20 พ.ค. เวลา 12:49 • หนังสือ

๔.แรกประกาศศักดา

ที่แท้ผู้มาเยือนคือทูตหลวงของเจ้าเมืองหลู่นั่นเอง ในมือของทูตหลวงได้ถือปลาหลี่ตัวใหญ่มาด้วย ๒ ตัว
ขงจื่อรีบเชิญผู้แทนพระองค์เข้าไปในบ้าน
ทูตหลวงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านมีบุตร จึงรับสั่งให้ข้านำปลานี้มามอบให้เพื่อเป็นศิริมงคล”
ขงจื่อกล่าวด้วยความตื้นตันว่า “ข่งชิวไร้คุณความดีใด ๆ จึงรู้สึกละอายใจต่อพระกรุณาธิคุณยิ่งนัก”
ทูตหลวงกล่าวว่า “ท่านฟูจื่อโปรดรับไว้ก่อน เรื่องตอบแทนพระคุณไว้ภายหลังค่อยหาโอกาสตอบแทนก็ได้”
ขงจื่อชูสองมือรับปลาจากทูตหลวง ส่วนทูตหลวงก็รีบขอตัวอำลากลับ เพื่อนำความกราบบังคมทูลให้หลู่เจากงได้ทรงทราบ ขงจื่อยืนส่งทูตหลวงจนจากไปไกลแล้วจึงหิ้วปลาเข้าไปในบ้าน แต่แล้วพลันนึกได้ว่า “ได้แล้ว เราตั้งชื่อให้แก่ลูกชายว่า หลี่ นามรองว่า ป๋ออวี๋ ดีกว่า”
ครั้นแล้วก็นำความคิดนี้มาร่วมปรึกษาด้วยมารดาและภรรยาว่า “เมื่อวานลูกได้บุตรชาย อีกวันนี้ยังได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทอีก สิ่งนี้จึงนับเป็นพระกรุณาธิคุณที่ควรแก่การระลึกถึงยิ่ง ดังนั้นลูกจึงนึกถึงคำว่า หลี่ นี้ขึ้นมา ส่วนคำว่า ป๋อ จะมีความหมายว่า เติบโต ดังนั้นการตั้งชื่อว่า ป๋ออวี๋ จึงนับว่ามีความเหมาะสมที่สุดแล้ว” ครั้นเจิงจ้ายและฉีกวนซื่อได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินดี
การกำเนิดของข่งหลี ได้นำความสำราญมาให้แก่ครอบครัวนี้ได้ไม่น้อย แต่ความจริงก็ได้กลายเป็นภาระหนักสำหรับข่งชิวด้วยเช่นกัน เพราะข่งชิวจะต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวทั้งหมด ซึ่งในตอนนั้นเมิ่งผีได้แยกออกไปตั้งรกรากต่างหากกับมารดาและภรรยานานแล้ว
และปีนั้นก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันอันสำคัญบนเส้นทางชีวิตของขงจื่อ
ณ ตำบลที่อยู่ในอาณัติการปกครองของเมิ่งสีจื่อแห่งหนึ่งได้เกิดการทุจริตอากรมาเป็นเวลานาน เมิ่งสีจื่อมีความคิดที่จะปลดเจ้าพนักงานที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ยังมิอาจสรรหาบุคคลที่เหมาะสมไปแทนตำแหน่งได้สักที
และนับแต่เมิ่งสีจื่อได้เห็นความปรีชาสามารถของขงจื่อ ภายในใจก็รู้สึกชื่นชมในสติปัญญาของขงจื่อยิ่งนัก กอปรกับตอนนี้ได้เริ่มเข้าสู่การเก็บเกี่ยวในฤดูสารท เมิ่งสีจื่อจึงตัดสินใจส่งขงจื่อไปรับผิดชอบการเก็บอากรที่นาแทนเจ้าพนักงานคนเก่าที่นั่น
ทั้งนี้ไม่เพียงแต่สามารถปลดหัวหน้าอากรคนเก่าได้เท่านั้น หากยังสามารถทดสอบความสามารถด้านการบริหารของขงจื่อได้อีกทางหนึ่งด้วย ครั้นคิดได้ดังนี้ก็รีบส่งคนไปเชิญขงจื่อเข้าพบในทันที
ครั้นผู้ส่งสาสน์ได้ถ่ายทอดเจตนาให้แก่ขงจื่อทราบแล้ว ขงจื่อได้รีบออกเดินทางโดยมิรอช้า พลางคิดตลอดทางว่า “แม้นเมิ่งสีจื่อจะเป็นคนที่หามีความรู้ความสามารถไม่ แต่ก็เป็นบุคคลที่เคารพปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หากเราได้รับการสนับสนุนจริง เราต้องตั้งใจทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการปูหนทางในการประกาศอุดมการณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ให้จงได้”
ขงจื่อคิดอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงหน้าบ้านของเมิ่งสีจื่อโดยไม่รู้ตัว ตัวบ้านของเมิ่งสีจื่อดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีความวิจิตรเท่าบ้านของจี้ผิงจื่อก็จริง แต่ก็นับเป็นบ้านที่มีการประดับอย่างหรูหรามากหลังหนึ่ง
ในขณะที่ขงจื่อกำลังเพลิดเพลินกับความคิด เสียงคนใช้ก็มาขัดจังหวะขึ้นว่า “ขอเชิญท่านฟูจื่อเข้าข้างในก่อนเถอะ”
ทางเดินภายในบ้านได้ปูลาดด้วยศิลาแลงที่วนเวียนคดเคี้ยวไปมาท่ามกลางรุกขชาติ ทางเดินอันลดเลี้ยวได้สิ้นสุดลงที่หน้าห้องโถงภายใน ขงจื่อต้องเดินผ่านประตูใหญ่ถึง ๓ บานจึงจะเข้าไปถึงส่วนรโหฐานของเมิ่งสีจื่อได้ ขงจื่อทราบดีว่า การที่เมิ่งสีจื่อได้ให้การต้อนรับที่หลังคฤหาสน์ นั่นหมายความว่าเมิ่งสีจื่อได้ให้เกียรติเขาเป็นแขกพิเศษแล้ว
และก็หาได้ผิดจากที่คาดไว้ไม่ เพราะไม่นานนัก เมิ่งสีจื่อได้เดินออกมาต้อนรับเขาเข้าสู่ภายในเรือนด้วยความเป็นกันเอง หลังจากทั้งสองต่างคำนับให้กันตามธรรมเนียมจนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงค่อยพากันก้าวเข้าสู่ห้องโถงภายใน
ขณะที่ทั้งสองต่างโอภาปราศรัยกันอย่างเพลิดเพลิน คนใช้ได้จัดแต่งโต๊ะอาหารเสร็จพอดี เมิ่งสีจื่อเชิญขงจื่อร่วมรับประทานอาหาร ขงจื่อกล่าวขอบคุณและนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกบ้านอย่างสง่า
ครั้นได้รับประทานจนพอประมาณ เมิ่งสีจื่อกล่าวขึ้นว่า “ด้วยคุณธรรมความสามารถของท่านฟูจื่อ หากจะให้ดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระยาก็ยังไม่นับว่ายาก เพียงแต่โอกาสยังไม่อำนวยให้เท่านั้น เหตุด้วยข้ากำลังต้องการผู้แทนตำบลที่รับผิดชอบการเก็บอากรที่นาพอดี มาตรว่าจะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่มิทราบว่าท่านฟูจื่อพอจะให้เกียรติรับงานนี้ได้หรือไม่ ?”
ขงจื่อตอบว่า “ได้รับความกรุณาจากใต้เท้าเช่นนี้ ข้าน้อยไยกล้าขัดศรัทธาของท่านได้”
ครั้นเมิงสีจื่อได้ฟังก็ปีติยินดียิ่ง จึงรีบรินสุราให้ขงจื่อเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นจึงเล่าเรื่องการทุจริตของหัวหน้าอากรคนก่อนพร้อมทั้งกำชับวิธีการจัดการแก่ขงจื่อโดยละเอียด
หลังจากขงจื่อได้อำลาเมิ่งสีจื่อกลับถึงบ้านก็ได้รายงานเรื่องการรับราชการให้มารดาทราบ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมตัวสำหรับการรับตำแหน่งอย่างขะมักเขม้น
หัวหน้าพนักงานอากรคนก่อนเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาได้กระทำการทุจริตยักยอกอากรจากชาวนามาช้านาน ดังนั้นครั้นขงจื่อได้รับตำแหน่งนี้ก็ได้สั่งเรียกบัญชีมาตรวจดูโดยละเอียด พบว่าสมุดบัญชีได้ถูกเติมแต่งขีดฆ่าจนสับสนวุ่นวาย
ขงจื่อจึงเรียกเจ้าพนักงานมาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นกันเองว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเมิ่งซุนให้มารับตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าพนักงานคนก่อนทำงานไม่เรียบร้อย จุดนี้จะต้องชำระสะสาง ส่วนเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ข้ายังจะรับไว้ทำราชการต่อไป หวังว่าพวกเจ้าจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ และร่วมแรงร่วมใจกันเก็บอากรที่นาในปีนี้ให้ลุล่วงโดยดี”
เหล่าเจ้าพนักงานต่างเห็นว่าหัวหน้าคนใหม่อายุยังน้อย จึงแสดงกิริยาดูถูกและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไยดีว่า “ขอเพียงใต้เท้ามีคำสั่ง พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว”
แม้นทุกคนกล่าวว่าจะขอน้อมรับคำบัญชา หากกิริยากลับแสดงอาการกระด้างกระเดื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่ขงจื่อหาได้ใส่ใจไม่ โดยยังคงทำการแบ่งสรรหน้าที่การเก็บอากรออกเป็น ๕ ส่วน เพื่อกระจายให้เจ้าพนักงานแต่ละคนออกเก็บอากรในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง
หลังจากพวกเจ้าพนักงานได้ออกไปแล้ว ขงจื่อได้สวมชุดชาวบ้านออกตรวจราชการ ครั้นถึงริมท้องนาก็เดินตรงไปจับเข่านั่งคุยกับชาวบ้านที่พักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้อย่างเป็นกันเอง
ขงจื่อถามว่า “ผลผลิตปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ชาวนาตอบว่า “ผลผลิตปีนี้ดีมาก”
“การเก็บอากรที่นามีปัญหาไหม ?”
เพียงขงจื่อถามถึงเรื่องการเก็บอากร กลุ่มชาวนาก็หุบยิ้มและไม่ยอมพูดจาด้วยอีก
ขงจื่อได้พิจารณาสีหน้าของพวกเขาอยู่พักหนึ่ง และนั่งรอคอยคำตอบจากพวกเขาด้วยความอดทน
หลังจากได้เงียบเสียงอยู่พักใหญ่ ชาวนาคนหนึ่งได้จ้องสังเกตขงจื่ออย่างพิจารณา เห็นว่าขงจื่อมีลักษณะหน้าผากกว้าง คิ้วดกตาโต กิริยาสุภาพ ดูสง่าน่านับถือ จึงคิดว่าขงจื่อต้องมิใช่คนที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นแน่ จึงกล่าวว่า “โดยความจริงแล้ว หากดูตามผลผลิตสำหรับปีนี้ ถ้าจะจ่ายให้ครบตามเกณฑ์อากรคงไม่มีปัญหา เพียงแต่…”
ชาวนานิ่งสงบอยู่พักใหญ่ สายตากวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง “เพียงแต่เจ้าหัวหน้าอากรมันชั่วช้าจริง ๆ มันสมรู้ร่วมคิดกับลูกสมุนทุจริตโกงกิน พวกมันดัดแปลงถังตวงให้ใหญ่ขึ้น แล้วแจ้งจำนวนให้น้อยลง ขณะเดียวกันก็โกงกินพวกเราชาวนา โดยเก็บส่วนต่างไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ท่านก็คิดดูซิ แล้วอย่างนี้จะให้เรายอมจ่ายอากรได้อย่างไร ?”
ชาวนาอีกคนหนึ่งสำทับขึ้นทันทีว่า “ข้าได้ข่าวว่าปีนี้ได้เปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงหรือคดกันแน่”
“อุว๊ะ ! ในวงราชการเห็นจะมีแต่คดมากกว่าตรงกระมัง สงสัยคนใหม่ที่มาก็คงจะไม่ผิดกันเท่าไหร่ดอก ?”
“ไอ้พวกขี้โกงเห็นได้เป็นเอา สงสัยคราวนี้จะหนักกว่าคราวก่อนกระมัง”
“แต่ไม่แน่ เราอาจจะเจอตงฉินก็ได้นะ”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดแล้ว”
ขงจื่อได้บอกลาชาวนาเหล่านั้น แล้วออกเดินตรวจงานต่ออีก ๓ หมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด คำบอกเล่าก็เหมือนกับออกมาจากคนเดียวกัน
เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้เฝ้าสังเกตการเก็บอากรของเหล่าเจ้าพนักงาน พบว่าถังตวงที่ใช้มีข้อพิรุธจริง ๆ จึงสั่งให้เจ้าพนักงานเปลี่ยนถังตวงลูกใหม่ต่อหน้าชาวนาที่มาจ่ายอากร แต่เมื่อลองตวงดูแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม ขงจื่อจึงสั่งให้นำถังตวงของชาวนาในละแวกนั้นมาตวงใหม่ ปรากฏว่าปริมาณที่ตวงได้ยังมากกว่าถังตวงของเจ้าพนักงานมากมาย
ครั้นขงจื่อกลับถึงจวนว่าการ ได้สั่งเรียกตัวเจ้าพนักงานที่เคยรับราชการกับหัวหน้าคนก่อนมาตำหนิว่า “เมื่อก่อนพวกเจ้าก็ใช้วิธีนี้เก็บอากรอย่างนั้นรึ ?”
พวกเจ้าพนักงานเริ่มวิตกกันแล้ว จึงต่างชิงกันสารภาพเพื่อขอความเห็นใจว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ! ข้าน้อยผิดไปแล้ว ! ขอใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย”
ขงจื่อพูดเสียงเข้มว่า “คนใจคดอย่างพวกเจ้า หากไม่มีการลงโทษให้หลาบจำก็คงไม่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเป็นแน่”
ขงจื่อได้สั่งลงอาญาตามความผิดของแต่ละคน อีกทั้งยังสั่งปลดพวกที่ทำความผิดร้ายแรงให้ออกจากราชการ และยังได้ส่งตัวเจ้าพนักงานอีกสองคนให้ศาลตัดสินโทษต่อไป
หลังจากพิพากษาคดีเสร็จ ขงจื่อได้ประกาศให้คณะชาวนาเลือกบุคคลที่ทุกคนให้ความเชื่อถือมากที่สุดมารับผิดชอบการเก็บอากร ทั้งยังกำหนดเวลาการเก็บอากรไว้เป็นกฎหมายว่า
หากผู้ใดสามารถจ่ายอากรเสร็จก่อนเวลากำหนด ก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากจ่ายตามกำหนดพอดีก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙.๕ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากผู้ใดจ่ายค่าอากรล่วงเวลากำหนด ก็จะปรับให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย ส่วนผู้ใดหลบเลี่ยงการจ่ายอากร ก็จะเวนคืนที่นามาแจกจ่ายให้แก่ผู้อื่นทำกินต่อไป และหากปีใดเกิดภัยธรรมชาติจนทำให้ผลผลิตเสียหาย ก็สามารถทำเรื่องลดหย่อนอากรที่นาได้
ครั้นกลุ่มชาวนาได้เห็นขงจื่อตรากฎหมายอย่างยุติธรรม ทั้งเจ้าพนักงานอากรยังเป็นบุคคลที่ถูกเลือกมาจากกลุ่มชาวนาด้วยกันแล้ว ทุกคนจึงทยอยกันจ่ายอากรตามเวลากำหนดอย่างคับคั่ง
ขงจื่อได้นำเสบียงข้าวสารที่เก็บได้มามอบให้แก่เมิ่งสีจื่อ พร้อมทั้งอธิบายว่าได้เก็บอากรน้อยกว่าปกติ ๑ ส่วน แต่หลังจากเมิ่งสีจื่อได้เทียบทะเบียนบัญชีกับปีก่อน ๆ แล้ว ยอดข้าวสารที่เก็บได้มิเพียงแต่ไม่ได้ลดลงเท่านั้น หากยังเพิ่มมากกว่าปีก่อนถึง ๒ ส่วนด้วยกัน เมิ่งสีจื่อจึงได้สติพลางกล่าวถอนใจขึ้นว่า “ที่แท้หัวหน้าอากรคนก่อนได้ทุจริตมากถึงเพียงนี้เชียว”
ขงจื่อได้นำกลวิธีที่เหล่าเจ้าพนักงานใช้ในการโกงอากรและมาตรการการลงโทษรายงานให้เมิ่งสีจื่อฟังพอเป็นสังเขป ครั้นฟังจบ เมิ่งสีจื่อได้กล่าวชมขงจื่อว่า “จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แม้นจะแรกเข้าสู่วงราชการ แต่ก็มิได้ถูกพวกเหล่าทรชนบดบังอำพรางได้สำเร็จ ถือว่าหาได้ยากยิ่งโดยแท้”
หลังจากได้บอกลาเมิ่งสีจื่อกลับ ขงจื่อก็ยังคงใช้เวลาว่างออกตระเวนขอความรู้และฝึกปรือศิลปวิทยาทุกแขนงอยู่มิขาด กระทั่งวันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เรียกขงจื่อเข้าพบและพูดด้วยความสนิทสนมว่า “ปัจจุบันทางกองปศุสัตว์มีภาวะตกต่ำ สถานการณ์มีแต่เลวร้ายลงทุกวัน ท่านเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังทำงานได้อย่างแข็งขัน ข้าจึงคิดจะแต่งตั้งท่านให้ดูแลกองเกษตรา มิทราบว่าท่านมีความเห็นเป็นเช่นใด ?”
กองเกษตราคือตำแหน่งราชการเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบเรื่องการเลี้ยงดูปศุสัตว์เป็นหลัก ขงจื่อจึงนั่งคิดตรึกตรองโดยมิได้ให้คำตอบแต่อย่างใด
เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า “การดูแลปศุสัตว์จะต้องคลุกคลีอยู่กับพวกม้าแกะวัวลาตลอดเวลา มันจึงสกปรกและเสียพละกำลังมหาศาล ท่านคงจะต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเก่าไม่น้อย”
“ข้าไม่รู้สึกหนักใจตรงนี้ เพียงแต่เกรงว่าจะบริหารได้ไม่ดีเท่านั้น”
เมิ่งสีจื่อยิ้มขึ้นว่า “ท่านมีอัจฉริยภาพด้านการเมือง ไฉนต้องถ่อมตัวด้วยเล่า ?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ในเมื่อใต้เท้าเมิ่งเอ็นดู ข้าก็จะดูแลอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน”
“แล้วท่านฟูจื่อจะเดินทางไปรับตำแหน่งเมื่อไรดี ?”
“แล้วแต่ใต้เท้าจะกรุณา”
“ถ้าเช่นนั้น ก็รับตำแหน่งเสียพรุ่งนี้เลยดีไหม ?”
ขงจื่อพยักหน้ารับคำ
เช้าวันที่ ๒ ขงจื่อได้ออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่กองเกษตรา ครั้นขงจื่อเดินเข้าไปในสนามหน้าจวนว่าการ ก็ได้เห็นกอหญ้าขึ้นรกรุงรังไปทั่ว หินกรวดดินทรายกระจัดกระจายทั่วบริเวณอย่างรำคาญตา ครั้นเดินเข้าไปในจวนก็เห็นหยักไย่รุงรังไปทั่วอาคาร ทุกสิ่งรกรุงรังจนมิอาจสรรหาคำใดมาพรรณนาความได้อีก
ขงจื่อถึงกับต้องถอนใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่กำลังหนักใจกับสภาพที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอยู่นั้น ทันใดได้ยินเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ครั้นเหลียวหลังมองไปที่ประตู ได้เห็นชายชราคนหนึ่งเดินกระโผกกระเผกตรงมาหา ขงจื่อจึงรีบออกไปพยุงโดยมิรอช้า
ชายชราถามว่า “ท่านคงเป็นหัวหน้าเกษตราคนใหม่กระมัง ?”
ขงจื่อตอบว่า “ใช่”
ชายชรากล่าวว่า “ข้าน้อยเพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อเช้านี้เอง แต่พวกเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบ มิเช่นนั้นป่านนี้ก็คงมารับบัญชาท่านใต้เท้าแล้ว”
ขงจื่อทำหน้าขึงขังว่า “แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด ?”
ชายชราถอนใจยาวพลางกล่าวว่า “นับแต่หัวหน้าคนเก่าถูกปลด ใน ๒ เดือนที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่รับเบี้ยหวัดโดยไม่สนใจธุระการงาน วัน ๆ เอาแต่ฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่กินโดยไม่ใส่ใจในหน้าที่”
เพียงชายชรากล่าวจบ ก็มีชายล่ำสัน ๒ คนวิ่งตะลีตะลานเข้ามาในจวน พลางถามชายชราว่า “ห้วหน้าคนใหม่อยู่ไหน ?”
ชายชราจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาอันขุ่นเคือง พลางชี้ไปทางขงจื่อว่า “ท่านนี้ก็คือหัวหน้ากองเกษตราคนใหม่”
ขงจื่อพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นเฉียบว่า “แล้วเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด ?”
ชาย ๒ คนต่างอ้ำอึ้งมองหน้ากันไปมา
ขงจื่อใช้แววตาอันทรงพลังจ้องมองไปที่ชายทั้งสอง เห็นพวกเขาต่างหลบสายตาและแสดงอาการวิตกจนใบหน้าแดงก่ำ กิริยาท่าทางดูเงอะงะจนวางตัวไม่ถูก ขงจื่อจึงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าชื่ออะไร ?”
ชายชราตอบแทนพวกเขาว่า “กราบเรียนใต้เท้า คนนี้ชื่อเหอจง ส่วนคนนั้นชื่อผิงเฉิง สองคนนี้มีนิสัยที่ใช้ได้ เพียงแต่กิริยาหยาบกระด้างและขี้โมโหไปหน่อยเท่านั้น”
“จุดนี้ข้าพอมองออก” ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ขงจื่อสั่งให้ชายทั้งสองรับผิดชอบตามเจ้าพนักงานทั้งหมดมารายงานตัว เพียงไม่นาน เหล่าเจ้าพนักงานทั้งหมดก็มายืนเรียงหน้ากระดานรายงานตัวอย่างเรียบร้อย
ขงจื่อยืนอยู่บนเชิงบันไดหน้าจวนว่าการ ได้ปั้นสีหน้าให้ดูขึงขังและปราศรัยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า “พวกเจ้าต่างกินเบี้ยหวัดของบ้านเมือง แต่เหตุใดจึงทิ้งที่ว่าการไปเสียเช่นนี้ ?”
เจ้าพนักงาน ๒๐ กว่าคนต่างแสดงอาการเลิ่กลั่ก
ขงจื่อย้ำต่อไปอีกว่า “พวกเจ้าลองเบิกตาให้กว้าง ๆ ดูซิ ตอนนี้ที่ว่าการได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว”
ทุกคนยังคงเงียบกริบมิพูดจา
ขงจื่อกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้าจงตามข้าไปที่คอกสัตว์ก่อน”
แต่ครั้นถึงคอกเลี้ยงสัตว์ก็ทำให้ขงจื่อยิ่งต้องหนักใจมากขึ้นกว่าเก่า เพราะรั้วที่ขัดแตะด้วยไม้ไผ่ล้วนล้มระเนนระนาด ส่วนปฏิกูลมูลสัตว์และปัสสาวะก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนแมลงวันบินหึ่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตัวหนอนชอนไชไปมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน ทั่วบริเวณล้วนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนมิอาจทน ครั้นขงจื่อเดินวนไปตามคอก ก็ได้เห็นพวกเหล่าแกะม้าลาวัวล้วนผอมโซจนเหลือเพียงกระดูก ขงจื่อมิอาจกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก
“ใครรับผิดชอบที่นี่ ?”
ชายร่างม่อต้อคนหนึ่งเดินด้อม ๆ มารายงานขงจื่อด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยรับผิดชอบที่นี่เอง”
ชายคนนี้มีชื่อว่ากู่ฮว๋า มีลักษณะปากแหลม จอนเคราดังวานร ตาหรี่ดั่งมุสิก
ขงจื่อดุเสียงเข้มว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าซ่อมรั้วกวาดมูลสัตว์นี้ให้เสร็จภายใน ๕ วัน และต่อไปจะต้องเก็บกวาดให้เป็นเวลา เข้าใจไหม !”
ครั้นขงจื่อเดินไปดูที่คอกม้า ได้ก้มหยิบอาหารที่รางหินมาขยี้ดู พบว่ามีแต่หญ้าเปล่าโดยหาได้มีอาหารผสมอยู่ไม่ จึงถามว่า “ม้าที่นี่ไม่ต้องกินอาหารเลยหรืออย่างไร ?”
กู่ฮว๋าถึงกับอ้ำอึ้งมิอาจพูดจา
ขงจื่อกวาดตามองเหล่าเจ้าพนักงานโดยรอบ และสั่งการด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า “เหอจง ผิงเฉิง ต่อไปเจ้าทั้งสองอยู่ช่วยกู่ฮว๋ารับผิดชอบดูแลคอกสัตว์เหล่านี้ให้เรียบร้อย และจะต้องเสร็จให้เร็วที่สุด !”
หลังจากขงจื่อได้เดินสำรวจโดยละเอียด ไม่นานก็สามารถร่างระเบียบการลงโทษและการให้รางวัลขึ้นมาได้ และในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ขงจื่อก็สามารถบริหารงานปศุสัตว์ได้อย่างมีระเบียบ พวกสัตว์ทั้งหลายล้วนถูกเลี้ยงดูจนอ้วนพี
วันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เดินทางมาตรวจงาน ขงจื่อจึงนำเข้าชมงานปศุสัตว์ทั้งหมด เมิ่งสีจื่อยิ้มอย่างเริงร่าและชมอยู่มิขาดปากว่า “ท่านฟูจื่อช่างเป็นบุคคลมหัศจรรย์โดยแท้”
แต่ในทันใดก็หุบยิ้มและถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “สัตว์ต่าง ๆ ล้วนอ้วนพี แต่เหตุใดท่านจึงส่งมาเพียงเดือนละ ๑๐ ตัวเท่านั้นล่ะ ?”
ขงจื่อรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ได้กล่าวขึ้นว่า “ที่ผ่านมาก็ส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าตามที่กำหนดมิได้ขาด คือสุกรเดือนละ ๑๐ ตัว แกะเดือนละ ๑๐ ตัว”
เมิ่งสีจื่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แต่ข้าได้รับสุกรและแกะเพียงอย่างละ ๕ ตัวเท่านั้น”
ในตอนนั้น ขงจื่อเข้าใจว่าจะต้องมีใครทำเรื่องไม่ซื่อเป็นแน่แล้ว อารมณ์จึงห่อเหี่ยวและพูดกับเมิ่งสีจื่อว่า “ใต้เท้า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ รอให้ข้าน้อยตรวจสอบให้ถ้วนถี่ก่อน แล้วจะรีบรายงานให้ใต้เท้าทราบทันที”
เมิ่งสีจื่อมีความรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง จึงเดินทางกลับด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียว
ขงจื่อรีบเดินทางกลับจวน แล้วเรียกตัวกู่ฮว๋า เหอจง ผิงเฉิงมาสอบสวนทันทีว่า “ใครรับผิดชอบส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าเมิ่งซุน ?”
กู่ฮว๋าพูดตะกุกตะกักด้วยความหวาดวิตกว่า “ข้าน้อย…รับ…ผิดชอบ…ส่ง…ไปเอง”
ขงจื่อถามว่า “เจ้าส่งไปเดือนละเท่าไหร่ ?”
กู่ฮว๋ากะพริบตาปริบ ๆ และพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เดือน….ละ…. ๑๐ ตัว”
ขงจื่อซักต่อไปว่า “สุกรแกะอย่างละ ๑๐ ตัว หรือสองอย่างรวมกัน ๑๐ ตัว”
กู่ฮว๋าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ และแข็งใจพูดว่า “สุ..ก…ร ๑๐ ตัว แ..ก…ะ…..๑๐ ตัว”
“แล้วทำไมใต้เท้าเมิ่งซุนจึงได้รับอย่างละ ๕ ตัว ?”
“คือ...”
ขงจื่อตำหนิเสียงดังว่า “รีบสารภาพมาโดยดี”
กู่ฮว๋ารีบคุกเข่าอย่างรู้ผิด ได้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้าน้อย…ขา..ยไป..หมด…แล้…..ว”
“แล้วเงินที่ได้ล่ะ ?”
“ข้..าน้อยใช้…จนหม…ดแล้ว”
ขงจื่อคิดหนักอยู่พักใหญ่ ได้กล่าวขึ้นว่า “คนถ่อยอย่างเจ้ายังจะทำงานหลวงได้อีกหรือ ?” ในตอนนั้นจึงตัดสินปลดกู่ฮว๋าและลงโทษให้หาเงินมาใช้คืนทั้งหมด
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ขงจื่อได้ตระหนักถึงความมืดมิดของวงราชการและจิตใจของคนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากจะอยู่ในวงราชการต่อไปอีก เพราะขงจื่อไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า แม้แต่ในกองงานปศุสัตว์เล็ก ๆ ก็ยังมีคนถ่อยที่คอยกัดกร่อนสังคมถึงเพียงนี้ ด้วยความรู้สึกเสียดาย เจ็บแค้น และรู้สึกผิดที่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ จึงทำให้ขงจื่อเกิดความคิดใหม่ต่ออนาคตขึ้น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา