15 พ.ค. เวลา 08:04 • ธุรกิจ

จบแพทย์เกือบเป็นอาจารย์หมอ สู่เจ้าของยีนส์ไทย ‘MERGE’ เปิดมา 5 ปี รายได้เฉียดร้อยล้าน

รู้จัก “MERGE” กางเกงยีนส์สัญชาติไทย เริ่มจาก Pain Point ผู้หญิงเอวเล็ก-สะโพกใหญ่ เปิดมา 5 ปี กวาดรายได้ไปแล้ว 86 ล้านบาท ปีนี้ขอโตอีก 100% ตั้งเป้าใหญ่เป็น “Global Brand” พร้อมกางแผนขยายไปต่างประเทศภายในปีหน้า
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเอเต็มไปด้วยยีนส์สัญชาติอเมริกัน หลังจากนั้นก็ถึงคราวของยีนส์จากแดนอาทิตย์อุทัยที่ไต่ระดับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันเวลาผ่านไปวิวัฒนาการของวงการแฟชั่นรุดหน้า
จนถึงคราวยีนส์ไทยหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายจากการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ “MERGE” (อ่านว่า เมิร์จ) คือหนึ่งในแบรนด์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางเทรนด์ที่เราว่ามา ตัดสายสะดืออย่างเป็นทางการเมื่อปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดใหญ่ เสื้อผ้าที่ถูกจัดอยู่ในประเภทสินค้าฟุ่มเฟือยจึงน่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคตัดชอยส์ทิ้ง
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น “MERGE” กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปีแรกจนถึงตอนนี้ รายได้ของ “MERGE” เติบโตขึ้นอย่างน้อยๆ 200% ทุกปี ปี 2566 บริษัท เซ้นส์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีรายได้รวม 86 ล้านบาท กำไรสุทธิอีก 2.1 ล้านบาท ใช้เวลาเพียง 5 ปี “MERGE” กำลังไต่ระดับสู่แบรนด์ร้อยล้าน
จากการแข่งขันในตลาดแฟชั่นที่มีเทรนด์ใหม่ๆ ผันเปลี่ยนหมุนเวียนแทบทุกเดือน โดยที่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ทั้งสองคนไม่ใช่นักเรียนสายการตลาด ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน และหนึ่งในนั้นยังเป็นอดีตคุณหมอที่เคยวางเป้าหมายสู่เส้นทางอาจารย์แพทย์ด้วย
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ “กลด-อธิศ ทิพย์ชัยเชษฐา” และ “จี้-พรปวีณ์ ด่านมิ่งเย็นวงศ์” หันมาจับธุรกิจสร้างแบรนด์กางเกงยีนส์ มาจาก Pain Point ของ “จี้” ที่ไม่สามารถหากางเกงยีนส์ให้พอดีกับรูปร่างของตัวเองได้ เธอเป็นคนเอวเล็ก-สะโพกใหญ่ ยุคนั้นถ้าจะหากางเกงยีนส์ที่พอดีกับสะโพก สัดส่วนช่วงเอวก็จะหลวมมาก ไหนจะเรื่องแพทเทิร์นที่ช่วยเก็บหน้าท้อง ใส่แล้วช่วยพรางหุ่น ส่งเสริมให้รูปร่างดูดีมากกว่าเดิม ฯลฯ สารพัดข้อกังวลที่ยังไม่มียีนส์เจ้าไหนตอบโจทย์ได้
“กลด” บอกว่า แม้ตัวแฟนสาวจะเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่กลับมีความสนใจศึกษาเรื่องการขายของออนไลน์ โดย “จี้” เป็นคนจุดประกายเริ่มต้นลุยธุรกิจก่อน ส่วน “กลด” เรียนจบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บังเอิญว่า ในช่วงรอยต่อของโควิด-19 ตรงกับจังหวะรอเรียนต่อเฉพาะทางด้านอายุรกรรม เขาจึงมีโอกาสเข้าไปช่วย “จี้” ส่วนงานฝั่ง Operation ตั้งแต่ยิงแอด ทำเว็บไซต์ ดูงบการเงิน ค่อยๆ เรียนรู้การทำธุรกิจไปเรื่อยๆ
จนถึงจุดหนึ่ง “กลด” เริ่มสนุกกับธุรกิจมากกว่า จึงตัดสินใจล้มเลิกแผนเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง และออกมาเปิดบริษัทอย่างจริงจังราวๆ 4 ปีที่แล้ว เขาเล่าว่า เดิมทีที่บ้านคาดหวังให้เรียนต่อจนเป็นอาจารย์แพทย์ตามรอยพี่ชายที่เป็นอาจารย์แพทย์ไปแล้ว เพราะมองว่า อาชีพหมอมีรายได้ที่มั่นคง
บวกกับ “กลด” เป็นคนเรียนเก่ง จบหมอดีกรีเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่สุดท้ายเมื่อได้ลองหยิบจับธุรกิจก็พบว่า นี่คือน่านน้ำใหม่ที่ท้าทายมากกว่า ทั้งยังเห็นแนวโน้มการเติบโตของแบรนด์ที่มีความเป็นไปได้สูง เพราะปีแรก “MERGE” ก็มีรายได้แตะหลักล้านบาทแล้ว
“ที่บ้านผมทำธุรกิจผลิตรองเท้า แต่คุณพ่อคุณแม่จะทำธุรกิจสไตล์คนจีนยุคเก่า ตอนผมเรียนจบธุรกิจรองเท้าของที่บ้านก็ซาลงไปเยอะแล้ว เขาเลยรู้สึกว่า ธุรกิจไม่มั่นคง อยากให้ผมเป็นหมอเพราะมั่นคงกว่า แต่ตอนนั้นเราเห็นแล้วว่า แบรนด์มีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งตลอด 5 ปีก็โตทุกปี ปีแรกยอดขายโตมาหลักล้าน และโตปีละ 200-300% เรื่อยๆ เห็นแล้วว่า สิ่งนี้เลี้ยงดูเราได้ ทำให้เรามีเวลามากขึ้นด้วย จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี ผมก็แต่งงานกับคุณจี้ เลยมาช่วยกันทำเป็นแบรนด์ MERGE ขึ้นมา”
จุดหักเลี้ยวที่ทำให้ “MERGE” โตอย่างก้าวกระโดดไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก เพียง 2-3 เดือนก็พบว่า รูปถ่ายแบบสินค้ากลายเป็นไวรัลทั่วอินเทอร์เน็ต จากการดึงนางแบบพลัสไซซ์ และนางแบบ LGBTQ ที่มีความหลากหลายทางเพศมาร่วมงาน “กลด” บอกว่า ตนน่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำสิ่งนี้ และตระหนักถึงเรื่อง “Real Size Beauty” ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีใครพูดถึง เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นกระแส คนรู้จักสินค้า ก็มีการขยายพอร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องนี้เกิดจากการศึกษาเทรนด์ในตลาดโลกของ “จี้” ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว เทรนด์เรื่อง “Real Size” กำลังเป็นที่พูดถึงในสหรัฐ อ้วนผอมหรือหุ่นแบบไหนก็สวยได้ เธอเชื่อว่า เมื่อเทรนด์โลกมาแบบนี้อีกหน่อยที่ไทยก็จะตามมาติดๆ เช่นกัน เพราะเด็กรุ่นใหม่เสพสื่อจากต่างประเทศมากขึ้้นแล้ว ไม่ใช่การทำนายได้แม่นยำอะไร แต่เพราะมีความเชื่ออย่างแรงกล้า “MERGE” จึงปักธงจุดยืนนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ที่ผ่านมา ภาพรวมผลประกอบการของ “MERGE” ภายใต้บริษัท เซ้นส์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในปี 2567 เติบโตจากปี 2566 ราวๆ 200-300% ปีนี้ทั้งคู่ตั้งเป้าให้เติบโตอีก 100% แม้จะมีกางเกงยีนส์เป็น “Hero Product” แต่ปัจจุบันพอร์ตสินค้าของ “MERGE” ขยายไปไกลกว่านั้นแล้ว มีทั้งเสื้อครอป เสื้อยืด รวมถึงกระเป๋าที่ผลิตออกมากี่ใบ กี่แบบก็หมดเกลี้ยง ได้รับความนิยมถึงขีดสุดไม่ต่างจากสินค้าหมวดเสื้อผ้า
ส่วนแผนในปีหน้า “กลด” บอกว่า มีคิดเรื่องขยายไปต่างประเทศบ้างแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงที่เริ่มวางระบบบริหารจัดการหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ ถ้าย้อนกลับไปทั้ง “กลด” และ “จี้” ไม่มีใครเรียนจบสายธุรกิจมาโดยตรง ยังต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับน้องๆ ในทีมทุกวัน ก้าวสำคัญในการไปต่างประเทศจะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และโฟกัสอย่างจริงจังในปี 2569
โฆษณา