5 พ.ค. เวลา 18:00 • ปรัชญา

ศาสนาเทวนิยมกับเพศทางเลือก: เมื่อความเชื่อสูงสุดปะทะอัตลักษณ์ส่วนบุคคล

โดย อธิปัญญา
ศาสนาเทวนิยม ซึ่งยึดถือว่ามีพระเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุดเพียงองค์เดียว เช่น ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ล้วนมีรากฐานมาจากสังคมปิตาธิปไตยที่มีระเบียบแบบแผนทางเพศอย่างเข้มงวด มนุษย์ถูกกำหนดบทบาทด้วยเพศกำเนิดตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ การเบี่ยงเบนจากเพศสภาพ “ที่ถูกต้อง” จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในทางศีลธรรม และหลายครั้งยังถูกตีตราว่าเป็น "บาป"
ในพระคัมภีร์หรือบทบัญญัติทางศาสนา เรามักพบถ้อยคำที่ใช้กล่าวถึงเพศทางเลือกอย่างรุนแรง ทั้งการ “ลงโทษ” เมืองโสโดมและโกโมราห์ในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือข้อบัญญัติชะรีอะห์ในบางประเทศที่อนุญาตให้ลงโทษประหารชีวิตผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ท่าทีเหล่านี้ไม่ใช่แค่การปฏิเสธความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นการสถาปนาอำนาจศาสนาเหนือร่างกายและอัตลักษณ์ของบุคคล
คำถามคือ ศาสนาที่อ้างว่าตั้งอยู่บนความรัก ความเมตตา และการให้อภัย เหตุใดจึงปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ที่เกิดมาพร้อมความรู้สึกแตกต่าง?
ในศตวรรษที่ 21 โลกเริ่มหันมารับฟังเสียงของผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น หลายประเทศออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิของ LGBTQ+ แม้กระทั่งภายในชุมชนศาสนาเอง เริ่มมีการตีความพระวจนะใหม่อย่างวิพากษ์ เช่น นักเทววิทยาหญิงและเควียร์ (queer theology) ที่ตั้งคำถามต่อกรอบศีลธรรมแบบชายเป็นใหญ่ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เพียงการปรับให้ศาสนา “ทันสมัย” หากแต่เป็นการท้าทายรากเหง้าแห่งอำนาจที่ใช้พระเจ้าเป็นข้ออ้างในการกดทับ
กระนั้น การเปลี่ยนแปลงไม่เคยง่าย กลุ่มอนุรักษนิยมยังคงพยายามรักษาการตีความแบบดั้งเดิมไว้ ด้วยความกลัวว่าสังคมจะ “หลุดจากศีลธรรม” หากยอมรับความหลากหลายทางเพศ สิ่งนี้สะท้อนความจริงที่ว่า ความขัดแย้งระหว่างศาสนาเทวนิยมกับเพศทางเลือก ไม่ได้อยู่ที่หลักคำสอนเพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่อำนาจในการกำหนดว่า “ใครคือมนุษย์ที่พระเจ้าทรงยอมรับได้”
ในท้ายที่สุด เราอาจต้องหันมาถามตัวเองว่า ศาสนามีไว้เพื่อรักษาอำนาจ หรือเพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากความทุกข์? และหากพระเจ้ามีแต่ความรัก เหตุใดเราจึงใช้พระนามของพระองค์เป็นเครื่องมือในการปฏิเสธคนที่แตกต่าง?
#บทความปรัชญา
#งานเขียนสังคม
โฆษณา