicon ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวเกี่ยวกับชิปคอมพิวเตอร์ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ความกล้าหาญ และพลังของการคิดนอกกรอบ
มันแสดงให้เห็นว่าแม้ในอุตสาหกรรมที่เติบโตเต็มที่แล้ว ยังมีโอกาสสำหรับการค้นพบและนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นได้อยู่เสมอ
ถ้าคุณได้ใช้ Mac ที่มี Apple Silicon แล้ว คุณไม่ใช่แค่กำลังใช้คอมพิวเตอร์ คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่กำลังก่อตัวขึ้น และการปฏิวัตินี้เพิ่งเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา