Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
7 ก.ย. เวลา 01:11 • การศึกษา
1.6 ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา
ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๐ (๕๒๒ ปีก่อนคริสตศักราช) ขงจื่ออายุ ๒๙ ปี หากนับตามจีนก็จะมีอายุครบ ๓๐ ปีพอดี ในเวลานั้นขงจื่อมีความตั้งใจในการศึกษาร่ำเรียนอย่างวิริยะ จึงมีความแกร่งกล้าในศิลปวิทยาทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นด้านนิติศาสตร์ จริยา รัฐศาสตร์แลคุณธรรม ต่างมีความแตกฉานอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านจึงมีปณิธานหมายมั่นว่าจะอุทิศตนรับใช้ชาติให้เป็นที่ประจักษ์ในโลกา แต่จะให้สังคมประจักษ์แลยอมรับอย่างไรนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เลือนลางสำหรับขงจื่อยิ่งนัก
สำหรับเหยียนลู่เองก็มักจะมาล้อมหน้าล้อมหลังสอบถามวิชาความรู้และอ้อนวอนขอกราบขงจื่อเป็นอาจารย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันหนึ่ง เหยียนลู่ยังคงเกลี้ยกล่อมให้ขงจื่อเปิดสำนักรับลูกศิษย์อย่างไม่ละความพยายาม ขงจื่อกล่าวแต่เพียงว่า “หากอยู่ร่วมศึกษาขัดเกลาวิชายังพอทำเนา แต่ถ้าจะให้เปิดสำนักประสาทวิชาแล้ว ก็คงจะวุ่นวายมิใช่น้อย”
เหยียนลู่กล่าวว่า “ครั้นครูประสาทวิชา จะก้าวหน้าก็อยู่ที่วิริยา ขอเพียงแต่ท่านสอนเท่านั้น ส่วนพวกลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบกันเอง”
ขงจื่อทำหน้าขึงขังขึ้นมาว่า “เมื่อข้าตั้งใจจะเปิดสอน ก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ พึงรู้ว่าพื้นฐาน อารมณ์และความสามารถของแต่ละคนนั้นร้อยแปดพันเก้า หากจะให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ก็จะต้องสอนตามจริตของแต่ละปัจเจก”
“ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้องยิ่งนัก” ครั้นพูดจบ เหยียนลู่ก็รีบคุกเข่าหมอบกราบว่า “ศิษย์ขอกราบคารวะท่านอาจารย์”
ขงจื่อรีบจูงมือเหยียนลู่ขึ้นพลางพูดว่า “น้องรัก ไยต้องถึงกับพิธีรีตองเช่นนี้ด้วย?”
เหยียนลู่กล่าวด้วยความจริงจังว่า “ศิษย์ไหว้ครู ไม่ใช้พิธีเช่นนี้ไม่ได้”
ขงจื่อกล่าวว่า “หมายความว่าข้าจะต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ให้ได้ใช่ไหม?”
เหยียนลู่กล่าวว่า “ความจริง ข้าได้เป็นศิษย์ของท่านมานานแล้วล่ะ”
นับแต่นั้นมา บ้านของขงจื่อก็ได้กลายเป็นสำนักศึกษา โดยมีต้นจามจุรีเก่าแก่ที่หน้าบ้านลานเฉลียงคอยให้ร่มเงา
วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์อยู่นั้น ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูบ้านเข้าขัดจังหวะ ข่งหลีหูไวขาเร็ว จึงรีบไปเปิดประตูต้อนรับ ปรากฏว่าเป็นชายแปลกหน้าอายุประมาณ ๒๐ กว่าคนหนึ่ง ชายคนนี้มีรูปร่างปานกลาง คิ้วดกตาโต
ข่งหลีเพ่งพินิจด้วยความตะลึงอยู่พักใหญ่ จึงถามว่า “ท่านมาหาใคร ?”
แขกที่มาถามขึ้นอย่างสุภาพว่า “ขอถามว่า ที่นี่คือบ้านของท่านข่งฟูจื่อหรือไม่?”
ข่งหลีกล่าวว่า “ใช่ เชิญท่านเข้ามาก่อน”
ขงจื่อและเหยียนลู่ได้ยินเสียงจึงรีบตามไปดู
ทั้งหมดต่างรวมกันที่ระเบียงบ้าน แขกผู้มาเยือนแนะนำตนว่า “ข้าเจิงเตี่ยน ชาวเมืองอู่เฉิง ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาช้านาน วันนี้จึงมาเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่านฟูจื่อโดยเฉพาะ” ครั้นพูดจบก็มิคอยให้ขงจื่อต้องพูดต่อ เจิงเตี่ยนรีบวางสัมภาระบนไหล่กองกับพื้น จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดูดี แล้วหมอบกราบลงทันทีว่า “ศิษย์เจิงเตี่ยนขอกราบคารวะท่านอาจารย์”
เจิงเตี่ยน มีฉายาว่าจื่อซี ชาวเมืองอู่เฉิง แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกงศกที่ ๒๗ (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช)
ครั้นขงจื่อได้เห็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความใสซื่อบริสุทธิ์คนนี้ ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบต่อภารกิจก็พลุ่งพล่านขึ้นภายในจิตใจ ตอนนั้นขงจื่อจึงตัดสินใจเปิดสำนักศึกษาเอกชนในที่สุด ครั้นคิดได้ดังนี้ ขงจื่อจึงพยุงเจิงเตี่ยนขึ้นและกล่าวว่า “เชิญเข้าในเรือนก่อนเถอะ”
ครั้นเข้าสู่ภายในเรือน ขงจื่อได้แนะนำเหยียนลู่ ข่งหลี ฉีกวนซื่อ ข่งอู๋เหวยให้เจิงเตี่ยนได้รู้จัก
เจิงเตี่ยนคารวะฉีกวนซื่อ พลางเปิดห่อผ้าและหยิบเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้นออกมาว่า “ศิษย์อยู่ ณ ถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีของขวัญมีค่าเป็นค่าครูมอบให้ท่านอาจารย์ได้ จึงขอให้ท่านอาจารย์โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
หลังจากขงจื่อรับเนื้อตากแห้งไว้ ได้พูดด้วยความจริงใจว่า “ของขวัญเป็นเพียงของนอกกาย ไหนเลยจะสำคัญเท่าการประสิทธิ์วิชาได้ ในเมื่อข้าจะเปิดสำนักศึกษา ข้าก็จะขอขจัดประเพณีอันคร่ำครึของสำนักศึกษาราชการ ไม่ว่าผู้ที่มาเรียนจะมีฐานะยากดีมีจนเช่นไร ขอเพียงเขายินยอมมาศึกษาวิชากับข้า ยอมรับนับถือข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะประศาสน์วิชาให้เขาอย่างสุดกำลังความสามารถ”
ในสมัยก่อน ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาภาครัฐจะแพงมหาศาล ดังนั้นจึงมีเพียงบุตรหลานของบรรดาข้าหลวงและเหล่าธนบดีเท่านั้นที่มีสิทธิ์เล่าเรียนวิชา แต่ขงจื่อกลับเก็บค่าเล่าเรียนเพียงเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้น จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่มีฐานะยากจน กอปรกับขงจื่อมีกิตติศัพท์อันเลื่องลือไกล จึงมีผู้คนมาศึกษาร่ำเรียนด้วยอย่างล้นหลาม ดังนั้นขงจื่อจึงมีลูกศิษย์มากมายในเวลาไม่นานนัก
วิธีการสอนของขงจื่อจะเป็นการสอนตามจริตของแต่ละปัจเจก แล้วค่อยๆ พัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างเป็นลำดับ ท่านมักจะสอนหนังสืออยู่ใต้ร่มจามจุรีเก่าแก่ที่ระเบียงบ้าน ส่วนเนื้อหาที่สอนก็จะเป็นซือจิง ซูจิง จริยา คีตศาสตร์ คัมภีร์อี้จิง เป็นต้น บ่อยครั้งท่านจะเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ถามคำถาม โดยจะทำการอธิบายให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ท่านยังมักพาลูกศิษย์ออกไปทัศนศึกษาที่ชานเมือง เพราะส่วนหนึ่งจะได้ความเพลิดเพลิน อีกส่วนหนึ่งยังจะได้ชื่นชมทัศนียภาพแห่งธรรมชาติอีกด้วย
วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์ที่ระเบียงบ้าน ทันใดได้มีชายผู้หนึ่งบุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายล่ำสัน เอวหมีหลังพยัคฆ์ โครงหน้าทรงเหลี่ยม หน้าผากสูงงาม ศีรษะสวมหมวกนักรบ บนหมวกปักขนไก่โต้ง กายสวมเสื้อไหมคลุมชะลูดสีน้ำเงิน เอวคาดกระบี่ยาว ขาสวมรองเท้าทรงกระบอก ดูแล้วจะเหมือนเป็นนักรบก็ไม่ใช่ จะเป็นนักศึกษาก็มิเชิง จากการแต่งกายเหมือนคนไม่สมจริต
เขาเดินปรี่เข้าหาขงจื่อและพูดขึ้นอย่างห้วน ๆ ว่า “ศิษย์ จื่อลู่ ขอกราบคารวะท่านอาจารย์”
จ้งอิ๋ว ฉายาจื่อลู่ ชาวเมืองเปี้ยนตี้ แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกงศกที่ ๓๑ (๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช)
ขงจื่อหยุดสำรวจจื่อลู่ด้วยความฉงน แล้วกล่าวตำหนิว่า “เจ้าใส่ชุดอย่างหรูหรา หยิ่งทะนงดั่งไม่มีใครในสายตา ดูแล้วช่างไม่มีบุคลิกแห่งผู้ศึกษาเอาเสียเลย อย่างนี้จะใช้ได้ที่ไหนกัน
พึงรู้ว่าน้ำแห่งมหาธาราล้วนเกิดแต่ภูเขาสูง แต่ต้นสายของมันกลับตื้นเขินจนลอยแม้แต่จอกเหล้าก็มิได้ ครั้นกลางลำน้ำเป็นต้นไป มันกลับมีความยิ่งใหญ่จนต้องอาศัยเรือเท่านั้นจึงจะสามารถข้ามสู่ฝั่ง นี่มิใช่ความอ่อนน้อมแห่งสายน้ำที่สามารถรวบรวมอนุภาคจนกลายเป็นมหาสาครอันไพศาลดอกหรือ? แต่เจ้าวันนี้กลับสวมชุดอย่างหรูหราฟู่ฟ่า กิริยามีความผยองเหมือนไม่มีใครอยู่ในสายตา แล้วใครยังจะกล้าตำหนิสั่งสอนเจ้าได้อีก?”
จื่อลู่นิ่งเงียบมิอาจต่อคำ จึงได้แต่ก้มหน้าเดินออกไปอย่างสงบแล้วเดินกลับเข้ามาในชุดนักรบทะมัดทะแมงอีกครั้ง จื่อลู่ชักกระบี่ออกจากฝักและเริ่มร่ายรำเพลงกระบี่ท่ามกลางลานระเบียงอย่างคล่องแคล่ว ปลายกระบี่ของจื่อลู่ฉวัดเฉวียนทรงพลัง ท่าร่ายเดี๋ยวโดดเดี๋ยวรับ เดี๋ยวผงาดเดี๋ยวรุก ว่องไวดุจวิหคสยายปีก ทรงพลังดุจมังกรโจนนภา
ขณะที่ทุกคนต่างชมกันอย่างไม่กะพริบตาอยู่นั้น จื่อลู่ก็ย่ำสามขุมบุกไปข้างหน้า ชิดขาและเก็บกระบี่อย่างงดงาม พลางกล่าวกับขงจื่อว่า “แต่โบราณกาลมา ไม่มีวิญญูชนคนใดที่จะไม่พกกระบี่ติดตัว ข้าได้ทราบกิตติศัพท์ของบิดาท่านอาจารย์ว่าเป็นถึงทหารเสือ ตราบจนปัจจุบัน ที่เมืองปีหยางยังกล่าวขานกันอยู่มิขาด ส่วนร่างกายอันกำยำของท่านอาจารย์ ก็ควรจะเรียนกระบี่ฝึกวิทยายุทธเพื่อสืบสานปณิธานของบรรพชนจึงจะถูก”
ขงจื่อกล่าวว่า “นับแต่จำเนียรกาลมา วิญญูชนล้วนยึดหลักแห่งความซื่อสัตย์ภักดีเป็นรากฐาน อิงเมตตาธรรมเป็นศูนย์กลาง หากเห็นทรชนก็จะใช้ความจงรักภักดีเข้าอบรม หากเห็นคนหยาบช้าก็จะใช้เมตตาธรรมออกกล่อมเกลา มีเพียงเช่นนี้จึงจะทำให้เกิดผลอันดีงามได้ แล้วไยยังต้องใช้กระบี่ป้องกันตัวอีกด้วยเล่า?”
จื่อลู่สดับฟังด้วยความตั้งใจ
ขงจื่อกล่าวสำทับต่อไปอีกว่า “ข้าได้ยินมาว่า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเฉิงทังที่ทรงปราบพระเจ้าเจี๋ย แห่งราชวงศ์เซี่ยก็ดี หรือพระเจ้าโจวอู่หวังที่ทรงปราบพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซังก็ดี ทั้งสองพระองค์ก็หาได้เคยพกพระแสงกระบี่แต่อย่างใดไม่ แต่ที่สุดก็ทรงสามารถสยบเหล่าทรราชได้มิใช่หรือ? ฉันนี้เรียกว่าสยบด้วยบารมี
ในความเห็นของข้านั้น มีแต่เพียงการสยบด้วยบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถชนะใจคน เรื่องนี้ได้เป็นที่ประจักษ์แล้วในทุกยุคทุกสมัย แต่หากเป็นการสยบคนด้วยอำนาจ ก็จะมิอาจทำให้ผู้คนยอมรับได้ทั้งกายและใจ”
ครั้นจื่อลู่ฟังจบก็เกิดความเลื่อมใสขงจื่อขึ้นจากใจจริง จึงเจรจาด้วยขงจื่ออย่างนบนอบต่างจากก่อนว่า “วันนี้ได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องมืดเป็นเวลานานแล้วได้รับแสงประทีปสาดฉายในบัดดล ขอให้ท่านอาจารย์โปรดรอสักครู่ รอให้ศิษย์ได้เปลี่ยนชุดใหม่เสียก่อน แล้วค่อยมาคารวะท่านอาจารย์ใหม่”
ขงจื่อเห็นว่า แม้นจื่อลู่จะมีอุปนิสัยหยาบกระด้าง แต่ใจคอดูสัตย์ซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมกลโกง จิตใจจึงรู้สึกปีติยินดียิ่ง
จื่อลู่ได้เข้ามาภายในระเบียงอีกเป็นครั้งที่สาม หากแต่ครั้งนี้ได้สวมเครื่องแต่งกายเป็นนักปราชญ์ ลีลาย่างก้าวดูอ่อนโยนนบนอบ ดวงตาไร้แววเย่อหยิ่งลำพอง อิริยาบทมีความสุภาพเรียบร้อย โดยหาได้มีกิริยาหาญห้าวเหมือนเมื่อสักครู่ไม่
ขงจื่อกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “จื่อลู่ จงฟังให้ดี ในสายตาของข้าแล้ว พวกที่ชอบยกยอตนว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน พิเศษสุดไร้ใครปานนั้น เขาก็เป็นเพียงคนถ่อยที่ชอบอวดตัวเบ่งอำนาจ มีแต่คำโอ้อวดไร้แก่นสาร สำหรับพวกที่เอาแต่ทะนงตัวอวดฉลาด ชอบเสแสร้งปั้นแต่งอย่างนี้ ก็เป็นได้เพียงคนถ่อยที่เลวร้ายต่ำทรามเท่านั้น
หากแต่จิตใจของวิญญูชนจะมีแต่ความสง่าผ่าเผย ไม่เคยปั้นหน้าอวดตัว หากรู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำได้ก็บอกว่าทำได้ สิ่งที่ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ นี่จึงจะเป็นท่วงทีที่พึงมีแห่งวิญญูชน”
จื่อลู่รับคำไม่หยุดว่า “ขอรับ... ศิษย์เข้าใจแล้ว”
ขงจื่อรู้สึกชอบความสัตย์ซื่อของจื่อลู่ขึ้นมาจากใจ จึงยิ้มและถามว่า “จื่อลู่ เจ้ามีความชำนาญอะไรเป็นพิเศษ?”
จื่อลู่ตอบว่า “ท่านอาจารย์ก็ได้เห็นไปแล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์มีความชำนาญด้านกระบี่เป็นพิเศษ”
ขงจื่อกล่าวว่า “ข้าหาได้หมายถึงเรื่องวิทยายุทธไม่ ข้าหมายถึงเรื่องศิลปวิทยาของเจ้าต่างหาก เพราะข้าเห็นว่าเจ้าจะต้องมีความสามารถพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ในเมื่อเจ้าจะมาเรียนกับข้า แล้วเจ้าอยากเรียนอะไรล่ะ?”
จื่อลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์ไม่รู้ว่าการศึกษาจะมีประโยชน์อะไร ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยเถิด”
ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสุขุมว่า “หากเจ้าแคว้นไร้ขุนนางที่ภักดีคอยทัดทาน ก็จะทรงดำเนินราชกิจอย่างบกพร่อง จนที่สุดจะกลายเป็นภัยแก่ประเทศชาติอย่างมิอาจประมาณ ส่วนบัณฑิตผู้เที่ยงตรงหากไม่คบศุภมิตร ก็จะมิอาจได้ฟังคำตักเตือนอันหวังดี ซึ่งที่สุดก็จะก้าวหน้าได้อย่างจำกัด ส่วนอาชาหากไร้บังเหียนก็จะมิอาจควบคุม ไม้ซุงหากไร้ด้ายสีก็ยากจะเกลาแต่งให้เที่ยงตรง
ดังนั้นคนเราเมื่อมีความรู้จึงจะทำให้ใจแจ่มจิตกระจ่าง ทุกสิ่งสามารถราบรื่นสมดังประสงค์ แต่หากคนเราเกียจคร้านต่อการเรียน ไม่ขวนขวายใฝ่วิชา เช่นนี้ก็จะถอยหลังและทำผิด จนต้องได้รับโทษโดนอาญาในที่สุด ฉะนั้น วิญญูชนจึงพึงเล่าเรียนใฝ่ศึกษา”
จื่อลู่ยังไม่ยอมแพ้ จึงค้านขึ้นว่า “ในโลกนี้มีของอยู่หลายสิ่งที่มีหิตานุหิตเฉพาะตัว อย่างเช่นไม้ไผ่ในภูเขาหนันซัน แม้จะไม่มีใครเหลาแต่ง แต่มันก็ยังคงเหยียดผงาดท้าลมฝนได้อย่างมั่นคง และหากนำไม้ไผ่มาประดิษฐ์เป็นลูกธนู แม้แต่ความเหนียวอย่างหนังแรดก็ยังทะลุได้ นี่ไม่ใช่เป็นคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในตัวหรอกหรือ? แล้วมันได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนรู้ด้วยเล่า?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ใช่ เจ้ากล่าวถูกต้องยิ่งนัก แต่หากเรานำเหล็กแหลมสวมไว้บนลูกธนูแล้วนำไปยิงหนังแรด มันจะมิทะลวงได้ดียิ่งขึ้นดอกหรือ?”
จื่อลู่รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่
ขงจื่อกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “แม้นจะมีความสามารถมาแต่กำเนิด แต่ก็ยังต้องพึ่งความเพียรในการเรียนรู้ประกอบ เช่นนี้จึงจะก่อคุณประโยชน์มากขึ้นอย่างไพศาล อันเหมือนดังเช่นการนำเหล็กแหลมมาสวมที่ปลายธนูนั่นเอง”
จื่อลู่ถามว่า “หากมีคนหนึ่งที่สวมชุดมอซอ แต่เขาได้ครอบครองหยกงามไว้ เขาควรจะทำอย่างไรดี ?”
ขงจื่อตอบโดยไม่ตรึกตรองว่า “หากประสบเจ้านครโฉดเขลาไร้ครรลอง ก็จงนำหยกงามเก็บซ่อนไว้ในหุบเขา แต่หากประสบเจ้าเมืองที่ปรีชาแลทรงธรรม ก็จงสวมชุดสง่า มือชูหยกงามและนำอวดให้ประจักษ์แก่ชาวโลก”
จื่อลู่กล่าวว่า “ศิษย์จะจดจำโอวาทของท่านอาจารย์ไว้ หากสบวิญญูชนก็จงเปิดเผย หากสบทรชนก็จงอำพราง”
ศิษย์อาจารย์ต่างสนทนาโต้ตอบกันไปมา ส่วนคนที่เหลือต่างก็ห้อมล้อมสดับฟังด้วยความตั้งใจ ในเวลานั้นได้มีคนมาแจ้งว่าเหยียนลู่ได้บุตรชายแล้ว ขงจื่อจึงให้ฉีกวนซื่อนำเนื้อตากแห้ง ๖ แท่งไปมอบให้เป็นกำนัล ครั้นเหยียนลู่ได้รับของขวัญ จึงโค้งคำนับขอบคุณด้วยความซาบซึ้งและอำลากลับบ้านด้วยความดีใจ
ต่อมาไม่นานก็มีคนมาแจ้งข่าวอุปราชจื๋อฉั่นแห่งแคว้นเจิ้งได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว
จื๋อฉั่นเป็นบุคคลที่ขงจื่อให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ท่านจึงมักจะเฝ้าหาโอกาสไปเยี่ยมคารวะอยู่มิขาด ดังนั้นข่าวการเสียชีวิตของจื๋อฉั่นจึงกระทบกระเทือนจิตใจขงจื่ออย่างมิอาจบรรยาย ท่านรู้สึกเสียใจที่มิได้รักษาโอกาสไปเยือนจื๋อฉั่นเสียแต่แรก และรู้สึกโกรธสวรรค์ที่ไม่ยอมให้คนดีๆ ได้มีอายุที่วัฒนา ขงจื่อยืนนิ่งอยู่นานจนน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว
นับแต่นั้น ขงจื่อก็หม่นหมองซึมเศร้าติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จวบจนวันหนึ่ง หลังท้องฟ้าสีครามได้แผ่บรรยากาศสดใสหลังพายุฝน บนขอบฟ้าปรากฏสายรุ้งหลากสีสันพาดยาวอยู่กลางนภา จิตใจขงจื่อรู้สึกแช่มชื่นขึ้นกว่าเดิม จึงคิดจะออกไปทัศนาทิวทัศน์หลังจากที่ได้ถูกกระหน่ำจากพายุฝนตลอดสองวัน
ท่านเคยได้ยินมารดาเล่าว่า ตัวท่านเกิดที่ภูเขาหนีซัน จึงใคร่จะไปชมทิวทัศน์ภูเขาหนีซันที่ใฝ่ฝันจะไปมาช้านาน
ในระหว่างนั้น ขงจื่อได้รับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงในภายหลังอีกหลายคน โดยมีหมินสุ่น ฉินซัง หยั่นเกิง และชีเตียวคายเป็นอาทิ
ขงจื่อได้นำความคิดที่จะท่องภูเขาหนีซันเล่าให้ศิษย์ทุกคนฟัง ทุกคนต่างเห็นชอบด้วยความดีใจ แต่เนื่องจากขงจื่อมีนิสัยที่ไม่เคยขาดสมุดไผ่ติดมือ ดังนั้นจึงเลือกสมุดไผ่ติดตัวไปด้วยผูกหนึ่ง
ฤดูคิมหันต์ที่ภูเขาหนีซันมีบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยความร่มรื่นน่าอภิรมย์ รอบภูเขามีต้นไม้เก่าแก่ขึ้นประปรายสูงชะลูด ตฤณชาติชอุ่มชุ่มทั่วผืนปฐพี เหล่ามดแมลงจั๊กจั่นต่างส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่วบรรยากาศ ขงจื่อนำลูกศิษย์ไต่ขึ้นไปถึงไหล่เขา และนั่งพักที่ศาลเทพารักษ์แห่งภูผา หลังจากทุกคนได้หายเหนื่อยการเดินทาง ขงจื่อได้แผ่สมุดไผ่ออกอ่าน ลูกศิษย์ทุกคนต่างมุงดูด้วยความสนใจ ปรากฏว่าคือคัมภีร์ซือจิงนั่นเอง จื่อลู่รู้สึกแปลกใจ จึงถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ไฉนท่านจึงชอบคัมภีร์ซือจิงนัก?”
ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยความสดชื่นว่า “ซือจิงทั้ง ๓๐๐ บท สามารถสรุปได้ด้วยคำหนึ่งคือ ดำริไร้มิจฉา ฉะนี้แล้ว ไยจึงไม่ศึกษาคัมภีร์ซือจิงเล่า? อนึ่ง การอ่านคัมภีร์ซือจิงจะสามารถฝึกหัดความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาทักษะการสังเกต สามารถเพิ่มพูนความสามัคคีและการอ่านใจคน ทั้งยังสามารถเรียนรู้วิธีการเสียดสีคนได้อีกด้วย ทั้งนี้ยังสามารถประยุกต์สาระแห่งคัมภีร์ซือจิงมาปรนนิบัติบุพการี ถวายงานรับใช้เจ้าแคว้นเจ้าแผ่นดิน แล้วยังสามารถรู้จักชื่อสกุณชาติ ตฤณชาติ และรุกขชาติได้อย่างมากมาย
2
คัมภีร์ซือจิงสามารถกระตุ้นจิตใจให้กระชุ่มกระชวย ดังนั้นข้าจึงหมั่นศึกษาคัมภีร์ซือจิงอยู่เสมอ” ครั้นกล่าวจบ สายตาของขงจื่อก็เพ่งลงไปที่สายธารใต้ภูเขาหนีซัน จากนั้นก็ตกสู่ภวังค์ความคิดอย่างลืมตัว
สายน้ำฉีสุ่ยปกติจะใสแจ่มจนสามารถเห็นมัจฉาชาติแหวกว่ายไปมาอย่างเพลิดเพลิน สายน้ำไหลเลื่อนอย่างมีจังหวะ ประสานเป็นเสียงเพลงเย็นฉ่ำอย่างไม่มีดนตรีใดๆ เสมอเหมือน แต่หลังพายุฝนพัดผ่านไปไม่นาน สายน้ำกลับอึกทึกอย่างน่าเกรงขาม ขงจื่อถอนใจขึ้นว่า “เวลาดุจธารน้ำที่ไหลผ่านทั้งวันแลคืนมิรู้หยุด ศิษย์ทั้งหลาย พึงตระหนักว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น พวกเจ้าต้องรู้จักถนอมเวลาศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด”
ศิษย์ทุกคนต่างรับคำขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ขงจื่อพินิจใบหน้าอันเปี่ยมพลังของศิษย์แต่ละคน และทำการสังเกตอุปนิสัยใจคอของทุกคนอย่างพิจารณา พบว่าเหยียนลู่มีความหนักแน่น ซื่อตรง จื่อลู่มีความเถรตรงวู่วาม หยั่นป๋อหนิวมีความภูมิฐานหนักแน่น ชีเตียวคายมีไหวพริบฉลาดว่องไว หมิ่นจื่อเชียนมีความสัตย์ซื่อกตัญญู…
ขงจื่อได้พิจารณาหาวิธีการประสาทวิชาให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้ให้ทุกคนเป็นปราชญ์คงแก่เรียนที่จะตอบแทนพระคุณประเทศชาติต่อไปในอนาคตเมื่อโอกาสอำนวย ในตอนนี้ ขงจื่อได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้แก่ศิษย์ทั้งหลายเหล่านี้
หลังจากได้ชมทัศนียภาพและเพลิดเพลินกับพฤกษชาตินานาพันธุ์แล้ว ทุกคนจึงเดินทางกลับด้วยความเบิกบาน
ในวันนี้ หลังจากจี้ผิงจื่อได้เสร็จจากงานราชการก็เดินทางกลับสู่จวนอุปราช แต่ครั้นเห็นพ่อบ้านหยางหู่ก็พลันเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหยางหู่ที่ทำการซ่องสุมกำลังอำนาจมานานพอควร ดังนั้นจึงคิดจะหาขุนนางกลุ่มใหม่มาคานอำนาจของหยางหู่อยู่มิขาด
แต่หลังจากได้ใคร่ครวญดูแล้ว จี้ผิงจื่อได้วางเป้าหมายไว้ที่เหล่าศิษย์ของขงจื่อ จึงได้ใช้ทนายไปเชิญขงจื่อมาพบที่จวน แต่ครั้งนี้จี้ผิงจื่อได้ละท่าทีอหังการที่เคยแสดงกับขงจื่อไปจนหมดสิ้น
“ได้ยินมาว่าท่านฟูจื่อได้ตั้งสำนักอบรมศิษย์ไว้มากมาย เหล่าปราชญ์ของแต่ละหัวเมืองต่างชุมนุมกันที่สำนักของท่านอย่างล้นหลาม ข้าจึงอยากให้ท่านฟูจื่อเสนอชื่อศิษย์ของท่านออกมารับราชการสักหน่อย มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีความเห็นเป็นเช่นใด?”
ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง พลางโค้งกายเล็กน้อยและกล่าวว่า “แม้นศิษย์ของข้าจะมีอยู่มากมายก็จริง แต่หากจะหาผู้ที่มีความสามารถและเหมาะกับการบริหารราชการนั้นยังถือว่าน้อยนัก ที่ดูๆ ก็มีแต่จื่อลู่คนเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการบริหารบ้านเมืองได้”
จี้ผิงจื่อถามขึ้นทันควันว่า “ถ้าอย่างนั้นให้เขารับตำแหน่งนายอำเภอเลยดีไหม?”
ขงจื่อกล่าวว่า “จื่อลู่มีความเที่ยงตรง ซื่อสัตย์และเด็ดเดี่ยว หากใช้ทำราชการก็จะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่เขามีอุปนิสัยที่ค่อนข้างร้อนรน วู่วาม หากจะให้รับตำแหน่งในตอนนี้ คิดว่ายังมิใช่โอกาส”
จี้ผิงจื่อกล่าวว่า “หากเมื่อไหร่ที่ท่านฟูจื่อมีบุคลากรที่เหมาะสม มิทราบว่าท่านพอจะกรุณาแนะนำให้ได้ไหม?”
ขงจื่อยิ้มอย่างสดชื่นว่า “จุดประสงค์ที่ข้าอบรมสั่งสอนศิษย์ ก็เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ในเมื่อได้มีผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว ข้าจะต้องแนะนำให้แก่ท่านอุปราชอย่างแน่นอน”
ครั้นอำลาจี้ผิงจื่อ ขงจื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วยความเบิกบาน จนถึงกับรู้สึกว่าผืนนภาสีครามในเวลานี้มีความสวยงามผิดธรรมดา ท้องถนนที่สัญจรมีความกว้างขวางขึ้นต่างจากเดิม และนี่เป็นครั้งแรกที่ขงจื่อได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่แห่งภาระกิจที่ตนทำอยู่
หลังจากกลับถึงบ้าน หมินสุ่นได้ถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ คนประเภทใดจึงจะสามารถรับราชการ?”
ขงจื่อตอบโดยไม่ตรึกตรองว่า “โบราณกล่าวว่า ‘เรียนแล้วชำนาญจึงรับราชการ’ ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีความรู้ที่เยี่ยมยอดก่อนจึงจะรับราชการได้”
หมินสุ่นถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น การรับราชการ จะต้องระวังอะไรบ้าง?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ผู้รับราชการ ต่อส่วนบนจะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเจ้าแคว้น ต่อส่วนล่างจะต้องรับผิดชอบต่ออาณาประชาราษฎร์ ดังนั้นจึงต้องทุ่มเทใจต่อการบริหารประเทศ มีความรักใคร่ต่อมวลประชา ทะนุถนอมเด็กเล็กคนชรา ซึ่งจุดนี้จะต้องตั้งเป็นเป้าหมายชีวิตอย่างมุ่งมั่น มิเช่นนั้นก็จะหามีความสำเร็จในชีวิตไม่ ทั้งนี้ยังต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของปราชญ์เมธีอย่างกว้างขวาง...”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างตั้งใจ ทันใดได้มีทูตแห่งแคว้นฉีมาขอพบ ขงจื่อจึงจัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วออกไปต้อนรับทูตแห่งแคว้นฉี
ทูตแห่งแคว้นฉีโค้งคำนับขงจื่อพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองฉีได้เสด็จเยือนเมืองหลู่พร้อมด้วยท่านอุปราช ตอนนี้ทรงพำนักอยู่ที่จวนรับรอง พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะขอคำปรึกษาจากท่านฟูจื่อ จึงขอให้ท่านฟูจื่อโปรดเดินทางไปถวายคำชี้แนะด้วยเถิด”
อุปราชแห่งแคว้นฉี นามว่าเยี่ยนอิง ฉายาผิงจ้ง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของฉีจวงกง แต่หลังจากฉีจิ่งกงทรงเถลิงตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่อตอน ๕๔๗ ปีก่อนคริสตศักราชแล้ว เยี่ยนอิงก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราช หลังจากดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ อันได้สร้างคุโณปการยิ่งใหญ่ทั้งระดับภายในและภายนอกรัฐได้อย่างงดงาม ดังนั้นจึงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ขงจื่อให้ความเคารพนับถือ
ด้วยเหตุนี้ ขงจื่อจึงติดตามทูตฉีไปด้วยความดีใจ หลังจากได้กราบเฝ้าจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีจิ่งกงจึงมีรับสั่งว่า “ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านฟูจื่อมาช้านาน วันนี้ได้พบท่านจึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก”
ขงจื่อเพ็ดทูลว่า “กระหม่อมมีแต่เพียงชื่อเสียงที่เขาร่ำลือ หาได้เก่งกาจตามคำกล่าวเหล่านั้นไม่”
ฉีจิ่งกงรับสั่งถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขอถามว่า เหตุใดฉินมู่กงในอดีตจึงสามารถดำรงความเป็นใหญ่ท่ามกลางสามนตรัฐ?”
ครั้นขงจื่อได้ฟังก็รู้สึกสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย พลางคิดไปว่า ‘หรือว่าพระองค์ทรงอยากจะประกาศศักดาต่อบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย? มิเช่นนั้นไยจึงสนพระทัยเรื่องนี้เป็นพิเศษ?’
ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ได้ทำการพิจารณาฉีจิ่งกงโดยละเอียด พบว่าทรงมีพระชันษาประมาณ ๔๐ กว่า พระวรกายสูงโปร่ง พระพักตร์แห้งตอบ พระเนตรมีประกายความลำพอง เมื่อสังเกตเห็นดังนี้ก็รู้สึกใจหาย จึงทำการตรึกตรองอย่างรอบคอบแล้วกราบทูลว่า “เหตุที่ฉินมู่กงทรงเรืองอำนาจอยู่ท่ามกลางสามนตรัฐได้นั้น ก็เพราะฉินมู่กงทรงรู้จักใช้คน”
ฉีจิ่งกงตรัสว่า “ตามความเห็นของข้านั้น เจิ้งเจี่ยนกงทรงใช้จื๋อฉั่น ต่อมาเจิ้งติ้งกงก็ทรงใช้จื๋อฉั่นอีก เช่นนี้เรียกว่าใช้คนได้อย่างเหมาะสมแล้ว แต่ไฉนแคว้นเจิ้งจึงยังไม่สามารถยิ่งใหญ่เหนืออาณาจักรทั้งหลายได้ล่ะ?”
ขงจื่อทูลตอบว่า “ทางตอนเหนือของแคว้นเจิ้งมีแคว้นจิ้นที่แข็งแกร่ง ส่วนทางตอนใต้ก็ยังมีแคว้นฉู่ที่เกรียงไกร อีกทั้งปัญหาการเมืองภายในก็ยังหมักหมมรุมเร้าจนวุ่นวาย ประชาชนได้หมดความศรัทธาต่อราชสำนักเสียสิ้น จึงเรียกได้ว่าแคว้นเจิ้งตกอยู่ในภาวะวิกฤติขั้นร้ายแรง
แต่หลังจากจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง แคว้นเจิ้งจึงเริ่มผงาดในท่ามกลางสามนตรัฐ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข นี่จึงนับเป็นผลงานที่เหล่าแว่นแคว้นแดนไกลต่างยกย่องสรรเสริญกันไปทั่ว หากมิใช่เพราะจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารการปกครอง เกรงว่าแคว้นเจิ้งคงจะระส่ำระสายไปนานแล้ว”
เยี่ยนอิงนั่งฟังอย่างสงบ ครั้นขงจื่อกล่าวจบ เขาได้ค้อมกายน้อยๆ และกล่าวว่า “ตามที่ข้าเยี่ยนอิงได้ยินและเห็นมา ท่านฟูจื่อเป็นผู้ที่แตกฉานทั้งเรื่องอดีตแลปัจจุบัน เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง อีกยังมีความรู้ความกล้าหาญที่หาใครเทียมได้ยาก แต่ไฉนท่านจึงไม่รับราชการเพื่อทำนุบำรุงแคว้นหลู่ให้วัฒนาสถาพรเล่า?”
ขงจื่อกล่าวว่า “ความรู้ที่ข้าน้อยได้เรียนมาก็เป็นแค่สมบัติที่บรรพชนตกทอดมาแต่โบราณ หากเป็นเรื่องการปกครองก็เกรงว่าจะมิอาจใช้การได้ดีเท่าที่ควร อีกทั้งสังคมในปัจจุบันก็มีสภาพเสื่อมโทรมอย่างน่าใจหาย คนดีจึงมักถูกข่มเหงรังแก คิดดูแล้วข้ายังคงรับศิษย์ประสาทวิชาจะดีกว่า”
เยี่ยนอิงกล่าวว่า “หรือว่าท่านจะยอมเป็นบัณฑิตถือสันโดษไปตลอดชีวิตอย่างนั้นฤๅ?”
ขงจื่อยิ้มโดยมิตอบความ ส่วนเยี่ยนอิงเองก็รู้สึกฉงนมิเข้าใจ
1 บันทึก
3
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน
1
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย