ชีวิตของไอซ์ก็น่าจะเรียบง่ายเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยทั่วไป ขยายสาขาไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เพราะเกิดความเบื่อหน่ายจากการที่ต้องคุมสาขาหลายสาขาและไม่ได้ลงมือทำอาหารเองเหมือนที่เคยชอบ และในสมัยนั้นเมื่อสิบปีก่อนที่มิชิลินยังไม่เข้ามาเมืองไทย ก็จะมีแต่ 50 best restaurants ลิสต์ที่มีร้านอาหารจากประเทศไทยติดอยู่ในนั้นบ้างแต่ก็เป็นร้านอาหารฝรั่งหรือร้านไทยที่ฝรั่งทำบ้าง ร้านจากฝีมือคนไทยไม่มีเลย
2
ไอซ์ก็เริ่มมีความคัน เริ่มร่างคอนเซปท์ร้านอยู่ในหัว อยากทำร้านที่ได้รางวัลให้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยบ้าง เริ่มเดินทางไปทั่วโลกเพื่อไปสังเกตร้านอาหารฝีมือดีๆที่ได้รางวัล เอาตัวเองลงใต้เป็นเดือนๆเพื่อศึกษาและเข้าใจอาหารปักษ์ใต้ให้ลึกซึ้งที่สุด จนตัดสินใจขอภรรยา เอาเงินเก็บแทบทั้งหมดที่มี all in มาเปิดร้านชื่อ “ศรณ์” ความฝันตอนต้นคือได้มิชิลินหนึ่งดาวก็เป็นที่สุดแล้ว…
ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์เชฟไอซ์เมื่อวันก่อนที่ HOW Club ก็เลยได้โอกาสพิเศษถามได้ลึกซึ้งขึ้นเพราะเชฟไอซ์ก็เล่าตรงๆว่าปกติไม่ชอบไปให้สัมภาษณ์หรือทำ PR ที่ไหน อยากใช้เวลากับการพัฒนาอาหารและให้ลูกค้ามาเพราะชื่อเสียงของอาหารมากกว่า
ความละเมียดละไม ความใส่ใจทุ่มเทในระดับที่ต้องฝึกฝีมือ อดทน ไปหาไปเรียน ไปดั้นดนคารวะอาจารย์ในระดับถ้าไม่ได้วิชาก็จะไม่กลับ ไปตามหาสิ่งที่เชฟไอซ์เรียกว่า “the lost art” หรือศิลปะการทำอาหารที่กำลังจะสูญหายไปของทางปักษ์ใต้ แล้วเอามาฝึกฝน ประกอบทีละชิ้น ผสมกันทีละท่อนจนกลายเป็นเรื่องราวของ “ศรณ์”
ในด้านการบริการนั้น เชฟไอซ์ส่งทีมงานไปฝังตัวและเรียนรู้กับร้านอาหารระดับโลกที่ญี่ปุ่น และเข้าใจถึงจิตวิญญาณการให้บริการระดับสูงว่าต้องบริการจนคนที่มาไม่รู้สึกเลยว่ากำลังได้รับการบริการ มันต้องราบรื่นและลื่นไหล ไม่เยอะไป ไม่น้อยไปจนเขาไม่ทันสังเกต… เป็นมาตรฐานระดับโลกที่เชฟไอซ์เรียนรู้จาก the best มา
เด็กรุ่นใหม่คนไหนที่เข้าใจและค้นพบ lost art นี้ก็น่าจะเป็นคนที่โดดเด่นเพราะเป็นศิลปะที่คนยุคใหม่ไม่มีอย่างแน่นอน เหมือนเชฟไอซ์ที่มี lost art ในตัวเองและใช้ศิลปะแห่งความอดทน ผสมกับความรักและเวลาค้นพบ lost art ของอาหารปักษ์ใต้และพาอาหารไทยไปถึงมาตรฐานสูงสุดของโลกได้ในวันนี้…