Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
6 พ.ค. เวลา 07:07 • หนังสือ
๓. ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช
เจิงจ้ายเรียกข่งชิวเข้ามาหา ได้กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่จึงอยากให้ลูกรีบมีครอบครัว เพื่อจะได้ให้แม่คลายความกังวลไปอีกเปราะหนึ่ง”
ข่งชิวยืนตัวตรงอย่างสุภาพ พลางกล่าวอ้างตำราว่า “อันการสมรสนั้น ถือเป็นเรื่องปกติของบุตรที่ควรปฏิบัติตามโอวาทแห่งบุพการี เพียงแต่... การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะมิรอบคอบนั้นมิได้ โบราณกล่าวไว้ว่า ‘ชายครบ ๓๐ จึงแต่ง’ ซึ่งจารีตนี้เป็นกฎที่ท่านโจวกงได้กำหนดไว้ในวิวาหพิธีมาแต่โบราณ ลูกเองจึงมิอยากละเมิดกฎนี้”
โจวกง แซ่จี มีพระนามว่าตั้น เป็นราชโอรสแห่งโจวเหวินหวัง พระองค์เคยทรงช่วยพระเชษฐา (โจวอู่หวัง) ปราบซังโจ้วหวังและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น เล่าลือกันว่า ระเบียบแบบแผนแห่งจริยาและคีตะได้ถูกร่างขึ้นโดยโจวกง
ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นเสมือนสดมภ์เอกแห่งราชวงศ์ที่ยืนยงค้ำชูความมั่นคงแห่งชาติเสมอมา โดยเฉพาะเมื่อโจวอู่หวังเสด็จสวรรคตแล้ว ในครั้งกระนั้น พระยุวกษัตริย์ โจวเฉิงหวัง (จี้ทง) ยังทรงพระเยาว์ โจวกงมิอาจวางพระทัย ด้วยมาตรว่าพระองค์จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ไปกินเมืองที่แคว้นหลู่แล้วก็ตาม โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งโอกาสที่จะเสวยสุขเป็นเจ้าแคว้นที่เมืองหลู่ และอยู่ช่วยสำเร็จราชการที่ราชธานีห่าวจิงแทน
ในเบื้องต้น ทุกคนต่างสงสัยว่าโจวกงจะคิดกบฏโค่นราชบังลังก์ ดังนั้นข่าวลือต่าง ๆ ที่ทำลายพระเกียรติยศจึงเกิดขึ้นจนกระทบกระเทือนถึงโจวกงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ครั้นโจวเฉิงหวังทรงเจริญวัยและสามารถออกว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกคนจึงสิ้นสงสัยในโจวกง และต่างยกย่องสรรเสริญในความจงรักภักดีของโจวกงโดยทั่วกัน
โจวกงคือบุรุษที่ข่งชิวให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ในดวงใจของข่งชิวจึงเห็นโจวกงเป็นสัตบุรุษที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งคุณธรรมความสามารถเสมอมา ดังนั้นข่งชิวจึงยกย่องให้โจวกงเป็นครูบาอาจารย์ของตนไปโดยปริยาย และนี่จึงเป็นเหตุที่ข่งชิวได้ยกเอากฎระเบียบของโจวกงมาอ้างแก่มารดา
แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงกล่าวกับลูกว่า “ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า ‘อดีตเป็นครูแห่งอนาคต’ ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร”
ข่งชิวเป็นผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้ดีว่ามารดาต้องตรากตรำลำบากกับตนเสมอมา ดังนั้นจึงคิดแต่จะทดแทนพระคุณของมารดาอยู่ทุกขณะ โดยจะไม่ยอมให้มารดาต้องเดือดร้อนอนาทรแต่อย่างใด จึงพูดกับมารดาว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านแม่เช่นนี้ ก็ขอให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจให้ด้วยเถิด”
ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็รู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่ง จึงรีบติดต่อแม่สื่อให้ช่วยเสาะหากุลสตรีที่เหมาะสม กระทั่งได้พบฉีกวนซื่อชาวเมืองซ่ง สตรีผู้มีพร้อมด้วยคุณธรรม โวหาร โฉมพักตร์และความสามารถ ทั้งสองครอบครัวจึงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด ได้ทราบในภายหลังว่าฉีกวนซื่อมีอายุที่เท่ากับข่งชิวพอดี อีกทั้งยังมีดวงที่สมพงษ์กันอีกด้วย ดังนั้นจึงทำการหมั้นหมายและจัดหาวิวาห์ฤกษ์ในทันที
หลังจากข่งชิวได้แต่งงานแล้ว ทั้งครอบครัวน้อยใหญ่ต่างอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ทว่า ข่งชิวเป็นคนที่มีความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ที่จะรับใช้ประเทศชาติอย่างแรงกล้า ด้วยความรู้ความสามารถที่มี ไฉนจะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอย่างไร้คุณค่าได้ โดยเฉพาะที่ทุกครั้งได้รำลึกถึงคำสั่งเสียของคุณตาว่า ‘๓ กษัตริย์ ๕ ราชันได้ทรงปราบกบฏ ทรงพิทักษ์ชาติราษฎรโดยยึดถือความยุติธรรมต่อปวงชนเป็นเอกหมาย’ คำเหล่านี้ยังคงก้องอยู่ริมหูมิรู้คลาย ข่งชิวจึงมีความตั้งใจจะอุทิศกายรับใช้ชาติบ้านเมืองในเร็ววัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข่งชิวคิดแต่จะคบหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เพื่อร่วมกันผดุงความยุติธรรมให้ปรากฏบนแผ่นดิน และถวายความรู้ความสามารถของตนเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะในสมัยนั้นยังมิได้ดำเนินระบบการบริหารคัดสรรปราชญ์โดยการสอบคัดเลือก ฉะนั้น ตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกผูกขาดโดยลูกหลานเรื่อยมา
แต่สำหรับบิดาของข่งชิวเอง แม้นจะเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองโจวอี้ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ไพเราะแค่เปลือกนอกโดยหาได้มีอำนาจทางการปกครองไม่ โดยเฉพาะสูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรมเมื่อตอนข่งชิวอายุเพียง ๓ ขวบเท่านั้น ด้วยสภาพสังคมอันโหดร้าย พวกเหล่าขุนนางอภิชนจึงลืมเขาไปจนหมดสิ้น
ในยามที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องตลาด มักจะได้เห็นพฤติกรรมการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบของเหล่าพ่อค้าวาณิชอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งกระตุ้นให้ข่งชิวรู้สึกอัดอั้นใจเป็นอย่างยิ่ง
“หากสภาพสังคมยังเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยน อนาคตของเมืองหลู่จะไปอยู่ที่ไหน ?” ข่งชิวคิดด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียวและเดินกลับบ้านด้วยความหนักใจ
นับแต่นั้น ข่งชิวเริ่มนอนไม่หลับ เพราะข่งชิวกำลังวาดภาพแผนงานที่จะกอบกู้ความเกรียงไกรให้แก่เมืองหลู่ขึ้น เช่น ผลักดันคุณธรรม ปกครองด้วยจริยา การประกาศใช้กฎหมาย หยุดเหล่าทรชน เช่นนี้ก็จะทำให้มิเกิดโจรผู้ร้าย พ่อค้าวาณิชจะมิโลภมากเที่ยวหลอกลวง จนส่งผลให้ปวงชนอยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด แล้วจากนั้นจึงค่อยผลักดันไปสู่รัฐน้อยใหญ่ด้วยศักยภาพการปกครองของเมืองหลู่ จนที่สุดคือการกอบกู้ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว และยังสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน
ข่งชิวรู้ดีว่ามันเป็นเป้าหมายที่กว้างเกินไป ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี ? ในตอนนี้ข่งชิวยังมิอาจพบหนทางที่ตนมั่นใจได้ จึงได้แต่ให้กำลังใจตนว่า “อย่ายอมแพ้ สู้ชีวิตต่อไปเถอะ !”
ในสมัยนั้น เจ้าเมืองหลู่หวนกงทรงอภิเษกสมรสกับเหวินเจียง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของเจ้าเมืองฉี คือฉีเซียงกง แต่เหวินเจียงได้ทรงแอบสมโยคกับฉีเซียงกงมาก่อนโดยที่หลู่หวนกงหาได้ทรงทราบไม่
เมื่อ ๖๙๓ ปีก่อนคริสตศักราช วสันตฤดู หลู่หวนกงเสด็จเยือนเมืองฉีโดยมีเหวินเจียงตามเสด็จ ในครั้งกระนั้น เหวินเจียงทรงแอบสมโยคกับฉีเซียงกงอีก จนที่สุดก็ความแตก ฉีเซียงกงจึงทรงสั่งให้ทหารลอบปลงพระชนม์หลู่หวนกง ดังนั้นบุตรที่เกิดแต่พระสนมเอกนามว่าจีถงจึงขึ้นสืบตำแหน่งเจ้าเมืองแทน โดยมีพระนามว่าหลู่จวงกง
หลู่จวงกงทรงมีพี่น้องอยู่ ๓ พระองค์ พระเชษฐาที่เกิดแต่พระสนมโทมีพระนามว่าชิ่งฟู่ พระอนุชาที่เกิดแต่พระสนมโทมีพระนามว่าสูหยา ส่วนพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกพระองค์หนึ่งมีพระนามว่าจี้หยิ่ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง ดังนั้นจึงต่างมีอำนาจอยู่พอสมควร
หลังจากเจ้าเมืองหลู่จวงกงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้มี หมิ่นกง หลีกง เหวินกง เซวียนกง เฉินกงขึ้นสืบตำแหน่งการบริหารตามลำดับ ตราบจนหลู่เซียงกงสวรรคตเมื่อตอน ๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เจากงจึงสืบราชสมบัติแทน และด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจเรื่อยมาของรัฐหลู่ อนุชนเชื้อสายของชิ่งฟู สูหยา และจี้หยิ่วจึงได้ขยายอิทธิพลมากยิ่งขึ้น โดยต่างมีชื่อว่า เมิ่งซุนซื่อ สูซุนซื่อ และจี้ซุนซื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้ขนานนาม ๓ ตระกูลนี้ว่า “ ๓ อิทธิพล”
ในสมัย ๕๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช รัฐหลู่ถูกผูกขาดอำนาจบริหารโดย ๓ ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลนี้ โดยผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งรัฐหลู่คือ จี้ซุนอี้หยู จี้ซุนอี้หยูได้ทำการแบ่งอำนาจการทหารเป็น ๒ ส่วน โดยตนครอบครองอำนาจการทหารไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนอำนาจการทหารอีกส่วนหนึ่งก็ปันให้สองตระกูลคือสูซุนเฉิงจื่อและเมิ่งสีจื่อดูแล ขณะเดียวกัน เขายังได้แบ่งประชากรและดินแดนของรัฐหลู่ออกเป็น ๔ ส่วน ตัวเขาครอบครอง ๒ ส่วน และให้ตระกูลสูซุนและตระกูลเมิ่งซุนครอบครองตระกูลละส่วน
ด้วยการกระทำเช่นนี้ มิเพียงแต่ได้แขวนเจ้าเมืองจนสิ้นอำนาจเท่านั้น หากยังได้ทอนกำลังอำนาจของ ๒ ตระกูลจนลดน้อยลงไปอีกด้วย ดังนั้นทั้งสามตระกูลจึงคอยหักเหลี่ยมหักคม จนทำให้รัฐหลู่เคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำและมีแต่เสื่อมถอยลงทุกที
ครั้นข่งชิวได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ อารมณ์ก็อัดแน่นในทรวงอกจนอยากจะเป็นขุนศึกที่แผ่สิงหนาทเข้าฟาดฟันศัตรูในสนามรบให้สิ้นซาก เพื่อกอบกู้ความเสื่อมทรามของชาติให้กลับสู่ความชัชวาลอีกวาระหนึ่ง แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องแอบยิ้มในความไร้เดียงสาและความอ่อนหัดของตนเสมอไป
ในมโนภาพของข่งชิวเต็มไปด้วยความฝัน เขารู้ดีว่าการใหญ่ทั้งปวงจักต้องเริ่มจากรากฐานเป็นสำคัญ และด้วยการไตร่ตรองเป็นระยะเวลานาน ข่งชิวจึงเริ่มออกเผยแพร่อุดมการณ์ของตนกับเหล่าธีระผู้รักชาติในเมืองหลู่
วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องถนน เขาได้ยินผู้คนสนทนาโดยบังเอิญว่า “ท่านอุปราชจะรับปราชญ์อีกแล้ว” “เห็นได้ไฉน ?” “ก็ท่านอุปราชกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับบัณฑิตกันอุตลุตเลยนะสิ” “ก็อีแค่ผักชีโรยหน้าละกระมัง” “แต่อาจจะจริงใจก็ได้นะ”…
สำหรับข่าวลือนี้ ข่งชิวเคยได้ยินมาอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเท่านั้น แต่เมื่อมีการร่ำลือกันอย่างหนาหูเช่นนี้ ข่งชิวจึงมั่นใจว่ามิใช่ข่าวลือเสียแล้ว ในวันนั้นจึงเดินทอดหุ่ยกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม
สายธารแห่งเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า ในที่สุด วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในเช้าตรู่ของวันนั้น ข่งชิวได้แต่งกายภูมิฐานและมุ่งหน้าเดินไปที่จวนอุปราชด้วยสีหน้าอันสดใส ท่ามกลางสายรุ้งที่ลอยพาดขอบฟ้าอย่างตระการตา
จวนอุปราชเป็นอาคารที่ก่อสร้างรายล้อมด้วยกำแพงสูงทะมึน ตัวเรือนสูงตระหง่านอย่างวิจิตรท่ามกลางนิคมเมือง และที่ประตูทางเข้า มีเหล่าบัณฑิตนักศึกษาแต่งตัวเต็มยศด้วยสีเขียวแดงเข้าออกขวักไขว่ ดูเขาเหล่านั้นช่างภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เบื้องหน้าประตูทางเข้าได้มีชายร่างใหญ่อายุประมาณ ๓๐ กว่า แต่งกายชุดโปร่งสีน้ำเงินเทา หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิง ใบหน้ากลมดิก สีหน้าเดี๋ยวห่อไหล่ยิ้มประจบ อีกเดี๋ยวก็ขึงขังแยกเขี้ยว ตามแต่บุคคลที่เดินเข้าออก
ข่งชิวได้เห็นภาพนี้แต่ไกล ทำให้อดหนาวสะท้านทั่วสรรพางค์กายเสียมิได้ ในใจพลางคิดว่า “ช่างเป็นคนถ่อยสองหน้าเสียจริง ๆ” และครั้นได้เดินเข้าใกล้สังเกตดู “นั่น… นั่นมิใช่พ่อบ้านหยางหู่ของอุปราชจี้ผิงจื่อหรอกหรือ ?”
คน ๆ นั้นคือหยางหู่มิผิด ในยุคสมัยชุนชิว ตำแหน่งขุนนางของเหล่าเจ้าแคว้นล้วนถูกแต่งตั้งโดยระบบการตกทอด หากแต่พ่อบ้านของเหล่าขุนนางจะไม่สืบทอดโดยระบบอภิสิทธิ์ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดยขุนนางให้มีตำแหน่งเป็น โหย่วจ่าย ซือถู ซือหม่าต่าง ๆ และตำแหน่งเหล่านี้รวมเรียกว่าพ่อบ้าน
ครั้นข่งชิวได้เห็นใบหน้าที่ประจบชวนอาเจียนของหยางหู่ ฝีเท้าก็เริ่มชะลอช้าลง ในตอนนั้นข่งชิวเริ่มลังเลและคิดจะถอยกลับ แต่แล้วข่งชิวก็ต้องเปลี่ยนใจ
“เพื่อเมืองหลู่ เพื่ออาณาประชาราษฎร์ เพื่อเกียรติแห่งบรรพชน เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ให้จงได้” ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ยืดอกมุ่งหน้าไปสู่จวนอุปราชอย่างองอาจ หลักจากถึงเชิงบันไดหิน ข่งชิวได้ประสานมือคารวะทักทาย แต่หยางหู่หาได้ใส่ใจไม่ หากยังอัดเสียงทางจมูกอย่างดูถูกดูแคลนว่า “เจ้าคือใคร ? มาที่นี่ทำอะไร ?”
ข่งชิวก้มศีรษะลงต่ำเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความสุภาพตามประสาบัณฑิตว่า “ข้าน้อยชื่อข่งชิว ได้ทราบว่าท่านอุปราชกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าบัณฑิตทั่วพิภพ…”
“ฮ่า…” เสียงหัวเราะเหยียดหยามดังสนั่นอย่างน่าสยองของหยางหู่ดังขึ้น “ท่านอุปราชเชิญแต่ปราชญ์บัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าก็เพียงแค่นักศึกษาจน ๆ ก็อยากจะมาร่วมครื้นเครงในงานอันทรงเกียรตินี้ด้วยรึ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง ๆ”
ครั้นข่งชิวถูกวาจาลบหลู่ก็ได้สติขึ้นมามากมาย เขาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองหยางหู่ ด้วยหมายจะเข้าปะทะคารมให้สิ้นอาย
หยางหู่รู้เจตนาของข่งชิวดี จึงไม่คอยให้ข่งชิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากและชิงสะบัดแขนเสื้อขับไล่ พลางกระโชกด้วยเสียงอันดังว่า “ยังไม่รีบถอยออกไปอีก ! มัวเกะกะที่นี่อยู่ได้ !”
ข่งชิวเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังเป็นคนที่สุภาพถ่อมตน ครั้นถูกเหยียดหยามเช่นนี้จึงรู้สึกอับอายจนอยากจะหาที่หลบซ่อนตัวในทันใด อีกด้วยเพราะไม่อยากจะลดตัวมาต่อคำกับคนถ่อยสองหน้าเยี่ยงหยางหู่ ดังนั้นจึงได้แต่เดินกลับบ้านไปด้วยอารมณ์อันห่อเหี่ยว
แม้นจะถูกปรามาสเหยียดหยามที่จวนอุปราช แต่ข่งชิวก็หาได้ท้อแท้ไม่ หากกลับยิ่งมีความเข้าใจต่อสัจธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ หนทางแห่งชีวิตจะเต็มไปด้วยความคดเคี้ยวและกันดาร จะมีเพียงความอดทนต่อการเคี่ยวหลอมนี้เท่านั้นจึงจะสามารถสรรค์สร้างการใหญ่ให้เกรียงไกรได้ ฉะนั้นข่งชิวจึงยิ่งมานะอดทนในการเรียนรู้ ๖ วิทยามากยิ่งขึ้น เพราะข่งชิวตระหนักดีถึงคุณค่าของเวลา
ในเวลานี้ ข่งชิวนอกจากจะเคร่งศึกษาจริยศาสตร์ คีตศาสตร์และนิรุกติศาสตร์แล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังฝึกปรือการยิงธนูและการขับบังคับรถม้าอีกด้วย ในสถานที่ ๆ ห่างจากตัวบ้านของข่งชิวไปไม่ไกล มีสนามฝึกยิงธนู เจวี๋ยเซี่ยงผู่ ที่ผู้คนมักใช้เป็นสนามฝึกซ้อมฝีมืออยู่เป็นประจำ ซึ่งข่งชิวก็ใช้เวลาฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ด้วยความมานะพยายาม วิชาธนูของข่งชิวจึงเริ่มพัฒนาจนสามารถยิงธนูทั้ง ๕ วิธีได้อย่างช่ำชอง และทุกครั้งที่ข่งชิวไปฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ผู้คนก็จะเบียดเสียดชมกันอย่างเนืองแน่น
ในเวลานั้น ความรอบรู้สารพันของข่งชิวได้เริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว และก็เริ่มมีผู้คนมาฝากตัวขอเรียนวิชามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
วันหนึ่ง เทศกาลการบูชาบรรพชนประจำปีที่วัดหลวงได้จัดขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันที่พิธีบูชาจะเริ่มต้น ผู้คนก็มายืนเบียดเสียดจนแน่นประตูวัดหลวงไปเสียแล้ว ในหมู่นั้นได้มีข่งชิวที่ยืนเบียดจ้องอย่างมิกะพริบตารวมอยู่ด้วย
ครั้นได้ควรแก่ลัคนาฤกษ์ เสียงกลองระฆังก็พร้อมสนั่น ในตอนนั้น พิธีกรประธานได้ป่าวประกาศนำพิธีกรสนาม คือหลู่เจากง พร้อมด้วยลูกขบวนทั้งฝ่ายดนตรีและฝ่ายรำก้าวเข้าสู่มณฑลพิธี มณฑลพิธีที่ว่านี้เป็นลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าศาลบรรพบุรุษโจวกง โดยจะมีระยะยาวจากทิศบูรพาไปปัจฉิม และมีระยะแคบจากทิศอุดรไปทักษิณ ปริมณฑลแห่งนั้นล้วนปูลาดด้วยหินตัดรูปสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่อย่างเป็นระเบียบ
หลังจากพิธีกรประธานได้หลั่งมัชธาราและอ่านบทสดุดีพระเกียรติคุณของท่านโจวกงจบ ได้ทำความเคารพด้วยเกียรติพิธีระดับสูงแล้วจึงก้าวถอยลงจากมณฑลพิธี ในตอนนั้น ลูกขบวนฝ่ายดนตรีที่ถือเครื่องดนตรีอย่างพร้อมสรรพก็เคลื่อนเข้าสู่ชายคาหน้าศาลบรรพบุรุษ โดยจัดเป็นขบวน ๖ จัตุรัส รวมทั้งสิ้น ๓๖ คน มือซ้ายของแต่ละคนถือขนไก่ฟ้า มือขวาถือขลุ่ย
ทุกคนเริ่มร่ายรำภายใต้เสียงเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ทำจากโลหะ หิน ดิน ไหม ไผ่ ไม้ หนัง น้ำเต้าเป็นอาทิ โดยบรรยากาศการร่ายรำเต็มไปด้วยความสง่า ท่วงท่าสุขุม ลีลาพลิ้วพราย จนผู้ชมล้วนเคลิบเคลิ้มไปตามทำนอง ข่งชิวก็จ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนมือไม้เริ่มร่ายรำไปตามจังหวะและคลอเพลงแผ่วเบาเสมือนคนที่ต้องมนตร์จนหลงใหลแลตกอยู่ในภวังค์
ในทันใด เสียงดนตรีได้หยุดลงจนทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน ลูกขบวนต่างถอยลงจากสนามพิธีอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยเสียงอันกังวานจากพิธีกรประธานว่า “จบพิธี”
แต่ในโสตประสาทของข่งชิวยังคงติดตรึงภาพและเสียงของขบวนพิธีอยู่มิคลาย ข่งชิวยังไม่อยากจะจากลา จึงรีบเข้าไปถามไถ่พิธีกรประธานท่านนั้นว่า “ขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ ไฉนพิธีเมื่อสักครู่จึงใช้ฉกสังคีต ?”
พิธีกรท่านนั้นเป็นชายวัยราว ๕๐ กว่า มีรูปร่างอันสมส่วน หน้าตาขาวผ่อง มีหนวดและจอนยาวพลิ้วสยาย ดูแล้วสง่าน่านับถือ ครั้นชายชราได้เห็นข่งชิวเดินเข้ามาถาม จึงเพ่งมองข่งชิวอย่างพิเคราะห์พลางกล่าวด้วยลีลาสุขุมว่า “อัฏฐสังคีตจะใช้เฉพาะแต่องค์พระจักรพรรดิ ส่วนฉกสังคีตจะใช้กับเหล่าเจ้าแคว้นของแต่ละนครรัฐ โจวกงได้ทรงรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กินเมืองหลู่ จึงถือว่าเป็นเจ้านคร ดังนั้นจึงควรใช้ฉกสังคีตในพิธีบูชา”
ข่งชิวกล่าวว่า “ตามหลักแล้ว โจวกงได้ถวายความจงรักภักดีจนโจวอู่หวังทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติได้สำเร็จ ทั้งยังทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์จนร่มเย็นเป็นสุข แล้วไฉนจึงไม่ใช้อัฏฐสังคีตล่ะ ?”
ชายชรากล่าวว่า “มาตรว่าโจวกงจะทรงมีคุณความดีเทียมดินฟ้าก็จริง แต่หากมิได้เป็นกษัตริย์ อย่างไรก็มิอาจใช้อัฏฐสังคีตได้อย่างเด็ดขาด และแม้นโจวเฉิงหวังจะเคยรับสั่งถึงคุณความดีที่โจวกงได้ทรงมีต่อประเทศชาติ และยังเคยทรงมีพระราชานุญาตให้โจวกงใช้อัฏฐสังคีตได้ก็ตาม แต่โจวกงทรงเห็นว่าเป็นการผิดต่อข้อบัญญัติแห่งจริยา ดังนั้นจึงยืนกรานปฏิเสธการใช้พิธีนี้เสมอมา ด้วยเหตุนี้ การไม่ใช้พิธีอัฏฐสังคีตจึงสอดคล้องต่อเจตนาจริยาแห่งโจวกงแล้ว”
ข่งชิวได้ไต่ถามข้อกังขาที่มีต่อพิธีบูชาอีกมากมาย พิธีกรท่านนั้นล้วนตอบคำถามอย่างละเอียดด้วยความอดทน ครั้นจบคำถาม ข่งชิวได้โค้งคารวะว่า “ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ข้าน้อยขอรบกวนแต่เพียงเท่านี้” ครั้นแล้วก็หันหลังเดินกลับไปอย่างสุภาพ
ชายชรารู้สึกชื่นชมในความใฝ่ศึกษาของข่งชิว จึงยืนส่งข่งชิวเดินกลับไปจนลับสายตา
ข่งชิวเดินออกจากอารามหลวงด้วยอารมณ์อันสุนทรีย์ แต่เขายังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ จึงเดินเลียบไปตามถนนใหญ่จนถึงสี่แยก ข่งชิวกวาดสายตาไปทางทิศอุดร เห็นแท่นดินที่ตั้งอยู่บนทุ่งกว้างที่ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณนั้นร่มรื่นด้วยทิวสน ทุ่งหญ้าปลิวพลิ้วไปตามกระแสคลื่นแห่งสายลม ข่งชิวสาวเท้าก้าวมุ่งไปที่แท่นดินแห่งนั้น จำได้ว่านี่คือแท่นคอยพ่อแห่งป๋อฉิน
ป๋อฉินคือพระโอรสองค์โตของโจวกง ทรงเป็นเจ้าเมืองพระองค์แรกของรัฐหลู่ ในตอนนั้นข่งชิวได้เดินวนแท่นดินหนึ่งรอบ ได้เห็นแท่นดินแห่งนั้นถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกอวัชพืช แม้นแท่นดินแห่งนี้จะไม่เป็นที่สะดุดตาของคนทั่วไป แต่มันก็ได้สะกิดอารมณ์ความรู้สึกที่โหยหาบิดาของป๋อฉินในมโนภาพของข่งชิวขึ้น
ป๋อฉินได้ทรงสร้างแท่นดินแห่งนี้เพื่อบ่ายหน้าไปทางวังหลวง ณ ทิศประจิม เพื่อเป็นการคลายความเจ็บปวดจากความคิดถึงที่ทรงมีต่อพระบิดา แต่บัดนี้เจ้าเมืองหลู่ที่เป็นอนุชนของโจวกงกลับลืมบรรพบุรุษไปเสียสิ้น ความเสื่อมโทรมแห่งแคว้นหลู่จึงสามารถเห็นได้จากจุดนี้อย่างมิอาจปิดบัง เพราะแม้แต่พิธีอย่างนี้ยังเป็นที่ลืมเลือน แล้วยังจะมีคุณค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า ?
หลังกลับถึงบ้าน ข่งชิวยังคงมุ่งมั่นในปณิธาน และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ๖ วิทยาต่อไป แต่เขาก็หาได้รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในปัจจุบันไม่ ข่งชิวจึงยิ่งมานะเล่าเรียน ๖ วิทยาต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
แต่นั้นไม่นาน เรื่องประหลาดขนาดที่ข่งชิวคาดคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือหลังจากข่งชิวได้กลับจากพิธีบูชาโจวกงที่วัดหลวงแล้ว ชาวเมืองหลู่น้อยใหญ่ต่างร่ำลือเรื่องข่งชิวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ได้วิจารณ์ข่งชิวว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย
วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวกำลังฝึกปรือวิชาธนูกับบรรดาสหายที่สนามเจวี๋ยเซี่ยงผู่ ได้มีมาณพคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของข่งชิวว่า “ข่งชิว ทุกคนต่างลือเรื่องเจ้าใหญ่เลย”
ข่งชิวถามด้วยความประหลาดใจว่า “ลือข้าว่าอย่างไรหรือ ?”
“พวกเขาลือว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไปที่วัดหลวงแล้วยังต้องซักไซร้เรื่องพิธีบูชาอยู่อีก”
“แล้วพวกเขายังว่าอย่างไรอีก ?”
“พวกเขาว่าเจ้าไม่มีความรู้เลยสักนิด”
ครั้นข่งชิวได้ฟังก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด คนเราควรคล่องแคล่วใฝ่ศึกษา ไม่ละอายในการไต่ถามผู้ที่มีความรู้ด้อยกว่า ข้าคิดว่าในโลกนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย สามคนร่วมเดินก็ยังต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถเป็นครูของเราได้อย่างแน่นอน มาตรว่าเราจะมีอัจฉริยภาพจนมิมีใครเทียมได้ก็จริง แต่ก็ยังคงต้องมีความถ่อมตนในการศึกษาวิชา เพราะขอบเขตความรู้ไม่มีที่สิ้น การศึกษาจึงไม่ควรมีการหยุดด้วยเช่นกัน”
มาณพคนนั้นฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย จึงได้พยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่ ส่วนชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังคงทยอยมาฟังคำปราศรัยของข่งชิวอย่างคับคั่งตามเดิม
กาลนทีว่องไวดุจกระสวยแล่น เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีก ๑ ปี ซึ่งตอนนั้นข่งชิวมีอายุได้ ๑๙ ปีแล้ว ส่วนชื่อเสียงของท่านก็เริ่มโด่งดังจนสะพัดไปทั่วรัฐหลู่น้อยใหญ่
เช้าวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีออกขุนนางเช้า หลู่เจากงได้มีรับสั่งให้เรียกจี้ผิงจื่อ สูซุนเฉิงจื่อและเมิ่งสีจื่อเข้าเฝ้า ได้ตรัสขึ้นอย่างสราญพระทัยว่า “ท่านเสนาทั้ง ๓ ข้าได้ทราบมาว่า บุตรชายของสูเหลียงเฮ่อที่โจวอี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่ง มิทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร ?”
1
จี้ผิงจื่อเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยและชอบมองคนด้วยหางตา ส่วนสูซุนเฉิงจื่อเป็นบุคคลที่มีรูปร่างปานกลาง หน้าตาแห้งตอบ เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนต่างจ้องมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
แววพระเนตรอันกระหายคำตอบของหลู่เจากงยังคงสอดส่ายไปมาที่บุคคลทั้งสองอยู่มิขาด
เมิ่งสีจื่อทูลขึ้นว่า “กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ยังมิได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงยังมิกล้าด่วนสรุปเร็วไปนัก”
หลู่เจากงตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองเรียกตัวเข้าวังสักครา หากว่าเป็นจริงตามที่ร่ำลือก็จะได้มอบหมายตำแหน่งราชการให้”
ครั้นจี้ผิงจื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ส่วนสูซุนเฉิงจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเลย
เมิ่งสีจื่อทูลว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็จะให้คนไปเบิกตัวข่งชิวมาเข้าเฝ้าในทันที”
ในตอนนั้นข่งชิวกำลังท่องซือจิง อยู่ในบ้าน ข่งชิวจะชอบซือจิงมากเป็นพิเศษ เพราะซือจิงเป็นบทเพลงพื้นบ้านที่งามพร้อมด้วยอักขระและอรรถรสอันสุนทรีย์
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ความคิด ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉีกวนซื่อจึงรีบไปเปิดประตู ครั้นเห็นเป็นทูตหลวงมือไม้ก็สั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก
ข่งชิวรีบแต่งอาภรณ์และรับรองทูตหลวงเข้าในบ้าน
ทูตมิได้อ้อมค้อมมากพิธี ได้กล่าวถึงจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าวังร่วมปรึกษาราชการโดยด่วน”
ครั้นข่งชิวได้ฟังก็รู้สึกปีติยินดียิ่ง จึงได้ตามทูตหลวงเข้าวังโดยมิทันได้บอกกล่าวให้มารดาและภรรยาทราบ
วังหลวงเมืองหลู่ดูโอ่อ่าอลังการ ประดับกระบวรด้วยศิลปะโบราณดูงามตา ทั้งปริมณฑลมีอาคารสูงต่ำที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน แม้นข่งชิวจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าสู่ตำหนักรโหฐานส่วนพระองค์ ข่งชิวจึงอดที่จะใจเต้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเสียมิได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามทูตหลวงอยู่ห่าง ๆ
ครั้นถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบคุกเข่าถวายพระพร พระพักตร์ของหลู่เจากงเต็มไปด้วยความปีติยินดี ทรงอนุญาตให้ข่งชิวนั่งสนทนาได้ ข่งชิวกลั้นลมหายใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท” จากนั้นจึงพับแขนเสื้อและเดินสู่ที่นั่งชั้นสูงที่ตั้งอยู่ด้านข้างพระที่นั่ง
หลู่เจากงตรัสว่า “ข่งชิว ข้าได้ทราบมาว่า ท่านมีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาทุกแขนง ข้าจึงอยากฟังทัศนะการปกครองจากท่านสักหน่อย”
ข่งชิวลุกขึ้นจากที่นั่งและคุกเข่าลงกราบทูลว่า “กระหม่อมเป็นเพียงปุถุชนคนสามัญ จึงมิกล้าแสดงถ้อยความเห็นอันต้อยต่ำพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เจากงตรัสว่า “ลุกขึ้นก่อน”
ข่งชิวเพ็ดทูลว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลู่เจากงตรัสถามว่า “แก่นการปกครองแห่ง ๓ กษัตริย์ ๕ ราชันคืออะไร ?”
ข่งชิวทูลว่า “ความเสมอภาคเพื่อมวลประชา”
“ผลงานหลักของท่านโจวกงคืออะไร ?”
“กำหนดแบบแผนจริยาและคีตะ”
“ตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมืองฉีเข้มแข็งอุกอาจ เมืองหลู่อ่อนล้าโรยแรง ข้ามีประสงค์จะกอบกู้ความเข้มแข็งให้เมืองหลู่เหนือเมืองฉี แต่ควรใช้วิธีเช่นใดดี ?”
ข่งชิวก้มหน้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทูลตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตามความเห็นของกระหม่อมนั้น หากเมืองหลู่ประสงค์จะเข้มแข็งขึ้นมา ควรเริ่มจากการฟื้นฟูธรรมครรลองแห่งราชวงศ์โจว ดำเนินการปกครองด้วยเมตตาธรรม ใส่ใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นำพาเหล่าพสกนิกรด้วยคุณธรรมความดี และรณรงค์ให้ทั้งหมดอยู่ในกรอบแห่งจริยาเป็นเบื้องต้น
โดยเฉพาะเหล่าขุนนางราชบุรุษทั้งปวงจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่าง ด้วยฉะนี้ หากมีคำสั่งทุกคนก็จะปฏิบัติตาม หากมีข้อห้ามทุกคนก็จะงดเว้น และการที่จะทำเช่นนี้ได้ ก็ควรรู้จักเลือกใช้คนดีเป็นสำคัญ แต่งตั้งเหล่าธีระที่ถูกหลงลืมขึ้นดำรงตำแหน่ง ฉะนี้ก็จะทำให้บุคลากรในราชสำนักกอปรด้วยคุณธรรมความสามารถ ยามนั้นก็มิต้องกังวลว่าเมืองหลู่จะด้อยกว่าเมืองฉีอีกเลย ?”
ครั้นหลู่เจากงได้ทรงสดับก็ปีติยินดียิ่ง จึงตรัสชมขึ้นว่า “ท่านฟูจื่อเป็นอริยชนโดยแท้ มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีประสงค์จะอยู่รับราชการเพื่อเสนอความเห็นต่อข้าสืบไปหรือไม่ ?”
นี่มิใช่เป็นโอกาสงามที่จะประกาศศักดาและอุดมการณ์ของตนหรอกหรือ ? เพียงแต่มันมาอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้ข่งชิวรู้สึกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทัน
ครานั้น จี้ผิงจื่อผู้มีรูปร่างม่อต้อและมีจิตใจริษยาเป็นอุปนิสัย ครั้นได้เห็นความปรีชาสามารถระดับปกครองใต้หล้าได้ของข่งชิว ทั้งยังได้ยินหลู่เจากงรับสั่งว่าจะประทานตำแหน่งหน้าที่ให้แก่ข่งชิวในทันใดอีกด้วยแล้ว
จี้ผิงจื่อจึงรีบฉวยโอกาสที่ข่งชิวยังมิทันตั้งตัว ชิงกราบทูลก่อนว่า “ฝ่าบาท ข่งชิวมีความรู้ความสามารถด้วยวัยวุฒิเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพียงแต่การรับราชการประทานบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องใหญ่แห่งบ้านเมือง จึงต้องตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินพระทัย เพื่อประโยชน์สุขจะได้เกิดขึ้นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์พ่ะย่ะค่ะ”
แม้นหลู่เจากงจะทรงทราบดีว่าจี้ผิงจื่อมีใจริษยา แต่ก็ติดอยู่ที่จี้ผิงจื่อเป็นอุปราชผู้มีอำนาจราชศักดิ์ อีกทั้งยังมีสูซุนเฉิงจื่อและเมิ่งสีจื่อร่วมอยู่ในเหตุการณ์อีกประการหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงไม่อยากโต้แย้งจนเกิดข้อบาดหมางโดยไม่จำเป็น กอปรกับพระองค์ยังไม่รู้จักข่งชิวดีพอ หากจะอาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำมาตัดสินประทานตำแหน่งราชการให้ ขุนนางน้อยใหญ่อาจจะไม่ยอมรับได้ จึงตรัสขึ้นว่า “คำพูดของท่านอุปราชนั้นชอบแล้ว ข้าควรต้องตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน”
ข่งชิวได้ยินกิตติศัพพ์ของ ๓ อิทธิพลนี้มาพอสมควร รู้ว่าจี้ผิงจื่อเป็นคนยะโสโอหัง ได้กระทำการรวบอำนาจการบริหารบ้านเมืองไว้โดยอหังการ ส่วนสูซุนเฉิงจื่อจะเป็นคนโลเลไม่เด็ดขาด จึงมักจะโอนเอียงไปมาท่ามกลางตระกูลทั้งสอง ส่วนเมิ่งสีจื่อเป็นคนซื่อไร้กลเหลี่ยม ไม่มีความมานะในการศึกษาเล่าเรียน วิชาความรู้จึงดาด ๆ จนไม่สามารถบริหารราชการให้เข้มเข็ง อำนาจจึงมีน้อยที่สุดใน ๓ ตระกูล
ในสายตาของข่งชิวตอนนี้เต็มไปด้วยแววตาที่ดูถูก เสียดายและแค้นใจระคนกัน ข่งชิวรู้สึกดูถูกพวกเหล่าขุนนางที่เอาแต่ละโมบบ้าอำนาจ ใช้แต่เล่ห์เหลี่ยมกลโกงโดยไม่นำพาในทุกข์สุขของประชาชน และรู้สึกเสียดายที่อำนาจทั้งหมดของเมืองหลู่ต้องตกอยู่กับทรชนทั้งสาม บ้านเมืองจึงมีแต่ความผุกร่อนลงทุกวัน
แต่ข่งชิวก็ยังรู้สึกแค้นใจที่ฟ้าได้ปล่อยให้คนต่ำทรามเหล่านี้มาบริหารบ้านเมืองอย่างอยุติธรรม โดยเฉพาะคือจี้ผิงจื่อคนนี้ ข่งชิวอยากจะลุกขึ้นยืนปะคารมเพื่อฉีกหน้ากากอันอัปลักษณ์และตำหนิพฤติกรรมอันต่ำช้าสามานย์ของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่า ข่งชิวคือผู้ที่มีการศึกษามาอย่างดี ดังนั้นจึงกลืนคำพูดที่แทบจะหลุดออกมาและฝืนยิ้มขึ้นว่า “ข่งชิวด้อยความสามารถ ความรู้ตื้นเขิน จึงขอให้ฝ่าบาทและใต้เท้าโปรดชี้แนะสอนสั่ง”
หลู่เจากงทรงเห็นกิริยาวาจาอันสุภาพของข่งชิว จึงรู้สึกโปรดปรานเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงลุกจากพระที่นั่งและเสด็จมาทักว่า “เจ้าคืออนุชนที่สืบเชื้อสายมาแต่อริยกษัตริย์เฉิงทัง ข้าหวังให้เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคให้ก้าวหน้าพัฒนา จนที่สุดได้เป็นอริยชนของราชสำนักในภายหน้าอย่างแท้จริง”
ข่งชิวรีบจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยและคุกเข่ากราบทูลว่า “กระหม่อมจะขอจดจำพระโอวาทของฝ่าบาทใส่เกล้าตลอดไป และกระหม่อมจะขอมานะพยายามเพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นได้กราบอำลาแล้ว ข่งชิวได้ก้าวออกประตูวังด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความวิตก แต่ครั้นออกนอกประตูวัง จิตใจจึงรู้สึกปลอดโปร่งเสมือนวิหคที่สยายปีกโผบินสู่เวหา
ข่งชิวรู้สึกปลื้มปีติที่ได้เข้าเฝ้าหลู่เจากง พลางคิดอยู่ในใจว่า “ต้องมีสักวันที่หลู่เจากงจะทรงรับความเห็นของเขาไปใช้ และได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของเมืองหลู่จนเข้มแข็งทัดเทียมเหล่าอารยรัฐที่รายล้อมอย่างแน่นอน” และโดยความจริงแล้ว การที่ข่งชิวได้เข้าเฝ้าหลู่เจากงในครั้งนี้ก็มีสิ่งดีอยู่ไม่น้อย เพราะหลู่เจากงได้รับสั่งเรียกข่งชิวว่าฟูจื่อ มิใช่หรือ ? ดังนั้นผู้คนน้อยใหญ่จึงเริ่มเรียกข่งชิวว่าฟูจื่อนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ครั้นข่งชิวกลับถึงบ้าน พลันได้ยินเสียงทารกร้องอุแว้อยู่มิขาด จึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจ ได้เห็นฉีกวนซื่ออุ้มเด็กทารกชายที่ทั้งขาวและอ้วนท้วนแข็งแรงอยู่แนบอก ข่งชิวรีบเข้าไปทักทายมารดาในเรือนแล้ววิ่งออกมาอุ้มบุตรของตนขึ้นเชยชมอย่างมิกะพริบสายตา
จิตใจเจิงจ้ายตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยความปลาบปลื้มปีติอย่างยากจะบรรยาย เพราะในที่สุดนางก็หมดห่วงลงได้เสียที เธอภาวนาต่อสามีด้วยความดีใจว่า “ท่านพี่อยู่ที่สรวงสวรรค์คงจะวางใจได้แล้ว”
ในตอนนั้น ฉีกวนซื่อได้กล่าวกับสามีว่า “รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ”
ข่งชิวอุ้มลูกเดินวนไปมาในห้องและลานบ้านอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังมิอาจนึกชื่อที่ถูกใจได้สักที สุดท้ายจึงได้แต่เดินกลับเข้าบ้านนั่งคิดใคร่ครวญต่อไป
ในคืนนั้น ข่งชิวมีความรู้สึกปีติจนมิอาจข่มตาหลับลงได้ เพราะการได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า การที่บุตรชายได้ถือกำเนิดมา เหล่านี้นับเป็นเรื่องมงคลที่ประดังเข้ามาอย่างน่ายินดี ข่งชิวคิดกลับไปมาเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและปัญหาการอบรมบุตรให้สามารถสานปณิธานของตนต่อไปในภายภาคหน้า จวบจนพระอุทัยสาดแสงอร่ามพาดขอบฟ้าจึงค่อยสลึมสลือหลับไปในที่สุด
ในความฝัน ข่งชิวขับรถม้ามุ่งตรงไปยังพระมหาราชวังแห่งราชวงศ์โจว ที่นั่นมีถนนหนทางอันโอ่อ่า ตึกรามบ้านช่องล้วนประดับด้วยศิลปะสมัยโบราณอย่างวิจิตรพิสดาร ชายหญิงต่างแยกเดินมิเบียดเสียด ผู้คนล้วนอ่อนน้อมมีไมตรี ผู้เยาว์ให้ความเคารพแก่ผู้สูงอายุ พ่อค้าวาณิชสุจริตมิคดโกง
ข่งชิวได้เที่ยวชมอารยบุรีแห่งนี้อย่างหลงใหล จนรถม้าได้นำพาเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ข่งชิวกำลังจะโดดลงจากรถม้าเพื่อกล่าวขออภัยที่ล่วงล้ำ ได้มีชายชราท่านหนึ่งเดินตรงมาหาด้วยรอยยิ้มอันเมตตา พลางใช้มือพยุงข่งชิวขึ้นและกล่าวว่า “มิเป็นไร ! มิเป็นไร ! คาดว่าท่านคงคือข่งชิวแห่งเมืองหลู่กระมัง ?”
ข่งชิวรู้สึกประหลาดใจ พลางประสานมือคำนับว่า “ข้าน้อยคือข่งชิว มิทราบว่าท่านอาวุโสรู้จักข้าน้อยได้อย่างไร ?”
อาวุโสท่านนั้นตอบว่า “ข้าคือโจวกงที่ท่านเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวันคืนไงล่ะ ข้าได้ประมาณไว้แล้วว่าท่านจะมาในวันนี้ จึงมาคอยต้อนรับอยู่ที่นี่”
ข่งชิวตั้งใจพิเคราะห์ชายชราอีกครั้ง จึงเห็นว่าเป็นชายชราที่มีผมขาวโพลนทั้งศีรษะ หากแต่สุขภาพยังดูแข็งแรงและกำลังส่งสายตาอันอารีมาที่ตนอยู่มิขาด จึงรีบกล่าวทันทีว่า “ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ไฉนกล้ารบกวนให้อาวุโสมาต้อนรับได้”
โจวกงตอบว่า “ข้ามิใช่มาต้อนรับท่านเพียงอย่างเดียวหรอก หากเป็นการต้อนรับความอุดมสุขแห่งเมืองหลู่ต่างหาก ได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมความสามารถ ดังนั้นภาระกิจแห่งความมั่นคงของชาติต้องมอบให้แก่ท่านแล้วล่ะ !”
ข่งชิวกล่าวว่า “ข้าน้อยยินดีถวายงานรับใช้เจ้าเมืองหลู่อย่างสุดกำลังความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยโดดเดี่ยวเปลี่ยวกำลัง จึงไม่ทราบว่าจะทำประการใดดี ?”
โจวกงรีบตีหน้าขึงขังขึ้นทันทีว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นเสมอ”
ในตอนนั้น ข่งชิวประสงค์จะเรียนถามถึงหลักการบริหารประเทศจากโจวกง แต่ทันใดก็ถูกเสียงร้องของทารกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความฝัน ยามนี้แสงอุทัยได้สาดส่องเข้ามาในลานบ้าน โดยเฉพาะคือต้นจามจุรีเก่าที่ต้องแสงอรุณจนเปล่งประกายลายกนกที่แซมด้วยสีเขียวหยกอย่างวาววับ
หลังจากข่งชิวกวาดพื้นบ้านเสร็จ ท่านยังคงยืนประหวัดถึงความฝันยามเช้าอยู่มิขาด ทันใดได้มีคนมาเคาะประตูปลุกข่งชิวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด ข่งชิวจึงรีบไปเปิดประตูบ้าน แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้มาเยือน
1 บันทึก
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย