5 พ.ค. เวลา 09:03 • ความคิดเห็น

กฏทองสามข้อของทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของโลกที่ประหลาดและยากที่คาดเดาที่สุดในยุคสมัย ความบ้า เพี้ยน และดูจะทำอะไรที่หลายคนบอกว่าโง่บ้าง โกหกบ้าง หยาบคายบ้าง หรือใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างบิดเบือน และเหมือนจะไม่ยอมรับความจริงอะไรเลย ไม่ยอมว่าตัวเองแพ้ ไม่ได้สนข้อเท็จจริงใดๆ ทรัมป์แพ้เลือกตั้งรอบก่อนก็ไม่ยอมแพ้ ปลุกม็อบจนอเมริกาลุกเป็นไฟ ทรัมป์สมัยสองก็เขย่าโลกด้วยภาษีที่ทุกประเทศมึนงงจนถึงตอนนี้
4
ล่าสุดคะแนนโพลร้อยวันของทรัมป์นั้นแย่สุดตั้งแต่เคยมีโพลมา แต่ทรัมป์ก็เพิ่งไปปราศัยว่าร้อยวันที่ผ่านมาคือเจ๋งสุดตั้งแต่มีประธานาธิบดีมา แถลงบอกราคานัำมันลดต่ำกว่าสองเหรียญอยู่หลายที่ สำนักข่าวไปค้นไปสืบก็ไม่เจอซักปั๊มในสหรัฐ ความย้อนแย้ง การพูดเท็จ ความดื้อ หรือความประหลาดของทรัมป์นั้นดูจะเอาหลักตรรกะใดๆ ตัวอย่างใดๆมาจับแทบไม่ได้
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ทรัมป์ก็มีกฏมีหลักการแบบทรัมป์ที่กำหนด playbook ที่ทรัมป์ใช้ และหลักการนั้นถ้ารู้แล้วก็จะพอเข้าใจว่าทำไมทรัมป์ถึงทำแบบนี้ ต่อให้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม และอาจจะพอมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องไปดีลไปเจรจากับทรัมป์ก็ได้
2
ในหนังเรื่อง “The apprentice” ซึ่งเป็นหนังที่สร้างจากชีวิตโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สร้างทำ research เยอะมาก มีบางช่วงที่ต้อง dramatize ให้เป็นหนัง ในช่วงหนุ่มๆ ทรัมป์ไปเจอคนที่ต่อมามีอิทธิพลต่อชีวิตและแนวความคิดของทรัมป์มากที่สุด
1
คนๆนั้นคือ รอย โคน ( Roy Cohn) รอยเป็นนักกฏหมายเกย์ผู้ทรงอิทธิพลและเหี้ยมมากในนิวยอร์คตอนนั้น เอ็นดูทรัมป์และสอนวิชาชีวิต เล่ห์กลต่างๆให้ทรัมป์ผู้ที่ทะเยอทะยาน อยากทำอะไรก็ได้ที่จะเอาชนะ แต่ยัง ไร้ประสบการณ์ รอยเทรนทรัมป์จนกลายเป็นนักธุรกิจที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแทคติกแพรวพราว จนประสบความสำเร็จและโด่งดังหลังจากนั้น
1
กฏของรอยในการที่จะเอาชนะทุกสิ่งอย่างและภายหลังทรัมป์ก็ยึดหลักการนี้มีอยู่สามข้อ
ข้อแรกก็คือ attack attack attack คือเล่นเกมบุกตลอด ไม่เคยอยู่นิ่งและไม่เคยตั้งรับ ลุยแบบ aggressive ใส่คู่แข่งตลอดเวลา
ข้อสองก็คือ “ admit nothing, deny everything” คือห้ามยอมรับว่าตัวเองผิด ต่อให้มีหลักฐานแน่นหน้าแค่ไหนก็ต้องไม่ยอมรับ ยังไงก็ไม่ยอมรับผิดในทุกกรณี
3
ข้อสามก็คือ “ Always claim victory, never admit defeat” ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน หน้าไหน ต้องหามุมที่จะเล่าว่าเราชนะได้เสมอ ต่อให้พ่ายแพ้อยู่ก็ตามโดยไม่ต้องสนความจริง ต้อง “เล่า”และ “แต่ง” เรื่องให้เราเป็นผู้ชนะและเสียงดังกว่าก็จะชนะเสมอ
2
อ่านถึงตรงนี้จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นมาในสิ่งที่ทรัมป์ทำมาตลอดว่าอยู่บนหลักการสามข้อนี้ทั้งสิ้น ตอนที่หาเสียงและมีคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นฮิลลารี่ก็โดนทรัมป์ใส่ข้อหาด้วยฉายา Crooked Hilary กล่าวหาว่าฮิลลารี่ขี้โกง ไบเดนก็โดนว่าเป็น Sleepy Jo คือคนแก่หมดพลัง กมลา แฮรริสก็โดนประมาณ lying Kamala แล้วเอาเรื่องจริงบ้างเท็จบ้างมาโยนใส่ เป็นฝ่ายบุกตลอด ต่อให้มีสื่อไหนเอาอะไรมาแฉ เขาก็โจมตีกลับว่าเป็น fake news เขาจะ attack attack attack เสมอ
1
ไม่ว่าจะโดนข้อหาโดยสอบสวนเรื่องรัสเซีย โดนจับได้ว่าพูดเท็จด้วยหลักฐานชัดๆว่าไม่จริง ไม่ว่ากี่ครั้งก็ตาม ทรัมป์ก็จะไม่เคยยอมรับ ตอนโดนเรื่องรัสเซียหนักๆ ทรัมป์ก็ใช้คำว่า “ล่าแม่มด” ชิ่งเอาตัวรอด ไม่เคยยอมรับไม่ว่าหลักฐานจะแน่นหนาแค่ไหน ตามหลัก Admit nothing, deny everything
เรื่องที่ใหญ่ที่สุดและทำเอาอเมริกาปั่นป่วนที่สุดก็คือตอนที่แพ้เลือกตั้งแล้วไม่ยอมแพ้ในปี 2020 จนเกิดม็อบบุกสภาขึ้นมา ทรัมป์ไม่ยอมรับว่าแพ้ และแต่งเรื่องใหม่ว่าถูกโกง ต่อให้ไม่มีหลักฐานใดๆก็ตาม ซึ่งบอกชัดเจนถึงหลักข้อสาม “Always claim victory, never admit defeat”
กฎสามข้อนี้ดูร้ายและน่ากลัวมากๆ ดูไร้จริยธรรมสุดๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จในโลกก็ไม่ได้มีแต่คนดีอย่างที่เรารู้ๆ กัน โลกเราโหดร้ายและมีช่องให้คนที่เหี้ยมเกรียมประสบความสำเร็จอยู่ตลอด แต่ก็อยากจะเอามาเล่าสู่กันฟังเผื่อเวลาตามทรัมป์ทำอะไร โกหกอะไร ดูดื้อแพ่งกับอะไร โจมตีใคร และพูดจาบิดเบือนเรื่องอะไรก็จะได้เข้าใจกฏที่อยู่ในหัวทรัมป์มากขึ้น และอาจจะสนุกกับการดูความเคลื่อนไหวในด้านต่างๆของทรัมป์มากขึ้นก็ได้ (อ่อ .. ทรัมป์ด่าหนังเรื่องนี้เละเลยนะครับ )
ส่วนใครที่ต้องไปเจรจาอะไรกับทรัมป์ เข้าใจกฏอันแสนประหลาดกว่าตรรกะของคนปกติไว้ก็อาจจะมีประโยชน์ในการอ่านเกมมากขึ้นก็ได้นะครับ…
โฆษณา