Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
17 ก.ค. เวลา 13:14 • การศึกษา
๕.มารดาถึงแก่กรรม
ขงจื่อได้เดินทางเข้าพบเมิ่งสีจื่อ และนำความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกของกู่ฮว๋ารายงานให้ทราบแต่ต้น จากนั้นได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าน้อยได้รับการสนับสนุนจากท่านใต้เท้า พระคุณนี้จะมิมีวันลืมเลือน แต่หลังจากที่ได้ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยตัดสินใจว่าจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับงานการเมืองอีก”
ครั้นเมิ่งสีจื่อได้ฟังก็ตกใจยิ่ง จึงถามว่า “ท่านฟูจื่อได้ตัดสินคดีอย่างเหมาะสมแล้ว สมควรที่จะได้รับรางวัลตอบแทนต่างหาก แต่ไยจึงคิดจะลาออกจากราชการเสียเล่า ?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ทำราชการเพื่อรับใช้ชาติ คือปณิธานของข้าน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงได้รับตำแหน่งเกษตราธิการ และดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินจนครบถ้วน บัญชีมีความโปร่งใส ครั้นข้าน้อยรับผิดชอบงานปศุสัตว์ ก็เลี้ยงดูจนวัวแกะอ้วนพี หากเจ้าพนักงานมีความเกียจคร้าน ข้าน้อยก็อบรมด้วยคุณธรรมความรู้ ครั้นผิดต่อกฎข้อบังคับ ก็จะทำการลงโทษด้วยกฎหมายบ้านเมือง
สำหรับข้าน้อยเอง เมื่อได้ลองถามใจดูแล้วก็หาได้พบสิ่งที่ต้องละอายต่อหน้าที่ไม่ เพียงแต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน บัดนี้ราชสำนักอ่อนระโหยโรยลา มหาธรรมไม่อาจขจรให้กว้างไกล ศีลธรรมจรรยานับวันมีแต่เสื่อมเสียหาย ดังนั้นแม้นบัญชีภาษีจะโปร่งใส คอกวัวปศุสัตว์จะสมบูรณ์ หรือกระทั่งเจ้าพนักงานจะสุจริตขันแข็งเพียงใดก็ตาม แต่ก็หาได้จรรโลงให้เกิดความรุ่งเรืองแห่งราชสำนัก และความมั่นคงแห่งเมืองหลู่ไม่ อันเป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟนั่นเอง”
เมิ่งสีจื่อถามว่า “ในความเห็นของท่านฟูจื่อ คิดว่าควรทำประการใด ?”
ขงจื่อกล่าวว่า “เราต้องผลักดันระบอบการปกครองโดยเมตตาธรรมของพระเจ้าโจวเหวินหวังและพระเจ้าโจวอู่หวังให้ปรากฏ ปลดล้างพวกเหล่าข้าราชบริพารที่ทุจริต ส่งเสริมเมธีปราชญ์เข้าบริหารแผ่นดิน เช่นนี้เมืองหลู่ก็จะเข้มแข็ง ประชาชนก็จะมั่งคั่ง ถึงครานั้น แม้แต่เหล่าปราชญ์วิญญูจากต่างแดนก็จะทยอยกันเข้าหา”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ทันใดได้มีคนใช้เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้าเมิ่ง มีคนจะขอเข้าพบครับ”
ไม่นานได้มีเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก คนๆ นี้มีรูปร่างปานกลาง ร่างกายกำยำ ใบหน้าสีคล้ำอมแดง ขงจื่อจำได้ในทันทีว่าคือเหยียนโจ้วนั่นเอง
เหยียนโจ้วมีอีกชื่อหนึ่งว่าอู๋โจ้ว ฉายาจี้ลู่ จึงมีคนเรียกอีกนามหนึ่งว่า เหยียนลู่ มีความเป็นอยู่อัตคัด เกิดเมื่อสมัยปีหลู่เซียงกงศกที่ ๒๗ (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช) ใช้ชีวิตกับการเลี้ยงโคกระบือ เป็นเพื่อนขงจื่อมาแต่เยาว์วัย ครั้นขงจื่อเห็นเหยียนลู่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ จึงถามอย่างร้อนใจว่า “น้องรัก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงกระหืดกระหอบมาเช่นนี้ ?”
เหยียนลู่กล่าวว่า “พี่ เมื่อสักครู่ข้าแวะไปที่บ้านของท่าน พบว่าแม่ของท่านนอนป่วยอยู่บนเตียง พี่รีบกลับไปเยี่ยมท่านจะดีกว่า”
ครั้นขงจื่อได้ฟังก็สั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์ จึงรีบคำนับอำลาเมิ่งสีจื่อและเดินทางกลับบ้านอย่างร้อนรน เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นมารดานอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาปิดแน่น มีเพียงภรรยาที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ อย่างตกอกตกใจ
ในตอนนั้นข่งหลีมีอายุเพียง ๔ ขวบ กำลังโยกเตียงย้ายเก้าอี้อย่างซุกซน เสมือนว่าไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านทั้งสิ้น ทั้งนี้ ขงจื่อยังมีลูกสาวที่เพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นานอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า อู๋เหวย ที่กำลังหัดพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์
ขงจื่อรีบโผเข้ากอดมารดาข้างเตียงว่า “ท่านแม่ ! ท่านแม่เป็นอะไรไป ? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ?”
เจิงจ้ายค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองข่งชิวด้วยน้ำตา เสียงไอขอกแขกอย่างไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกว่านางกำลังจะสิ้นใจ “แม่รู้สึกหายใจอึดอัด คิดว่าแม่คงอยู่กับเจ้าไม่ได้นานแล้วล่ะ”
ขงจื่อกล่าวว่า “ไม่ ! แม่อายุยังไม่ถึง ๔๐ เลย แม่อย่าคิดในแง่ร้ายอย่างนี้สิ เดี๋ยวลูกจะรีบไปตามหมอมารักษา อีกไม่นานแม่ก็จะหายเอง”
เจิงจ้ายส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ไม่ทันแล้วล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก”
ขงจื่อลุกขึ้นเตรียมวิ่งไปหาหมอ แต่เจิงจ้ายได้ใช้สุดแรงที่มีคว้ามือขงจื่อไว้ “ลูก ! ในที่สุดลูกก็ไม่ได้ทำให้ท่านพ่อและท่านตาต้องผิดหวัง ลูกตั้งใจร่ำเรียนศึกษา ทั้งตอนนี้ยังมีตำแหน่งหน้าที่การงานอีก ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ แต่อย่างน้อยก็เป็นตำแหน่งราชการ ลูกต้องจำไว้ว่าจะทำงานด้วยความสุจริตยุติธรรม อย่าได้คลุกคลีกับพวกคนพาลที่คอยกัดกร่อนประเทศชาติอย่างเด็ดขาด แม้นจะไม่สามารถทำการอันใหญ่โต แต่ลูกก็จะต้องดำรงความเที่ยงธรรมอย่างที่ท่านตาของลูกได้สั่งเสียเอาไว้”
ขงจื่อกล่าวว่า “ลูกจะจดจำโอวาทของท่านแม่ไว้”
เจิงจ้ายกล่าวต่อไปอีกว่า “คำสั่งเสียของท่านตาจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับประกอบหน้าที่ต่อไปในภายหน้านะ”
ขงจื่อกล่าวว่า “ลูกรับทราบ”
เจิงจ้ายหลับตาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า “พี่ของลูกพิการมาแต่เด็ก ลูกจะต้องดูแลเขาให้ดี”
ยังไม่ทันที่ขงจื่อรับคำเมิ่งผีก็วิ่งโผเข้ามาถึง ครั้นได้ยินเจิงจ้ายกล่าวเมื่อสักครู่ก็พิลาปคร่ำครวญว่า “ท่านแม่ ! ท่านแม่อย่าทิ้งพวกเราไปนะ !”
เจิงจ้ายดึงมือของเมิ่งผีและกล่าวว่า “แม่ไม่ไหวแล้วล่ะ ตระกูลของเรามีบุญคุณต่อแคว้นหลู่มาก่อน พวกเจ้าทั้งสองจะต้องสานปณิธานของตระกูลสืบไป”
ในตอนนั้น ราตรีเริ่มโรยตัวเข้าปกคลุม ภายในห้องเริ่มมืดมิดด้วยเงาดำแห่งรัตติกาล ฉีกวนซื่อจุดตะเกียงน้ำมันดวงน้อย แสงตะเกียงสาดกระทบใบหน้าอันขาวซีดของเจิงจ้ายจนกลายเป็นสีเหลืองหม่น ทุกๆ คนต่างห้อมล้อมอยู่รอบเตียงนอน ขงจื่อกล่าวกับเหยียนลู่ว่า “ตอนนี้ข้าคงจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว น้องรัก ! คงจะต้องรบกวนให้น้องไปตามหมอให้แล้วล่ะ”
เหยียนลู่รีบปราดออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน เหยียนลู่ได้กลับมาพร้อมกับหมอ หลังจากหมอได้ตรวจชีพจรเสร็จ ได้ดึงขงจื่อออกไปพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักหน่วงว่า “ชีพจรอ่อนแรง ลมหายใจแผ่วเบา ท่านรีบๆ จัดการเรื่องที่เหลือเถอะ !” พูดจบ หมอก็เดินจากไป
คนในครอบครัวน้อยใหญ่ต่างห้อมล้อมอยู่รอบเจิงจ้าย ทุกสายตาต่างภาวนาให้เจิงจ้ายมีเรี่ยวแรงพูดจาได้อีก และเพื่อที่จะฟังเสียงของเธอได้ถนัด ทุกคนจึงต่างเงียบสงบจนไม่อนุญาตให้ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
เวลาได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาต่างตั้งตารอคอยจวบจนรุ่งสาง ในที่สุด นางได้ลืมตาขึ้นมองอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง แสงตะวันได้สาดรอดหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เจิงจ้ายเผยอปากทำท่าจะพูดจา ขงจื่อรู้ดีว่านี่คือคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย จึงยืนตัวตรงเพื่อสดับโอวาทของมารดาอย่างเรียบร้อย เจิงจ้ายพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ลูกต้องมีเมตตาธรรม ต้องรับใช้ประเทศชาติ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่ปิดบังลูกมาโดยตลอด พ่อ..พ่อ...ของเจ้า….ฝัง…อยู่…ที่…”
“พ่อฝังอยู่ที่ไหน? แม่ ! พ่อฝังอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่…” นางใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ก็หาอาจพูดให้จบได้ไม่ นางค่อยๆ หรี่ตาลงอย่างสงบ และอำลาทุกคนไปอย่างมิอาจหวนคืน เวลานั้น ตรงกับปีหลู่เจากงศกที่ ๑๔ (๕๒๘ ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู สิริอายุ ๓๙ ปี
ทุกคนต่างร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ ขงจื่อมีความเห็นว่าควรจะฝังมารดาร่วมกับบิดา แต่สุสานของบิดาอยู่ที่ไหนเล่า?
ที่แท้หลังจากสูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรมแล้ว เจิงจ้ายเป็นห่วงว่าเมิ่งผีและข่งชิวจะวุ่นอยู่แต่การดูแลสุสานจนละทิ้งการเรียน ดังนั้นจึงปกปิดตำแหน่งสุสานมาโดยตลอด โดยตั้งใจว่าจะบอกให้ทราบก่อนสิ้นใจ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
อนึ่ง พวกเขาทุกคนต่างย้ายถิ่นฐานจากโจวอี้ไปที่ชวีฟู่หลังจากที่สูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรม ดังนั้นจึงไม่มีเพื่อนบ้านคนใดที่ทราบที่ตั้งของสุสานเลย ด้วยความจนใจ ขงจื่อจึงปรึกษากับพี่ชายว่าจะนำโลงศพของมารดาไปตั้งอยู่ที่ปากตรอกอู้ฟู่ เผื่อว่าจะมีคนสัญจรที่รู้ตำแหน่งสุสานจะกรุณาให้ความช่วยเหลือได้
ในตอนนั้นมีหญิงชราวัย ๕๐ คนหนึ่งเดินเข้ามาคำนับศพ หลังคำนับศพเสร็จได้หันมากล่าวกับขงจื่อและเมิ่งผีว่า “ข้าคือมารดาของวั่นฟู่มั่น เป็นเพื่อนสนิทกับคุณแม่ของเจ้า เรื่องตำแหน่งสุสานของพ่อเจ้า ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
ขงจื่อกับเมิ่งผีรีบก้มกราบหญิงชราท่านนั้นว่า “ขอให้ท่านป้ากรุณาด้วยเถิด”
หญิงชราได้บอกตำแหน่งสุสานของสูเหลียงเฮ่อแก่ทั้งสอง หลังจากทั้งสองได้กราบขอบพระคุณหญิงชราท่านนั้นแล้วก็ชะลอศพไปที่ภูเขาฝางซัน
ภูเขาฝางซันทอดยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก มีลักษณะลาดต่ำจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก ทั้งหมดจึงเริ่มเดินขึ้นสันเขาไปอย่างช้า ๆ บนสันเขาจะสามารถเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของภูเขาฝางซันที่คดเคี้ยวประหนึ่งมังกรที่นอนหลับไหล ณ ที่ราบบนสันเขาได้มีต้นสนขึ้นประปรายตามที่หญิงชราท่านนั้นได้พรรณนาไว้ ทั้งหมดจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินทางต่อไป
ครั้นมาถึงสุสานของสูเหลียงเฮ่อแล้ว ทั้งขงจื่อและเมิ่งผีต่างคุกเข่าก้มกราบบิดา จากนั้นจึงยึดตามหลักภูมิโหราศาสตร์ โดยขุดดินให้ตำแหน่งสุสานหันไปทางทิศเหนือใต้ จากนั้นจึงนำโลงศพมารดาหย่อนลงสู่พื้นพสุธาให้อยู่เคียงข้างบิดาตลอดกาลนาน
หลังเสร็จสิ้นพิธีปลงศพไปแล้ว ๓ วัน ขงจื่อยังคงนั่งเศร้าสร้อยเงียบหงอยอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง เหยียนลู่ได้วิ่งพรวดพราดเข้ามาหา และพูดอย่างรีบร้อนว่า “เมื่อสักครู่ข้าเดินผ่านถนนใหญ่มา ได้ยินชาวบ้านโจษขานกันว่า พ่อบ้านที่ชื่อหนันขว่ายของอุปราชจี้ได้ก่อการกบฏที่ปี้อี้แล้ว”
ครั้นขงจื่อได้สดับก็เพ่งมองเหยียนลู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง
เหยียนลู่เล่าต่อไปอีกว่า “ชาวเมืองปี้อี้ต่างรวมตัวกันต่อต้าน หนันขว่ายจึงพ่ายแพ้หลบหนีไป ตอนนี้ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่แคว้นฉีแล้ว”
ครั้นทราบว่าสงครามได้สงบลง ขงจื่อจึงค่อยหายใจได้โล่งท้อง
ขงจื่อได้ส่งเหยียนลู่กลับ จากนั้นก็เดินไปหยิบคัมภีร์อี้จิง และพยายามรวบรวมสมาธิอ่าน แต่ก็หาอาจรวบรวมสมาธิได้ไม่ เพราะคำพูดของเหยียนลู่ยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาทมิคลาย ภาพพฤติกรรมของจี้ผิงจื่อได้ลอยปรากฏออกมาในห้วงความคิด
เมื่อหลายปีก่อน จี้ผิงจื่อเคยทำการอุกอาจเหยียดหยามจริยา โดยไปบูชาเซ่นสรวงเทพเจ้าแห่งภูเขาไท่ซัน ซึ่งตามจารีตประเพณีของราชวงศ์โจวได้กำหนดไว้ว่า มีเพียงพระมหากษัตริย์และบรรดาเจ้าแคว้นเท่านั้นที่สามารถกระทำได้
ขงจื่อรู้สึกเป็นห่วงว่าจะมีสักวันที่จี้ผิงจื่อต้องก่อการกบฏอย่างที่หนันขว่ายได้ทำอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเป็นเพียงพฤติกรรมการช่วงชิงอำนาจธรรมดา แต่ที่เดือดร้อนที่สุดก็คืออาณาประชาราษฎร์ และสุดท้ายก็จะนำความวิบัติมาสู่บ้านเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ขงจื่อรู้ดีว่าฐานะของตนในตอนนี้ทำได้แค่ร้อนใจเท่านั้น อย่างไรก็มิอาจพลิกผันสถานการณ์ได้ดังที่ใจหมาย แต่ขงจื่อก็ยังคงเฝ้าหวังให้มีโอกาสที่จะร่วมงานการเมืองมาถึงอยู่เสมอ
ตามประเพณีในสมัยนั้น หากบุพการีได้ถึงแก่กรรม ผู้เป็นบุตรจะต้องไว้ทุกข์ให้กับบุพการีเป็นเวลาสามปี ในช่วงสามปีนี้ ขงจื่อจึงปฏิเสธการรับแขกและตั้งใจศึกษาตำราอยู่มิขาด แต่ก็มีเพียงเหยียนลู่เท่านั้นที่มักจะเป็นแขกประจำมาเยี่ยมหา อีกทั้งยังทำหน้าที่บอกเล่าสถานการณ์บ้านเมืองให้รู้อยู่เสมอ ถึงแม้เหยียนลู่จะมีชาติกำเนิดเพียงเด็กเลี้ยงวัว แต่ก็มีความห่วงใยบ้านเมืองไม่ด้อยไปกว่าใคร ดังนั้นเขาจึงมักจะปะปนเข้าไปกับฝูงชน และคอยสดับฟังคำวิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองจากชาวบ้านอยู่มิขาด
ปีหลู่เจากงศกที่ ๑๗ (๕๒๕ ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู เจ้าเมืองแห่งเมืองถัน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นหลู่ได้มาขอเข้าพบหลู่เจากง ที่เมืองถันแห่งนี้จะมีประเพณีที่นิยมวิหคเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นจึงมักจะนำวิหคมาทำเป็นเครื่องประดับหรือตั้งเป็นชื่อเมืองต่างๆ อย่างแพร่หลาย
ขงจื่อมีความสนใจใคร่รู้ถึงความเป็นมาของประเพณีนี้มาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้ถามไถ่ข้อเท็จจริงนี้เสียที ดังนั้นครั้นเหยียนลู่ได้ทราบข่าวการมาเยือนของถันจื่อ จึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าวนี้ให้ขงจื่อทราบในทันที
ในตอนนั้นขงจื่อเพิ่งไว้ทุกข์ครบสามปีพอดี ดังนั้นครั้นทราบว่าเจ้าเมืองถันได้เดินทางมาเยือนก็รีบตามเหยียนลู่ไปที่วังหลวงโดยมิรอช้า แต่เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ พวกเขาเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี่เอง” ครั้นขงจื่อได้สดับก็รู้สึกผิดหวังเป็นยิ่งนัก
หลังเข้าสู่ฤดูสารทในปีเดียวกัน ถันจื่อได้มาเยือนเมืองหลู่อีกเป็นครั้งที่สอง เมิ่งสีจื่อจึงรีบส่งคนไปแจ้งให้ขงจื่อทราบ
ขงจื่อได้เดินทางเข้าคารวะถันจื่อ พลางถามขึ้นว่า “กระหม่อมได้ทราบมาว่า บ้านเมืองของฝ่าบาทมีความนิยมวิหคจนถึงกับนำมาตั้งเป็นชื่อของสิ่งของอย่างแพร่หลาย มิทราบว่าประเพณีนี้มีความเป็นมาเช่นไรฤๅ? จึงใคร่ขอให้ฝ่าบาททรงพระกรุณาแถลงไขด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตามคำร่ำลือ เจ้าเมืองถันทรงเป็นอนุชนของพระอริยกษัตริย์หวงตี้ในสมัยโบราณ ด้วยความทะนงในขัตติยมานะ พระองค์จึงทอดพระเนตรแลขงจื่อด้วยสายพระเนตรอันถือพระองค์แลตรัสว่า “ในสมัยที่บรรพบุรุษของเราได้ทรงก่อรากสร้างฐานประเทศชาติใหม่ๆ ได้มีนกหงส์บินมาเกาะที่ต้นอู่ถง ๒ ตัว บรรพบุรุษของเราถือเป็นเรื่องสิริมงคล ดังนั้นจึงได้ถือนกหงส์เป็นนกมงคลนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้เรายังใช้ชื่อนกหลากชนิดมาตั้งเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางอีกด้วย”
หลังเกริ่นจบก็ทรงแนะนำตำแหน่งขุนนางในสมัยนั้นให้ฟังโดยละเอียด แต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นขงจื่อให้ความสนใจอย่างนบนอบ ถันจื่อจึงทรงแนะนำวัฒนธรรมประเพณีของเมืองถันให้ฟังเพิ่มเติมด้วยความยินดี แต่หลังจากทรงทราบในภายหลังว่า ผู้ที่พระองค์ทรงสนทนาด้วยคือขงจื่อที่ใฝ่ฝันใคร่พบมาช้านาน พระอิริยาบทจึงสำรวมขึ้นอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ “ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานาน ขออภัยที่เสียมารยาท ! ขออภัยที่เสียมารยาท !”
หลังจากทั้งสองสนทนาจบ ขงจื่อจึงกราบขอบพระคุณและคำนับลาจากไป
ปีหลู่เจากงศกที่ ๑๘ (๕๒๔ ปีก่อนคริสตศักราช) เมืองซ่ง เมืองเว่ย เมืองเฉิน เมืองเจิ้งต่างเกิดอัคคีภัยกันตามลำดับ ที่เมืองเจิ้งมีคนเสนอให้ทำพิธีบูชาฟ้าว่า “หากเราไม่ทำพิธีบูชาฟ้าเพื่อปัดเป่าเภทภัย เมืองเจิ้งจะต้องมีอัคคีภัยอีกเป็นแน่”
ครานั้น อุปราชเมืองเจิ้ง นามว่าจื๋อฉั่น ผู้อยู่ฝ่ายบริหารกล่าวค้านขึ้นว่า “การปกครองดูแลใต้หล้าของฟ้านั้นเป็นไปแบบเลือนลาง หากการปกครองของมนุษย์ต่างหากที่เป็นจริงและจับต้องได้ ในเมื่อเราไม่ได้เจริญตามครรลองฟ้า แล้วไยจะเข้าใจฟ้าได้ !”
จื๋อฉั่นเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถ รู้จักอุปถัมภ์คนดีผู้สามารถอยู่มิขาด ในยามที่ต้องตัดสินปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง จื๋อฉั่นมักจะขอความเห็นจากกงซุนฮุยที่มีความเข้าใจสถานการณ์ของแต่ละแว่นแคว้น อีกทั้งยังมักสดับความเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง แล้วจึงให้เฝิงเจี๋ยนจื่อที่มีความสันทัดการวิเคราะห์เหตุผลเป็นผู้ตัดสิน สุดท้ายจึงจะให้อิ๋วจี๋ที่เชี่ยวชาญในการต่างประเทศไปดำเนินการ
ด้วยการดำเนินการอย่างรัดกุมเช่นนี้ การตัดสินใจของจื๋อฉั่นจึงไม่เคยผิดพลาดแต่อย่างใด เมืองเจิ้งที่อยู่ภายใต้การบริหารของจื๋อฉั่นมา ๓ ปี ก็มีสภาพสังคมที่ปกติสุข นโยบายต่างประเทศล้วนประสบกับความสำเร็จอย่างงดงาม
ทัศนะการทำงานของจื๋อฉั่นที่มุ่งเน้นการทำงานอย่างรอบคอบ คอยห่วงใยทำนุบำรุงประเทศชาติ โดยวัดที่ผลของการกระทำแทนการพึ่งฟ้าอย่างเลื่อนลอยฉะนี้ ได้มีอิทธิพลต่อทัศนะความคิดของขงจื่อเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกครั้งที่ขงจื่อได้ทราบข่าวความสำเร็จด้านการบริหารบ้านเมืองของจื๋อฉั่น ขงจื่อมักจะรู้สึกยินดีและเลื่อมใสในอาวุโสท่านนี้ จนถึงกับใฝ่ฝันให้มีโอกาสได้กราบจื๋อฉั่นเป็นอาจารย์เพื่อขอร่ำเรียนศิลปะการบริหารประเทศชาติให้ได้ในสักวันหนึ่ง
ด้วยการศึกษาร่ำเรียนอย่างแข็งขัน ภูมิความรู้ของขงจื่อจึงนับวันยิ่งแกร่งกล้าขึ้นตามลำดับ ในกิจวัตรประจำวัน ขงจื่อนอกจากจะสอนลูกชายคือข่งหลี และลูกสาวคือข่งอู๋เหวยให้ท่องศัพท์แล้ว ท่านก็จะขับลำแลทอดอารมณ์ไปกับเสียงพิณ ปล่อยให้ความรู้สึกได้ดื่มด่ำไปกับจังหวะทำนองเพลง ทำใจให้กลมกลืนกับธรรมชาติแห่งดนตรี
แต่ขงจื่อมักจะรู้สึกว่าเสียงพิณของตนยังขาดเสียงทุ้มสุขุมที่ยังแก้ไขไม่ได้อยู่ ท่านได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายดนตรีแห่งเมืองจิ้นนาม ซือเซียงจื่อ ว่า เป็นผู้ที่มีความชำนาญในดนตรีประเภทเครื่องสายมาช้านาน ในใจจึงคิดแต่จะหาโอกาสไปขอเรียนวิชาด้วยอยู่เสมอ ดังนั้นในปีหลู่เจากงศกที่ ๑๙ (๕๒๓ ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู ขงจื่อได้บอกลาเพื่อนสนิทมิตรสหายและออกเดินทางไปเรียนวิชาพิณด้วยซือเซียงจื่อที่แคว้นจิ้น เป็นเวลา ๑๐ กว่าวันก็ถึงเชิงเขาไท่หังซัน
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาล้วนเป็นหนทางอันทุรกันดาร ภูมิประเทศมีความสลับซับซ้อน แต่หลังจากได้ข้ามภูเขาไท่หังซันไปแล้ว ความสลับซับซ้อนของภูมิประเทศกลับกลายเป็นที่ราบสูงดินเหลืองที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา
ในช่วงวสันตฤดู ที่ราบสูงดินเหลืองจะมีลมพัดกรรโชกแรง เม็ดทรายเหลืองที่ม้วนตัวมากับสายลมจึงมีอานุภาพเหมือนดั่งกระสุนที่พุ่งกรีดใบหน้าอย่างเจ็บปวด ขงจื่อมิอาจก้าวเดินหรือลืมตาได้แม้แต่น้อย บ่อยครั้งจึงต้องหยุดป้องตารอให้ลมนิ่งจึงจะสามารถเดินทางต่อได้
ในวันนี้ ขงจื่อได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นจิ้น เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ หนทางสัญจรกว้างขวางและเจริญรุ่งเรือง บ้านช่องห้องแถวล้วนประดับประดาด้วยศิลปะสมัยโบราณ
แต่เนื่องจากจิตใจขงจื่อมุ่งแต่จะร่ำเรียนวิชาดนตรี ดังนั้นจึงหาได้มีใจหยุดชมความงามของตัวเมืองไม่ หากแต่เที่ยวเสาะหาที่อยู่ของซือเซียงจื่อจนมาถึงตรอกเล็กๆ ที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง สุดตรอกคือบ้านซือเซียงจื่อที่ปิดดาลด้วยประตูสีดำบานเขื่อง มองลอดเข้าไปในช่องประตูจะสามารถเห็นอักษร ฮก ตัวใหญ่แขวนอยู่บนกำแพง ขงจื่อรีบปัดฝุ่นตามร่างกายให้สะอาด แล้วจับห่วงเหล็กที่เป็นหูประตูเคาะเรียกเจ้าของบ้าน
บานประตูค่อยๆ แง้มออกอย่างช้าๆ ขงจื่อสังเกตผู้เปิดประตูอย่างพินิจ พบว่าเป็นชายชราหนวดเคราขาวโพลนที่มีใบหน้าอันอารียืนนิ่งอยู่ ขงจื่อรีบก้าวเดินขึ้นคำนับอย่างนบนอบว่า “มิทราบว่าท่านอาวุโสคือท่านซือเซียงจื่อหรือไม่?”
ชายชราคำนับตอบและกล่าวว่า “ข้าก็คือซือเซียงจื่อ มิทราบว่าท่านคือผู้ใด? มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ผู้เยาว์คือข่งชิวแห่งเมืองหลู่ เดินทางมาไกลครั้งนี้เพื่อขอเรียนวิชาพิณจากท่านอาวุโสโดยเฉพาะ”
ซือเซียงจื่อพูดด้วยใบหน้าอันแช่มชื่นว่า “ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาช้านาน ทราบว่าท่านคืออริยชนผู้มีภูมิธรรมความรู้อันสูงส่ง ข้ารู้สึกแค้นใจนักที่มิอาจไปคารวะท่านได้ แต่วันนี้ท่านกลับลดตัวมาเยือนข้าเสียก่อน จึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก”
ขงจื่อกล่าวว่า “กิตติศัพท์ของท่านอาจารย์เลื่องลือไกล ทั้งสี่คาบสมุทรล้วนกล่าวขานในวิชาความรู้ของท่าน ข้ารู้สึกเลื่อมใสท่านมาช้านาน ดังนั้นจึงมาขอฝากตัวเรียนวิชาจากท่านโดยเฉพาะ”
ซือเซียงจื่อกล่าวว่า “เพียงคำร่ำลือ ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ในเมื่อท่านฟูจื่ออุตส่าห์รอนแรมมาแต่ไกล ก็ขอเชิญเข้ามาที่กระท่อมน้อยของข้านั่งจิบชาพักผ่อนก่อนเถอะ” ครั้นพูดจบก็จูงมือขงจื่อเข้าไปในเรือน
หลังจากทั้งสองต่างแยกนั่งกันตามธรรมเนียม ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า “ท่านฟูจื่อบุกฝ่าลมฝนมาแต่ไกล เพียงแค่นี้ก็พิสูจน์ถึงความจริงใจของท่านได้แล้ว ข้าจะต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีให้แก่ท่านอย่างแน่นอน”
ขงจื่อโค้งกายคารวะว่า “ขอบพระคุณเป็นยิ่งนัก”
ซือเซียงจื่อกล่าวว่า “ข้ารับราชการอยู่ฝ่ายเครื่องตี ดังนั้นจึงพอดีดพิณได้บ้างเล็กน้อย เดี๋ยวข้าจะลองเล่นให้ฟังซักเพลงหนึ่ง”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยที่มุมห้อง ซือเซียงจื่อเอื้อมมือปลดผ้าคลุมสีดำออก ที่ปรากฏคือพิณโบราณสีดำขลับที่ต้องแสงไฟจนวาววับจับตา หลังจากได้ปรับสายพิณจนเรียบร้อยแล้ว ซือเซียงจื่อได้รวบรวมสมาธิและเริ่มกรีดนิ้วร่ายมือบนสายพิณอย่างคล่องแคล่ว
สายพิณสั่นสะท้านออกเป็นเสียงดนตรีตามจังหวะนิ้วมือ เดี๋ยวก็หนักแน่นทรงพลัง เดี๋ยวก็เชื่องช้าอย่างนุ่มนวล ทั้งหมดได้ผสมผสานจนกลายเป็นมนตร์ขลังที่สะกดใจขงจื่อจนเคลิบเคลิ้มไปตามทำนองอย่างไม่รู้ตัว ทุกอณูขุมขนของขงจื่อได้ตื่นตัวดื่มด่ำกับความสุขแห่งเสียงเพลง ทั่วทั้งสรรพางค์กายมีความรู้สึกซาบซ่านอย่างยากบรรยาย ความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหายตลอดการเดินทางได้ถูกขับไล่ไปจนหมดสิ้น
ซือเซียงจื่อจะทำการอธิบายให้ฟังโดยละเอียดทุกครั้งที่จบเพลง ส่วนขงจื่อก็ตั้งใจจดจำอย่างแม่นยำ ครั้นซือเซียงจื่อได้เห็นขงจื่อมีความตั้งใจเรียนรู้อย่างนอบน้อม จึงรู้สึกปีติยินดีและถ่ายทอดวิชาความรู้ที่สะสมมาตลอดหลายสิบปีให้จนหมดสิ้น
ขงจื่อรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทั้งสองจึงปฏิบัติต่อกันประหนึ่งว่าเคยเป็นสหายเก่ากันมานาน ในคืนวันนั้น ซือเซียงจื่อได้จัดเลี้ยงต้อนรับขงจื่ออย่างสมเกียรติ และเชิญให้ขงจื่ออยู่พักอาศัยด้วยกันที่บ้าน นับแต่นั้น ทั้งสองจึงต่างแลกเปลี่ยนวิชาให้กันทั้งเช้าแลค่ำโดยมิรู้เหนื่อย
นับแต่ขงจื่อได้รับการชี้แนะจากซือเซียงจื่อ วิชาพิณก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ายซือเซียงจื่อก็ได้ศึกษาวิชาความรู้จากขงจื่อจนได้เปิดหูเปิดตาขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน หลังจากทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความรู้กันเช่นนี้อยู่สิบกว่าวัน วิชาพิณของขงจื่อก็ชำนาญคล่องแคล่วจนสามารถเล่นได้ตามที่ใจปรารถนา
วันหนึ่ง ขงจื่อยังคงวนเวียนเล่นอยู่แต่เพลงเดิมๆ ซือเซียงจื่อได้กล่าวชมขึ้นด้วยความดีใจว่า “ท่านได้เข้าถึงแก่นแท้แห่งวิชาพิณแล้ว ส่วนเพลงนี้ท่านก็ชำนาญพอแล้ว ท่านเปลี่ยนเพลงใหม่เล่นเถอะ”
ขงจื่อกล่าวว่า “ข้ายังมิอาจเข้าถึงความหมายของบทเพลงเลย”
ผ่านไปพักใหญ่ ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า “ท่านได้เข้าถึงความหมายของบทเพลงแล้ว เปลี่ยนเล่นเพลงใหม่เถอะ”
ขงจื่อกล่าวว่า “ข้ายังมิอาจเข้าถึงอุปนิสัยของผู้ประพันธ์เลย”
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ขงจื่อนิ่งตรองอย่างสงบ ใบหน้าปรากฏท่วงทีของผู้มองการณ์ไกล ชั่วขณะต่อมาได้อุทานขึ้นด้วยความดีใจว่า “อา ! ข้าเข้าใจแล้ว เขามีจิตใจกว้างใหญ่ ปณิธานยาวไกล บุคลิกสูงล้ำ คุณธรรมขาวสะอาด นอกจากพระเจ้าโจวเหวินหวังแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถประพันธ์เพลงเช่นนี้ได้? เพราะพระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลจนเสมือนหนึ่งมองกวาดตาไปทั่วหล้า ทรงมีคุณธรรมอันบริสุทธิ์จนสามารถผดุงความสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน”
ครั้นซือเซียงจื่อได้ฟังก็ก้มกราบขงจื่อ พร้อมทั้งชมว่า “ท่านฟูจื่อสมเป็นอริยชนจริงๆ เมื่อตอนที่ข้าเรียนวิชาพิณกับอาจารย์ ท่านได้บอกว่านี่คือเพลง คุณธรรมเหวินหวัง ช่างวิเศษจริงแท้ ท่านสามารถแตกฉานในความหมายของเพลงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง ! ช่างหาได้ยากยิ่ง !”
ขงจื่อได้แลกเปลี่ยนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนที่สุดได้กลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจของกันและกัน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ขงจื่อได้รำลึกขึ้นว่าอยู่ร่ำเรียนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อถึงเดือนกว่า วันหนึ่ง ขงจื่อได้กล่าวกับซือเซียงจื่อว่า “ข้าได้รับการชี้แนะจากท่านอาวุโสอย่างมากมาย จวบจนวันนี้ก็เป็นเวลาได้เดือนกว่าแล้ว ข้าเองก็คงจะได้เวลากลับมาตุภูมิแล้วล่ะ” แต่ซือเซียงจื่อยังคงรบเร้าให้อยู่ต่อ ขงจื่อทนรบเร้าไม่ได้จึงอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง
สามวันให้หลัง ซือเซียงจื่อได้จัดเลี้ยงอำลาให้แก่ขงจื่อ หลังเสร็จจากงานเลี้ยง ทั้งสองต่างร่ำลากันด้วยความอาลัย
ครั้นขงจื่อก้าวเข้าสู่ประตูบ้าน ฉีกวนซื่อ ข่งหลีและอู๋เหวยต่างรีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ฉีกวนซื่อช่วยรับห่อผ้าจากขงจื่อ ส่วนลูกๆ ก็ช่วยกันปัดฝุ่นผงให้ขงจื่ออย่างขะมักเขม้น
เพียงขงจื่อหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เหยียนลู่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันแช่มชื่น และกล่าวถามขงจื่อจนมิทันตั้งตัว
เหยียนลู่กล่าวว่า “ท่านแตกฉานทั้ง ๖ แขนงวิชาแล้ว ตอนนี้ควรจะรับข้าเป็นศิษย์ได้แล้วสิ”
ขงจื่อกล่าวว่า “สำนักศึกษาในอดีตล้วนต้องดำเนินการโดยรัฐ จะให้สามัญชนทั่วไปเปิดสำนักรับลูกศิษย์นั้นไม่เคยปรากฏกรณีเช่นนี้มาก่อน พึงรู้ว่าการอบรมลูกศิษย์มิใช่เรื่องว่าเล่น หากสอนไม่ดีก็จะเป็นการทำลายอนาคตของผู้อื่นได้”
เหยียนลู่กล่าวว่า “ด้วยความรู้อันลุ่มลึกและความจริงใจต่อผู้คนของท่านเช่นนี้ เกรงแต่ว่าพอเปิดสอนก็จะมีฝูงชนหลั่งไหลจนอัดแน่นเต็มสำนัก และลูกศิษย์จะพากันบ่นว่าเรียนไม่ทันเสียมากกว่า ไหนเลยที่ท่านจะทำลายอนาคตของลูกศิษย์ได้”
ขงจื่อกล่าวว่า “หามิได้ เพราะการตั้งสำนักศึกษาจะต้องตรึกตรองวางแผนอย่างรอบคอบจึงจะถูก”
2 บันทึก
2
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย