เมื่อวาน เวลา 06:04 • ความคิดเห็น

ดอกไม้กลางทะเลทราย

ข่าวสารบ้านเมืองในช่วงนี้ การเปลี่ยนแปลงของโลกและการไม่เปลี่ยนแปลงของไทยไม่ว่าจะเป็น ปัญหาคอร์รับชั่นที่หนักหน่วง ประชากรที่แก่ขึ้นในขณะที่ประเทศอื่นหมุนเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจที่ย่ำแย่มานาน ทำให้ระยะหลัง ความท้อถอย หมดหวังและมองไม่เห็นอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ใหญ่หลายคนก็ทั้งบ่นและเป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่กันมากว่าจะไปสู้คนอื่นได้ยังไง ทั้งระบบการศึกษาที่ล้าหลัง ดัชนีอะไรก็ดูร่วงหล่นไปหมด ดูแล้วเหือดแห้งเหมือนเดินอยู่ในทะเลทราย…
เมื่อวานผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่เจี๊ยบ ปฐมา จันทรักษ์ แห่ง accenture ที่ HOW Club พี่เจี๊ยบคือผลผลิตของการศึกษาไทย เป็นเด็กสงขลาที่ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาเมื่อหลายสิบปีที่แล้วแล้วได้ทำงานที่ไมโครซอฟท์ ค่อยๆ ไต่เต้าจนกลายเป็นผู้บริหารระดับสูงมากที่โน่นก่อนกลับไทยและมารับงานที่บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง accenture เมื่อสี่ปีก่อน
พี่เจี๊ยบกลับไทยด้วยมุมมองระดับโลกและมีความตั้งใจมากกว่าแค่จะเป็นผู้บริหารทั่วไป พี่เจี๊ยบตั้งใจที่จะทำอะไรให้ประเทศไทยบ้านเกิดและจากประสบการณ์ที่พี่เจี๊ยบต่อสู้มาก็คิดว่าทำได้ พี่เจี๊ยบอยากสร้างงานให้ประเทศ ให้ไทยสามารถได้งาน outsource จากบริษัทระดับโลก พร้อมกับปั้นเด็กรุ่นใหม่และให้โอกาสเด็กไทย
พี่เจี๊ยบเลยขออนุมัติ accenture และสร้างศูนย์ที่รับ outsource งานที่ใช้ทักษะสูงอย่าง งานการเงิน งานจัดซื้อ งานการตลาดและขาย งาน supplychain และงานด้านบุคคล โดยเรียกว่า Accenture Intelligent Operation Center (AIOC) ทำมาสามปีมีพนักงานห้าพันคน มีลูกค้าเป็นบริษัทระดับโลกหลายแห่ง พนักงานเกินครึ่งเป็นน้องๆคนไทย
ฟังเร็วๆก็แอบงงว่า พี่เจี๊ยบทำได้ยังไงเพราะการหาเด็กไทยที่เก่งระดับนั้นไม่น่าหาง่าย พี่เจี๊ยบเล่าว่าที่ศูนย์นี้ใช้ภาษา 17 ภาษาตามลูกค้า และก็มีน้องคนไทยเก่งๆเต็มไปหมด พี่เจี๊ยบเล่าว่าตอนแรกๆ ก็หาไม่ง่ายแต่ก็ใช้วิธีไปทำงานร่วมกับคณะอักษร กับมหาวิทยาลัยว่าต้องการเด็กด้านไหน พอมหาวิทยาลัยเริ่มผลิตน้องที่มีทักษะพื้นฐานได้ พี่เจี๊ยบก็ใช้วิธีหาคนเก่งจากทั่วโลกมาทำงานก่อน มีสัญญาสั้นๆ และให้ค่อยๆถ่ายทอดความรู้ให้น้องๆ
สอนงานและพัฒนาน้องไทยรุ่นใหม่ ใช้เวลาไม่กี่ปีจากเป็นคนต่างชาติ 70% ตอนนี้น้องๆคนไทยทำงานในระดับมาตรฐานโลกมีเกินครึ่งของบริษัทไปแล้ว
กลุ่มคนที่คุยกับพี่เจี๊ยบร่วมกับผมฟังแล้วรู้สึกถึงความหวังอะไรบางอย่างเป็นครัั้งแรกในรอบเดือน หลังจากสิ้นหวังในเรื่องแย่ๆของไทยมามาก เพราะพี่เจี๊ยบเล่าด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้นว่า น้องๆเด็กไทยนี่เก่งและมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ผมเลยถามพี่เจี๊ยบต่อว่าแล้วจุดเด่นของน้องๆคืออะไร
พี่เจี๊ยบบอกว่า อย่างแรกเลยคือความสนุกในการทำงาน เคยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลกมาเยี่ยม AIOC แล้วประทับใจว่าทำไมที่นี่ถึงทำงานแล้วดูสนุก อารมณ์ดีและได้งานไปด้วยเพราะเขาไปมาหลายที่ ไม่มีที่ไหนดูมีบรรยากาศดีๆเช่นนี้มาก่อน ก็เพราะคาแรกเตอร์ของคนไทยที่เป็นแบบนั้น
ประการที่สองนั้น พี่เจี๊ยบบอกว่าเด็กไทยมีจุดเด่นด้านการแก้ปัญหา หาช่องทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งมาก และหา solution ที่สร้างสรรค์ได้เสมอ มีความยืดหยุ่นสูงมาก ถ้าเรา frame กรอบให้ดี ทักษะนี้น้องๆคนไทยจะเด่นกว่าชาติอื่นมาก
ประการที่สาม น้องๆไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็วมาก (fast learning) ครูพักลักจำเก่งสุดๆ ถ้ามีคนสอน มีตัวอย่างที่เก่งให้เห็น แป๊บเดียวก็เข้าใจและทำเป็น ภาษาก็ดีกว่าที่เคยคิดไว้ตัังแต่ต้นมาก น้องๆ ไทยที่พูดญี่ปุ่นในระดับดีมากมีเยอะจนบริษัทญี่ปุ่นชม เกาหลีก็ดีมาก (น่าจะเพราะซีรีส์)
ตอนนี้ฝรั่งเศสกับเยอรมันก็มาแรงตั้งแต่พี่เจี๊ยบไปทำงานร่วมกับสถานทูต ตอนนี้ใช้ 17 ภาษาในการทำงาน พี่เจี๊ยบไปทำงานร่วมกับคณะอักษรและสถานทูตโดยหาเด็กไทยที่พูดภาษาได้และมีความตั้งใจ ไม่ต้องรู้ IT ก็ได้เพราะมาเทรนเอาภายหลังก็ทำได้แล้ว
ในปีที่ผ่านมา น้องๆทีมไทยอายุ 22-23 ก็เริ่มถูกส่งออกไปเทรนศูนย์อื่นที่ต่างประเทศได้ด้วย พี่เจี๊ยบสรุปว่าน้องๆไทยนั้นเก่งถ้ามีครูที่ดี มีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน พี่เจี๊ยบผู้ที่มองโลกกว้างและในแง่ดีบอกด้วยว่า การหาคนเก่งๆ จากทั่วโลกมาชั่วคราว มาสอนเด็กไทยนั้นไม่ยากเลยเพราะฝรั่งเก่งๆ ใครก็อยากมาทำงานเมืองไทยทั้งนั้น ใช้เวลาไม่นานศูนย์นี้จากศูนย์ก็กลายเป็นห้าพันคน
วัฒนธรรมองค์กรสำหรับเด็กรุ่นใหม่นั้น พี่เจี๊ยบบอกว่าไม่เคยมีปัญหากับเด็กๆลาออกหรือไม่อยากทำงานเลย เพราะพอมีลูกค้าระดับโลก รายได้ก็ดี พี่เจี๊ยบเน้นสร้างบรรยากาศที่เขาอยากทำงาน สามารถย้ายงาน ไปลองงานใหม่ๆในบริษัทได้ถ้าไม่ชอบ ไม่มีการบังคับกฎอะไรที่จุกจิก ถ้าทำงานเสร็จจะเข้างานกี่โมงออกกี่โมงก็ได้ เอา output เป็นหลัก บรรยากาศที่สนุก ได้เรียนรู้จากคนเก่งๆจากทั่วโลก ทำให้ดอกไม้ที่อาจจะเหี่ยวเฉาที่อื่นมาเบ่งบานที่นี่เต็มทุ่ง
1
ผมถามในมุมจุดอ่อนของเด็กไทยที่ถ้าค้นพบจะพบศักยภาพที่สู้กับชาติอื่นได้นั้นมีอะไร พี่เจี๊ยบบอกว่าเด็กไทยต้องเริ่มหัดเรียนรู้ที่จะชื่นชมคนเก่ง ต้องยอมรับว่าไม่มีทางลัด ต้องทำงานหนักถึงจะได้มา การที่เราได้เรียนรู้จากคนเก่งทั่วโลกก็จะได้รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ เด็กไทยก็ต้องยอมรับถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติ มีคนเก่งอีกจำนวนมากที่ไม่เหมือนเรา กินก็ไม่เหมือน พูดก็ไม่เหมือน ไม่ยึดติด ไม่ดูถูกคนชาติอื่น ถ้าเรายอมรับเรื่องนี้ได้ก็จะไปได้ไกล
พี่เจี๊ยบสร้างศูนย์ AIOC หางานมาจากทั่วโลก สร้างงานและสอนเด็กไทยให้มีทักษะงานระดับสูงห้าพันคนภายในสามปี แต่พี่เจี๊ยบไม่ได้หยุดแค่นี้ พี่เจี๊ยบฝันถึงสามหมื่นคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เป็นเป้าหมายสูงสุดในอาชีพที่พี่เจี๊ยบทำกับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกในปัจจุบัน
ผมฟังเรื่องพี่เจี๊ยบเหมือนกับเห็นความหวังเล็กๆในเรื่องราวของความสิ้นหวังในหลายเดือนที่ผ่านมา และก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งจากที่พี่เจี๊ยบพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กไทยรุ่นใหม่ก็ยังเก่ง เรียนรู้เร็ว และมีเสน่ห์ในแบบฉบับเฉพาะตัว ขอเพียงแค่มีครูดี มีบรรยากาศมีสิ่งแวดล้อมที่ีดี ก็จะสามารถเติบโตและเบ่งบานได้
และในทางกลับกัน เมล็ดพันธ์เดียวกัน ถ้าเติบโตในดงแห่งคอร์รับชั่้น การโกงกิน ความฉ้อฉล และความเอารัดเอาเปรียบ คิดแต่ทางลัด ก็น่าจะไม่มีทางเติบโตในทะเลทรายแบบนั้นได้ ก็หวังว่าจะมีคนแบบพี่เจี๊ยบมากกว่านี้ที่คอยปลูกต้นไม้ในทะเลทราย ปลูกกันมากพอก็อาจจะเอาชนะความแห้งแล้งและสิ้นหวังที่เรามีตอนนี้ก็ได้นะครับ…
เป็นกำลังใจให้พี่เจี๊ยบ ปฐมา มา ณ ที่นี้ครับ
โฆษณา