9 พ.ค. เวลา 11:04 • ประวัติศาสตร์

“สงครามจีน-อินเดีย (Sino-Indian War)” สงครามที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในสงครามที่ “โง่เง่า” ที่สุด

เหตุการณ์ “สงครามจีน-อินเดีย (Sino-Indian War)” คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์ยกให้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ “โง่เง่า” ที่สุดครั้งหนึ่ง
ทั้งจีนและอินเดียต่างเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และก็ไม่เคยมีเรื่องมีราวกันเลย
จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปในปีค.ศ.1962 (พ.ศ.2505)
ทั้งจีนและอินเดีย เริ่มมีกรณีพิพาทกันในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) โดยในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) “เหมาเจ๋อตุง (Mao Zedong)” ผู้นำคนสำคัญของจีน เพิ่งจะได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองมาหมาดๆ และได้ออกคำสั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชน หรือก็คือกองทัพจีน ให้เข้ายึดครองทิเบต ซึ่งเป็นรัฐกึ่งอิสระ หากแต่ในทางประวัติศาสตร์ ทิเบตคือหนึ่งในดินแดนของจีน
แต่ในช่วงศตวรรษที่ 20 ทิเบตก็ค่อยๆ ตกอยู่ใต้อิทธิพลของอังกฤษอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาที่จักรวรรดิจีนกำลังล่มสลาย
1
และเมื่ออังกฤษออกไปจากอินเดียในปีค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ทิเบตก็เป็นอิสระ และเหมาเจ๋อตุงก็จ้องทิเบตตาเป็นมัน
เหมาเจ๋อตุง (Mao Zedong)
ในยุค 40 (พ.ศ.2483-2492) และยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) กองทัพอินเดียนั้นอ่อนแอ ไม่สามารถต่อกรกับอำนาจของจีนในทิเบตได้เลย โดย “ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru)” นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ดำเนินนโยบายการบริหารประเทศแบบเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสันติ
1
เนห์รูไม่ต้องการให้อินเดียเข้าข้างฝ่ายใดเลย และต้องการให้อินเดียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามเย็นระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ในยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) อินเดียมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการเมือง หากแต่สิ่งที่ดูจะเป็นข้อยกเว้นเพียงเรื่องเดียว
“กองทัพ”
ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru)
ที่ผ่านมา อังกฤษจงใจที่จะละเลย ไม่ให้การสนับสนุนกองทัพอินเดียอยู่แล้ว โดยปฏิเสธที่จะส่งอาวุธที่ทันสมัยให้กองทัพอินเดีย ส่วนตัวเนห์รูนั้นก็มีอคติกับทหารอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่คิดที่จะส่งเสริมด้านการทหารเช่นกัน
นั่นทำให้ในยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) อินเดียนั้นมีนายทหารฝีมือดีเป็นจำนวนมาก หากแต่อาวุธนั้นเก่ากึ้กตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และถึงแม้ว่าเหล่านายทหารจะยื่นเรื่อง ขอให้เนห์รูพิจารณาจัดซื้ออาวุธที่ทันสมัย แต่เนห์รูก็ไม่สนใจ คำร้องเหล่านั้นล้วนแต่ถูกโยนลงถังขยะ
และสำหรับบริเวณที่นำไปสู่สงครามระหว่างอินเดียกับจีน ก็คือบริเวณที่เรียกว่า “เส้นแมคมาฮอน (McMahon Line)”
เส้นแมคมาฮอน (McMahon Line)
เส้นแมคมาฮอน คือเส้นเขตแดนระหว่างอินเดียกับทิเบต เป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่อยู่ในแถบปลายเทือกเขาหิมาลัย หากแต่รัฐบาลจีนนั้นปฏิเสธการมีอยู่ของเส้นแมคมาฮอน และยืนยันว่าเขตแดนนี้อยู่ในแถบตีนเขา
เมื่อถึงปลายยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) กองทัพจีนได้เดินทัพข้ามเส้นแมคมาฮอน และได้ตั้งค่ายใกล้เขตแดนอินเดีย
เมื่อถึงปีค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) กองทัพจีนนับพันได้ทะลักเข้ามาใกล้เขตแดนอินเดีย ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันในแถบหุบเขากัลวาน
หลังจากปะทะกันประปราย กองทัพจีนก็ได้ข้ามเส้นแมคมาฮอน เข้ามาในเขตแดนอินเดียในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505)
จากนั้น กองทัพจีนก็ได้รุกคืบเข้ามายังตีนเขา รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เนห์รูนั่งไม่ติด ต้องขอความช่วยเหลือไปยังสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
เมื่อเป็นอย่างนี้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษจึงส่งเครื่องบินหลายลำ บรรทุกอาวุธและกับระเบิดจำนวนมากเข้ามาในอินเดีย ทำให้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ทำให้ “โจวเอินไหล (Zhou Enlai)“ รัฐมนตรีด้านการต่างประเทศของจีน ต้องออกมาเจรจาให้หยุดยิง
1
จากนั้น กองทัพจีนก็ถอนกำลังกลับไปยังเส้นแมคมาฮอน หากแต่การปะทะกันระหว่างอินเดียและจีนก็ยังดำเนินต่อไป ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่เคยตกลงกันได้จริงๆ หากแต่ทั้งสองฝ่ายยังทิ้งทหารจำนวนมากไว้ในแถบหุบเขากัลวาน
สำหรับสาเหตุที่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากยกให้สงครามนี้เป็นสงครามที่ “โง่เง่า” ก็เนื่องจากประชาชนจีนต่างก็ไม่ได้อยากจะรุกรานอินเดียตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งสองชาติก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อน
1
โจวเอินไหล (Zhou Enlai)
แม้แต่ในปัจจุบัน เหตุผลที่จีนรุกรานอินเดียก็ยังไม่แน่ชัด ไม่เคยมีหลักฐานหรือแผนการที่แน่ชัดในการบุกหรือยึดอินเดียของจีน เป็นเพียงการขับไล่ทหารอินเดียออกจากดินแดนห่างไกลเท่านั้น
และกว่าฝ่ายจีนจะรู้ว่าสงครามนี้เป็นสงครามที่ไร้ค่า สงครามก็จบลงแล้ว อีกทั้งยังลากทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง เปิดช่องให้ทั้งสองชาตินี้แทรกแซงได้
สำหรับจำนวนกำลังคนที่เสียชีวิตนั้น ก็ถือว่าไม่มากเท่าไรนัก โดยกองทัพอินเดียเสียกำลังทหารไปจำนวน 1,383 นาย หากแต่ถูกฝ่ายจีนจับเป็นเชลยจำนวน 3,968 นาย
แต่ผลกระทบอื่นๆ นั้นหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ความฝันของเนห์รูที่จะก่อตั้งกลุ่มประเทศที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด นำโดยอินเดียและเอกภาพในเอเชีย ความฝันนี้ต้องล่มสลาย รวมทั้งความฝันของเนห์รูที่จะให้อินเดียมีกองทัพขนาดหยิบมือ ไม่ส่งเสริมด้านการทหารมากนัก ความฝันนี้ก็ไม่ได้แล้ว
1
รัฐบาลอินเดียต้องทำการปฏิรูปกองทัพขนานใหญ่ ต้องจัดซื้ออาวุธจำนวนมากจากต่างประเทศ ซึ่งการปฏิรูปนี้ก็ประสบผลสำเร็จในปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) เมื่อกองทัพอินเดียสามารถเอาชนะพันธมิตรของจีนอย่างปากีสถาน ซึ่งเป็นสงครามที่ก่อกำเนิดบังกลาเทศ
ในไม่ช้า อินเดียก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจด้านการทหาร และยังมีกระแสในสภาอินเดีย เรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอินเดียนั้นเกรงภัยคุกคามจากจีน
ความหวาดกลัวนี้ทำให้ “อินทิรา คานธี (Indira Gandhi)” นายกรัฐมนตรีและเป็นบุตรสาวของเนห์รู ตัดสินใจจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
กองทัพอินเดียได้ทดลองใช้ระเบิดปรมาณูลูกแรกในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) โดยในปีค.ศ.2019 (พ.ศ.2562) อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์เป็นจำนวนระหว่าง 130-140 ลูก และยังมีคลังแร่ยูเรเนียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำอาวุธนิวเคลียร์ อีกจำนวนหนึ่ง
1
อินทิรา คานธี (Indira Gandhi)
เรียกได้ว่าอินเดียกลายเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากสงครามกับจีนเมื่อปีค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) นี้เอง
ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) เนห์รูพยายามจะดึงความสนใจของประชาชนจากเรื่องเส้นแมคมาฮอนไปยังเรื่องอื่น นั่นคืออาณานิคมโปรตุเกสในแถบชายฝั่งทะเลทางใต้ของอินเดีย
สถานที่นั้นคือ “กัว (Goa)” ซึ่งเป็นรัฐบนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย และเป็นดินแดนของอินเดียแห่งแรกที่ถูกยุโรปเข้ายึดครองในปีค.ศ.1510 (พ.ศ.2053) กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจจักรวรรดิโปรตุเกสในเอเชียเมื่อปีค.ศ.1575 (พ.ศ.2118)
1
เมื่อถึงยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) กัวก็เป็นดินแดนเล็กๆ ที่น้อยคนจะมาสนใจ ยกเว้นเหล่าชาตินิยมอินเดีย ซึ่งไม่ยอมปล่อยผ่านดินแดนเล็กๆ นี้ไปง่ายๆ
กัว (Goa)
ชาวอินเดียหลายคนมองว่าการที่ชาติยุโรปมีอาณานิคมบนแผ่นดินอินเดีย โดยเฉพาะกับชาติยุโรปที่ไม่ได้ทรงอำนาจอะไรมากอย่างโปรตุเกส นับเป็นเรื่องน่าอับอาย และควรต้องทำอะไรซักอย่าง
ค.ศ.1955 (พ.ศ.2498) กลุ่มชาตินิยมอินเดียได้พยายามจะเข้ายึดกัวกลับคืนมา โดยเป็นการรุกรานที่ไม่ใช้ความรุนแรง หากแต่ผลของการรุกรานนี้ทำให้มีคนจำนวนมากต้องเสียชีวิต และทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างโปรตุเกสกับอินเดียต้องสิ้นสุดลง
เมื่อถึงปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) เนห์รูได้พยายามมองหาอะไรซักอย่างที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไปจากเรื่องความขัดแย้งกับจีน และแล้วในเดือนธันวาคม ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) ทางการโปรตุเกสก็ได้ยิงเรือประมงอินเดีย ทำให้ชาวประมงบนเรือเสียชีวิต
เนห์รูได้ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการเข้ารุกรานกัวและอาณานิคมโปรตุเกสอื่นๆ และในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) กองทัพเรือและกองทัพบกอินเดียก็ได้เข้าโจมตีกัว
หลังจากการต่อสู้ดำเนินไปได้ 36 ชั่วโมง ฝ่ายโปรตุเกสในกัวก็ได้ยอมแพ้
กัวกลับกลายมาเป็นของอินเดียในปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
เหตุการณ์ที่กัวนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์มองว่าโง่เง่า เนื่องจากการที่โปรตุเกสครอบครองกัวนั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย แต่ที่ยังครอบครองอยู่ก็เพราะแค่ศักดิ์ศรีเท่านั้น
2
ทางด้านอินเดียนั้น หากจะเจรจาขอกัวคืนก็ย่อมทำได้ หากแต่ความเห็นของสาธารณชนในอินเดียนั้นสนับสนุนให้ใช้กำลังบุก ดังนั้นเนห์รู ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักสันติ จึงต้องบุกกัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
อาจจะกล่าวได้ว่าแม้แต่ผู้ที่รักสันติ ก็อาจจะต้องยอมใช้กำลัง ใช้ความรุนแรง ยอมกลายเป็นคนโง่ หากมีเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
1
โฆษณา