Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Glory Days Official
•
ติดตาม
5 พ.ค. เวลา 11:45 • การศึกษา
เกาะอาโอกาชิมะ
อดีตของ Aogashima ที่คุณไม่เคยรู้: เกาะนักโทษเนรเทศสมัยเอโดะ!
คุณเคยนึกภาพไหมว่าเกาะสวรรค์ที่สวยงามอย่าง Aogashima เคยเป็นคุกกลางทะเลมาก่อน? 🏝️ ใช่แล้ว! เกาะภูเขาไฟที่สวยงามแห่งนี้มีประวัติศาสตร์มืดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทัศนียภาพอันตระการตา ในสมัยเอโดะ (1603-1867) เมื่อนักโทษบนเกาะฮาจิโจจิมะกล้าก่อเรื่องหรือพยายามหนี พวกเขาจะถูกส่งต่อไปยังเกาะที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวยิ่งกว่า นั่นคือ Aogashima! 😱
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ นักโทษเหล่านี้ถูกสักเครื่องหมายไว้บนร่างกายเพื่อแสดงสถานะ และต้องทำงานให้กับชาวประมงและเกษตรกรท้องถิ่น โดยไม่มีกำหนดวันปล่อยตัว! 🔗 คุณพร้อมหรือยังที่จะเปิดโลกประวัติศาสตร์ลับที่ไม่เคยมีใครเล่าเกี่ยวกับเกาะสวรรค์ที่เคยเป็นนรกสำหรับนักโทษในอดีต?
ระบบการเนรเทศในสมัยเอโดะ: คุกกลางทะเล
ในสมัยเอโดะ (1603-1867) ภายใต้การปกครองของโชกุนตระกูลโทคุงาวะ ญี่ปุ่นมีระบบการลงโทษที่เรียกว่า "การเนรเทศ" หรือ "รุนิน" (Runin) 🌊 นักโทษจะถูกส่งไปยังเกาะห่างไกลเพื่อแยกพวกเขาออกจากสังคมหลัก โดยเฉพาะหมู่เกาะอิซุที่ถูกใช้เป็นคุกธรรมชาติสำหรับนักโทษการเมือง นักบวชที่ทำผิดกฎ อาชญากร และผู้ที่ท้าทายอำนาจรัฐ
เกาะฮาจิโจจิมะเป็นหนึ่งในเกาะหลักที่ใช้เนรเทศนักโทษ มีการบันทึกว่ามีนักโทษกว่า 1,900 คนถูกส่งไปที่นั่นตลอดสมัยเอโดะ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ หากนักโทษเหล่านี้ก่อความวุ่นวายหรือพยายามหลบหนี พวกเขาจะถูกส่งต่อไปยังเกาะที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวยิ่งกว่า นั่นคือ Aogashima หรือเกาะฮาจิโจ-โคจิมะ 🏝️
Aogashima: คุกสุดท้ายสำหรับนักโทษที่ดื้อดึง
Aogashima ถูกใช้เป็น "คุกซ้อนคุก" สำหรับนักโทษที่ยังคงมีพฤติกรรมก่อกวนแม้จะถูกเนรเทศมาแล้ว ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟและล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน ทำให้การหลบหนีจากเกาะแห่งนี้เป็นไปได้ยากมาก 🌋
มีบันทึกเกี่ยวกับ Aogashima ในเอกสารสมัยเอโดะที่เก็บรักษาไว้ที่เกาะฮาจิโจจิมะ ซึ่งบันทึกกิจกรรมของภูเขาไฟในปี 1652 และช่วงปี 1670 ถึง 1680 แสดงให้เห็นว่าเกาะนี้เป็นที่รู้จักและมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ต้นสมัยเอโดะ
7 เรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับชีวิตนักโทษบน Aogashima 🔍
1. การสักเครื่องหมายบนร่างกาย
นักโทษที่ถูกเนรเทศจะถูกสักเครื่องหมายบนร่างกายเพื่อแสดงสถานะ ทำให้พวกเขาถูกแบ่งแยกออกจากคนทั่วไปและป้องกันการหลบหนี 🖋️ การสักนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศที่ติดตัวไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะได้รับการอภัยโทษในภายหลังก็ตาม
2. ไม่มีกำหนดระยะเวลาการลงโทษ
การเนรเทศไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน นักโทษต้องอยู่บนเกาะไปจนกว่าจะได้รับจดหมายอภัยโทษจากโชกุน ซึ่งบางครั้งอาจมาถึงหลังจากที่นักโทษเสียชีวิตไปแล้วหลายปี 📜 ในช่วงที่โชกุนโทคุงาวะมีอำนาจมั่นคง จดหมายอภัยโทษจะถูกส่งมาค่อนข้างบ่อย แต่ในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบ นักโทษอาจต้องใช้ชีวิตที่เหลือบนเกาะโดยไม่มีโอกาสกลับบ้านเกิด
3. การทำงานให้คนท้องถิ่น
นักโทษต้องทำงานให้กับชาวประมงและเกษตรกรท้องถิ่นเพื่อแลกกับอาหารและที่พัก 🌾 พวกเขาไม่ได้รับค่าตอบแทนและต้องทำงานหนักภายใต้สภาพอากาศที่รุนแรงของเกาะ บางคนถูกใช้งานเยี่ยงทาส แต่บางคนที่มีทักษะพิเศษอาจได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า
4. การห้ามแต่งงานที่ไม่เป็นทางการ
โดยหลักการแล้ว นักโทษถูกห้ามแต่งงาน แต่ในความเป็นจริง หลายคนได้อยู่กินกับหญิงท้องถิ่นและสร้างครอบครัว 👨👩👧 ผู้หญิงเหล่านี้เรียกว่า "มิซุคุมิ อนนะ" (mizukumi onna) หรือ "หญิงตักน้ำ" แม้ว่าทางการจะไม่ยอมรับภรรยาเหล่านี้อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความอะลุ้มอล่วยและไม่มีการเลือกปฏิบัติจากคนท้องถิ่น
5. ความพยายามในการหลบหนี
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและอาหารที่จำกัด หลายคนพยายามหลบหนีจากเกาะ 🚣♂️ มีการบันทึกว่ามีนักโทษกว่า 80 คนพยายามหลบหนีจากเกาะฮาจิโจจิมะ แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว จาก 18 ครั้งของความพยายาม มีเพียงครั้งเดียวที่เชื่อว่าประสบความสำเร็จ สำหรับผู้ที่ถูกจับได้ การลงโทษคือการส่งไปยัง Aogashima ซึ่งการหลบหนีเป็นไปได้ยากยิ่งกว่า
6. การถ่ายทอดความรู้และวัฒนธรรม
แม้จะเป็นนักโทษ แต่หลายคนเป็นผู้มีการศึกษาและมีทักษะต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวเกาะ 📚 พวกเขาได้นำความรู้เกี่ยวกับการปลูกมันหวาน การศึกษา การผลิตไหม และการผลิตเหล้าโชจู (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลั่น) มาสู่เกาะ ทำให้เกิดการพัฒนาทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
7. ชีวิตหลังการอภัยโทษ
นักโทษกว่า 700 คนได้รับการอภัยโทษและได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน 🏡 อย่างไรก็ตาม หลายคนเลือกที่จะอยู่บนเกาะต่อไปเนื่องจากได้สร้างครอบครัวและชีวิตใหม่ที่นั่น บางคนกลายเป็นส่วนสำคัญของชุมชนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเกาะ
เรื่องราวของภูเขาไฟและการอพยพครั้งใหญ่
ในเดือนกรกฎาคม 1780 เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งตามด้วยไอน้ำที่ลอยขึ้นมาจากทะเลสาบในปล่องภูเขาไฟอิเคโนซาวะ (Ikenosawa Caldera) 🌋 แผ่นดินไหวเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม 1781 นำไปสู่การปะทุของภูเขาไฟ
ในเดือนเมษายน 1783 ลาวาไหลจากกรวยมารุยามะ (Maruyama) ส่งผลให้มีการอพยพครัวเรือนทั้งหมด 63 ครัวเรือนออกจากเกาะ ระหว่างการปะทุครั้งใหญ่ในปี 1785 ประชากร 130-140 คนจากทั้งหมด 327 คนเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนักโทษที่ถูกเนรเทศด้วย
หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้รอดชีวิตถูกอพยพไปยังเกาะฮาจิโจจิมะ และไม่มีกิจกรรมภูเขาไฟที่สำคัญนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา
เปรียบเทียบกับเกาะเนรเทศอื่นๆ ในญี่ปุ่น
ในสมัยเอโดะ ญี่ปุ่นมีเกาะเนรเทศหลายแห่ง แต่ละแห่งมีลักษณะเฉพาะและประเภทของนักโทษที่แตกต่างกัน 🗾
เกาะซาโดกาชิมะ (Sadogashima)
เป็นเกาะเนรเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ใช้เป็นที่เนรเทศนักโทษการเมืองระดับสูง รวมถึงจักรพรรดิโกไซ (Emperor Juntoku) หลังจากสงครามโจเกียว (Jōkyū War) ในปี 1221 นอกจากนี้ยังมีเหมืองทองที่นักโทษถูกส่งไปทำงานหนัก
เกาะมิยาเคจิมะ (Miyakejima)
เป็นเกาะในหมู่เกาะอิซุที่ใช้เนรเทศนักโทษ มีเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นในช่วงกลางสมัยเอโดะเมื่อความสัมพันธ์ลับระหว่างนักแสดงคาบูกิชื่อดัง ชินโกโร อิคุชิมะ (Shingoro Ikushima) และเอจิมะ (Ejima) ซึ่งเป็นสาวใช้ในวัง ถูกเปิดเผย เหตุการณ์นี้นำไปสู่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจภายในวังที่ลุกลามออกไปสู่เมืองหลวง ส่งผลให้มีการลงโทษและเนรเทศผู้คนกว่า 1,000 คน อิคุชิมะถูกเนรเทศไปยังเกาะมิยาเคจิมะ ซึ่งหลุมฝังศพของเขายังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้
เกาะฮาจิโจจิมะ (Hachijojima)
เป็นเกาะเนรเทศหลักในหมู่เกาะอิซุ มีนักโทษกว่า 1,900 คนถูกส่งไปที่นั่น ประกอบด้วยนักโทษหลากหลายประเภท ตั้งแต่ซามูไร นักบวช ชาวนา พ่อค้า ไปจนถึงคนไร้บ้าน นักโทษเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเกาะ
มรดกทางวัฒนธรรมจากยุคเนรเทศ
แม้ว่าระบบการเนรเทศจะสิ้นสุดลงในสมัยเมจิ แต่มรดกทางวัฒนธรรมจากยุคนั้นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน 🎭
เทศกาลรุนิน (Runin Matsuri)
จนถึงทศวรรษ 1980 มีการจัดเทศกาลประจำปีเพื่อรำลึกถึงนักโทษที่ถูกเนรเทศบนเกาะฮาจิโจจิมะ เรียกว่า "รุนิน มัตสึริ" (Runin Matsuri) มีการแห่ขบวนแต่งกายแบบโบราณ การเต้นรำ การชมดอกไม้ไฟ และกิจกรรมสนุกสนานอีกมากมาย แม้ว่าเทศกาลนี้จะสิ้นสุดลงด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบแน่ชัด แต่เทศกาลดอกไม้ไฟประจำปีที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลรุนิน มัตสึริในอดีต
เพลงพื้นบ้านและบทกวี
เพลงพื้นบ้านและบทกวีของหมู่เกาะอิซุตอนใต้มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเนรเทศ ความโศกเศร้า และการพลัดพรากจากบ้านเกิด 🎵 บทเพลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากของนักโทษและเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของเกาะ
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
ปัจจุบัน สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเนรเทศได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ 🏛️ หลุมฝังศพของนักโทษที่มีชื่อเสียง เช่น ชินโกโร อิคุชิมะ บนเกาะมิยาเคจิมะ ยังคงได้รับการดูแลและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
สรุป: จากเกาะนักโทษสู่สวรรค์ท่องเที่ยว
ปัจจุบัน Aogashima ได้เปลี่ยนจากเกาะนักโทษที่โดดเดี่ยวกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาไฟและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ 🌈
ประวัติศาสตร์การเนรเทศของเกาะเป็นเพียงบทหนึ่งในเรื่องราวอันยาวนานของ Aogashima แต่เป็นบทที่สำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเกาะในปัจจุบัน
การเดินทางจากเกาะนักโทษสู่สวรรค์ท่องเที่ยวของ Aogashima เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสามารถในการฟื้นตัวและการเปลี่ยนแปลงของสถานที่และผู้คน แม้จะเผชิญกับความทุกข์ยากในอดีต แต่เกาะนี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงและเติบโตจนกลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนใฝ่ฝันจะไปเยือนในปัจจุบัน 🌱
เขียนโดย The Glory Days
หากบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมกดไลก์ กดติดตาม และแชร์ต่อให้เพื่อนๆ เพื่อส่งต่อความรู้ดีๆ
© The Glory Days | ขอสงวนสิทธิ์ในการนำเนื้อหานี้ไปใช้ซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการแชร์ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา กรุณาให้เครดิตพร้อมลิงก์กลับมายังเพจต้นฉบับด้วยความเคารพ
ความรู้รอบตัว
การศึกษา
ประวัติศาสตร์
บันทึก
3
2
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย