Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะแฟนตาซี(Dhamma Fantasy)
•
ติดตาม
7 พ.ค. เวลา 08:39 • ปรัชญา
เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ?
ถ้าไม่เชื่อเรื่องการเดินทางของจิต หรือ การปฏิสนธิของจิต และจิตมีพันธกิจเพื่อหาทางหลุดพ้นออกจากระบบ คำตอบของผมอาจจะไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้าเชื่อ ลองอ่านต่อนะครับ
จิตของเราเป็นพลังงานที่ละเอียดจนไม่มีเทคโนโลยีใดล้ำพอที่จะสร้างอุปกรณ์ตรวจจับได้ แต่สามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตได้ด้วยการทำสมถะและวิปัสสนาตามหลักของพุทธ ซึ่งเจ้าจิตเนี่ยไม่มีรูปร่าง ไม่มีมวลให้สัมผัส แต่มีรูปแบบสภาวะที่คล้ายความเป็นไปของไฟ คือ สามารถเกิดและดับได้ตามธรรมชาติ โดยมีเชื้อเพลิงที่เรียกว่า "อวิชชา" คือความเข้าไม่ถึงความจริงเดิมแท้สูงสุด เชื้อเพลิงที่ชื่ออวิชชาจะทำให้เทียนติดไฟ และเมื่อเอาไฟไปจ่อไส้เทียนอีกอัน เทียนอีกอันก็จะติดไฟต่อไป เปรียบเสมือนการผุดเกิดใหม่ของจิต ที่กายใหม่
การที่จิตยังต้องถูกทำให้ผุดเกิดต่อไปในกายใหม่ เปรียบเสมือน เทียนเล่มแรกไฟใกล้มอดดับ แต่มีคนหยิบมันไปจ่อไส้เทียนอันใหม่ ทำให้ก่อนที่ไฟจะดับ เทียนใหม่ก็ได้ติดไฟเสียแล้ว จังหวะนี้เองคือ "การเวียนว่ายตายเกิด" ตามภาษาปากชาวบ้านที่มักชอบพูดกัน ส่วนคนที่หยิบเทียนไปต่อไฟ ก็เปรียบได้กับ "อวิชชา" คือความไม่รู้และเข้าไม่ถึงความจริงแท้ เกิดเป็นกระแสแห่งหลง ชักดึงหน่วงเหนี่ยวให้จิตไปปฏิสนธิเกิดต่อในภาวะกายใหม่ภพภูมิใหม่ ตามแรงของวิบากต่างๆ
จิตจะใช้กายใหม่ที่ได้มา เพื่อเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผ่านความทุกข์ สุข อทุกขมสุขะ(เฉยๆ) ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้ในแต่ละชาติ อาจมีหลงใหลในสุข ติดกับดักในทุกข์ แค้น เศร้า เหงา ดีใจ ฯลฯ หรืออาจสงบแต่ไม่หลุดพ้น วนไปวนมาจนกระทั่งในบางชาติก็ได้เข้าสู่กระแสแรกแห่งนิพพาน หรือไม่ก็อาจจะรวดเร็วฉับพลันต่อการบรรลุอรหันต์นิพพานในชาตินั้นๆ แล้วแต่เหตุต้นผลหลังตามปัจจัยพ่วงพา และใช่ครับ Goal of Spirits ในคนทุกชาติทุกศาสนา เบื้องลึกแท้จริงแล้วจะเหมือนกัน คือการหลุดพ้นจากระบบที่มีการเกิดเสื่อมและดับ ที่ภาษาพุทธเรียกวัฏสงสาร
ซึ่งตัวบุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่าจิตของตัวเองมีเป้าหมายเช่นนั้นเลยก็ได้ บุคคลนั้นอาจวิ่งวนไหลอยู่ในกระแสของความหลงต่อไปก็เป็นได้ แม้ยิงยาวไปจนถึงวันตายยังหลงอยู่ ก็เป็นไปได้ และเป็นกันทั่วไปจนไม่มีใครเอะใจได้ เอาง่ายๆ คือเราโดนอวิชชาหลอก หลอกให้เรายึดมั่นในสิ่งต่างๆ ตามอุปาทานของเรา เช่น ความสุข ความรัก ความสวยงาม เสน่ห์ อำนาจ ปฏิเสธความเจ็บปวด ยึดในฐานะ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึง
ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นศาสตร์เดียวที่เผยไต๋ในการหนีจากบ่วงอวิชชาเหล่านั้นเพื่อให้เราไม่ต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายด้วยกายสังขารที่รองรับสุขทุกข์ โหยหาแต่การวิ่งหนีทุกข์ ใฝ่ฝันแต่สุข ซึ่งในความเป็นจริง สุขทุกข์คือภาวะที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่มีตัวบุคคลหรือสัตว์ไปรู้สึกใส่มันเองว่า ชอบ ไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ รักหรือเกลียด ฯลฯ ถ้าเราพ้นจากโลกธรรมแห่งนิยามเหล่านั้นไปได้ ด้วยการฝึกจิตเจริญสติ เราก็จะบรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณ
คือสามารถ "ดับทุกข์สิ้นเชิง" จน "พ้นทุกข์" ได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดตายซ้ำไปซ้ำมาไม่ว่าจะภพไหนชาติไหนก็ไม่มีอีกแล้ว นอกจากการกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจักรวาล ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีของเขา ไม่มีของเรา ไม่มีทุกข์ ไม่มีกว้างลึกเล็กสั้นยาวใหญ่สูง ไม่มีงามไม่งาม แต่จะกระจายตัวสู่ธาตุหนึ่งเดียวกันโดยอมตะนิรันดร์กาล บ้างเรียก มิติที่ห้า บ้างเรียก สุญตา บ้างเรียก "นิพพาน" ขอแค่เริ่มปฏิบัติเจริญสติภาวนา อานาปานสติก็ดี แค่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เริ่ม(โดยไม่ทิ้ง) ก็ได้ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้จับลูกบิดปิดประตูอบาย
เดินไปตามเส้นทางพ้นทุกข์สิ้นเชิง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่จะไม่ย่อท้อเลย โดยมีเป้าหมายถาวรเป็น "นิพพาน" คอยรองรับ ไม่ต้องอยู่อย่างตกเป็นเหยื่อของอวิชชาเหมือนเดิมอีกต่อไป
ความคิดเห็น
ความรู้รอบตัว
พุทธศาสนา
บันทึก
3
2
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย