Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
•
ติดตาม
10 พ.ค. เวลา 06:47 • ท่องเที่ยว
เทือกเขาหิมาลัย
มนตราหิมาลัย : ทะเลหมอกบุกมาถึงระเบียงรีสอร์ทเทือกเขาหิมาลัย
ในวันที่สอง เราได้ออกเดินทางจากเมือง Nagarkot ใช้เส้นทางถนนที่เป็นลักษณะเดียวกับตอนขามา คือคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามไหล่เขาชนบท
จะเห็นบ้านเรือนของย่านนี้ เป็นบ้านที่มีสีสันสดใส หลังคามักจะเป็นสีฟ้าสด มาทราบภายหลังว่าสังกะสีที่ผลิตออกมาเพื่อขายนั้น ทำเป็นสีฟ้าสดเป็นหลักนั่นเอง
แต่ด้วยความเป็นประเทศยากจน แม้สีสันจะสดใส แต่ก็ไม่ถึงกับสวยงามแบบยุโรป หากแต่มีความงดงามตามธรรมชาติแบบเอเชีย มีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง
ถนนคุณภาพไม่ดีเลย ทำให้ระยะทางเพียง 30-40 กิโลเมตร ที่เราจะต้องเดินทางไปถึงโรงแรมที่พักในวันที่สองนี้ ต้องใช้เวลามากถึงราว 2 ชั่วโมงเศษ
เมื่อมาถึงโรงแรมที่เราจะพัก ซึ่งเป็นโรงแรมลักซ์ชัวร์ลี่ในเครือของคนไทยคือ ดุสิตธานีหิมาลัยยันรีสอร์ท (Dusit Thani Himalayan Resort) ซึ่งสวยงามสมคำร่ำลือ
พนักงานแต่งตัวดูดีและเป็นระเบียบเรียบร้อย มารยาทดีเยี่ยม และบริเวณที่จอดรถจะมีช้างเป็นสัญลักษณ์ด้วย
แล้วจึงขึ้นลิฟต์ไปในส่วนล็อบบี้ซึ่งอยู่ชั้นบน เห็นวิวสวยงามมาก และได้รับการต้อนรับด้วยเครื่องดื่มแสนอร่อย ทราบภายหลังว่าทำจากมะม่วง มะพร้าว และสับปะรดรวมกัน ลงตัวนัวมากๆ
หลังจากนั้น เราก็จะถูกนำไปทำการลั่นระฆัง ซึ่งเป็นประเพณีที่จะบอกให้ทราบว่า เราคือแขกผู้มาใหม่และเดินทางมาถึงแล้ว จะมาพักที่นี่ พร้อมกับได้รับคล้องคอเป็นผ้าพื้นเมืองสีสวย ไฮไลท์คือมีการปักชื่อเราไว้ที่ผ้าให้เป็นของที่ระลึกส่วนตัวด้วย
ห้องพักกว้างขวาง สะอาดหรูหรา และสวยงามตามมาตรฐานดุสิตธานี
โชคดีมากที่ได้ราคาพิเศษคือ เป็นโปรโมชั่นอยู่หนึ่งคืน ฟรีหนึ่งคืน ทำให้ราคาค่าห้องจากคืนละ 10,000 บาท ลดลงมาเหลือเพียง 5000 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
วิวจากระเบียงห้องพักสุดยอดมากๆ มองไปไกลๆจะเห็นเทือกเขาหิมาลัยจางจางเพราะเมฆและหมอกหนาทึบ
เห็นหุบเขา(Valley)ขนาดใหญ่มาก เบื้องหน้าต่อเนื่องมาจากเทือกเขาหิมาลัยอันยาวเหยียด กดลึกลงมา แล้วจากจุดต่ำสุด จึงค่อยไต่ระดับขยับสูงขึ้นมายังที่พักของเรา
พรรณไม้นานาชนิดเขียวขจี เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ
มีนาข้าวแบบขั้นบันได ที่ปลูกข้าวบาร์เล่ย์ สอดรับลงตัวอย่างมากกับวิวชนบทของเนปาล โดยมีถนนสายเล็กๆน่ารักเลาะเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามไหล่เขา
ทำให้ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า มีความสมบูรณ์ลงตัวมากๆ ประกอบกับอากาศซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ รวมทั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมคืออยู่ในช่วง 15-20 องศาเซลเซียส ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 2000 เมตร ถือว่าสบายกำลังดี
ตอนเย็นเราได้เดินไปที่บริเวณล็อบบี้เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งก็ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มแดงชัดเจน เป็นการทดแทนที่วันนี้เราไม่เห็นเทือกเขาหิมาลัย เนื่องจากเมฆหมอกมาบดบัง
ตกกลางคืน ภาพที่ปรากฏจากระเบียงห้องของเรานั้น จะเห็นความมืดสนิท แต่มีจุดสว่างเล็กๆระยิบระยับนับเป็นร้อยๆจุด ดูเผินเผินเหมือนดวงดาวส่องสกาวบนท้องฟ้า แต่แท้ที่จริงแล้วคือไฟดวงเล็กดวงน้อยของบ้านชนบทชาวเนปาลที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขานั่นเอง สวยงามและมีความสงบเงียบแบบธรรมชาติมากๆ
เราเข้านอน เพื่อที่จะรอลุ้นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณตีสี่ครึ่ง เหตุที่ตื่นเช้าเพราะเวลาตรงกับเมืองไทยประมาณ 6 โมงเช้าพอดี
โดยที่พระอาทิตย์จะขึ้นเวลาประมาณตีห้าครึ่ง ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ก็ปรากฏแสงสลัวสลัวพอที่จะทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ของหุบเขาที่อยู่เบื้องหน้าต่อเทือกเขาหิมาลัย
แต่เช้านี้โชคไม่เข้าข้างเรา อากาศไม่เป็นใจ มีเมฆและหมอกหนาที่จะบดบังทั้งเทือกเขาหิมาลัยและพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ทำให้เราหมดโอกาสที่จะได้ชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้นและเทือกเขาหิมาลัยซึ่งมียอดหิมะขาวโพลนเหมือนในวันแรกที่เราได้เห็นที่เมือง Nagarkot
แต่ด้วยอากาศที่บริสุทธิ์มากและอุณหภูมิเย็นสบายนี่เอง เราจึงยืนโอ้เอ้อยู่ที่ระเบียงห้องพักต่อไป ในขณะที่กำลังเหม่อมองไปทางหุบเขาเบื้องล่างแบบไม่เห็นอะไรเลย คือมีหมอกขาวโพลนไปหมด
อยู่อยู่เกือบจะเรียกว่าทันทีคือ ราวหนึ่งนาที หมอกก็เคลื่อนที่หายไปหมด โดยเคลื่อนตัวจากซ้ายไปขวา
แล้วในทันใดนั้น ภาพของหุบเขาที่เขียวขจีสดใส ก็ปรากฏขึ้นมาทันที พร้อมกับเห็นการก่อตัวเปลี่ยนแปลงรูปร่างของทะเลหมอก ที่ขาวสว่างและหนาแน่นมาก
เป็นแนวทะเลหมอกที่สวยงาม ปรากฏอยู่ตามระหว่างทิวเขาเล็ก ทิวเขาน้อย ปรากฏตัวเป็นหลายชั้นซ้อนกัน สวยงามจับใจ
การก่อตัว การเปลี่ยนรูปร่างของทะเลหมอก เป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าที่เมืองไทยมาก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ( สวยงามกว่าทะเลหมอกที่เขาค้อหรือเขาพะเนินทุ่ง) เรียกว่าถ่ายรูปกันรัวรัว หมดกันเป็นร้อยๆภาพ
เราถ่ายรูปจากระเบียงห้องพัก ซึ่งเป็นห้องที่มีตำแหน่งดีมาก สักพักเราก็ต้องตื่นเต้นครั้งใหญ่
เพราะมีหมอกกลับมาปกคลุมหุบเขาที่สวยงามอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แค่นั้นยังไม่พอ หมอกที่เกิดมาใหม่นั้นไม่ได้เคลื่อนตัวจากซ้ายไปขวาแบบเดิม
หากแต่กลับพุ่งตรงมายังระเบียงที่พักของเราอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที หมอกขาวสวยสะอาดที่เรียกว่าทะเลหมอกอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง ก็บุกจู่โจมมาถึงตัวเราที่ระเบียงอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
แม้เราจะถอยร่นเข้ามาในห้องพักแล้ว หมอกก็ยังตามเข้ามาในห้องไม่ลดละ จนเต็มห้องไปหมด แล้วก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะอากาศในห้องอุ่นกว่าภายนอกอยู่พอสมควร
หลังจากนั้น เราก็ออกมายืนที่ระเบียงห้องอีกครั้ง โดยที่ไม่เห็นอะไรเลยเพราะมีหมอกเต็มไปหมด
จึงสาละวนถ่ายรูปหมอกบ้าง หมวกบ้าง แอปเปิ้ลบ้าง กล้องบ้าง โดยที่มีฉากหลังเป็นสีขาวโพลนไปหมดของหมอกหิมาลัย
พอถ่ายรูปสิ่งของต่างๆที่มีหมอกเป็นฉากหลังได้เพียงครู่เดียว ก็ต้องกลับมาตื่นเต้นกับพลังของธรรมชาติอีกครั้ง คือหมอกเริ่มขยับตัวเหมือนเปิดผ้าม่านให้เราเห็นฉากหุบเขาด้านล่างที่สวยสะอาดอีกครั้ง
โดยเป็นการเคลื่อนตัวของหมอกจากซ้ายไปขวา รวดเร็ว ไม่อ้อยอิ่ง ไม่ทำให้เราต้องรอคอยนานเลย ใช้เวลาเพียงนาทีเดียว ภาพอลังการของหุบเขาก็ปรากฏกับสายตาอีกครั้งหนึ่ง
จากภาพขาวโพลน มองอะไรไม่เห็นเลยของหมอกหรือทะเลหมอกเบื้องหน้า เรา ได้เปลี่ยนมาเห็นภาพที่แจ่มชัดอีกครั้ง เหมือนการเปิดผ้าม่านเวที ที่ทำให้เห็นการแสดง
ในจังหวะนี้เอง ก็มีฝนตกลงมาโปรยปราย ทำให้เห็นสายฝนปนไปกับทะเลหมอก มีเสียงของละอองฝนกระทบใบไม้ และเสียงนกร้องผสมผสานกันไปอย่างลงตัว เป็นเรื่องความงดงามของธรรมชาติโดยแท้
มีเทือกเขาหิมาลัยอันมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เบื้องหลัง เป็นภาพแห่งมนตราหิมาลัยที่สวยงามมาก
จึงรู้สึกว่า โชคดีได้อาศัยแต้มบุญประกอบ ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภาพของหุบเขาแห่งเทือกเขาหิมาลัย จากหมอกหนาทึบไม่เห็นอะไรเลย มาเป็นภาพหุบเขาที่ชัดเจนมาก ไม่มีหมอกเลย
แล้วทยอยมีทะเลหมอกเกิดการก่อตัวขึ้นจากหลายจุดของหุบเขาพร้อมกัน
แล้วมารวมเป็นทะเลหมอก บุกจู่โจมเข้าสู่ห้องพักแบบน่าตื่นเต้น
มนตราแห่งหิมาลัย จึงสะกดให้เราต้องตรึงอยู่ที่ระเบียงของโรงแรมดุสิตธานีแห่งนี้นานนับชั่วโมง ด้วยความสนใจ ตื่นเต้น และมีความประทับใจ
มีลักษณะการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นวงจรต่างๆเกิดอย่างรวดเร็วมาก กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา
เราจึงนั่งชมลักษณะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอยู่หลายรอบ จนพอที่จะคลายความตื่นเต้นลงบ้างแล้ว จึงออกมาทานอาหารเช้า ซึ่งก็สายมากทีเดียว เกือบจะเป็นคนสุดท้ายของโรงแรม
อาหารเช้าอยู่ที่ห้องอาหาร “ทาน” อีกอาคารหนึ่ง บรรยากาศดีมาก มีหมอกลอยอ้อยอิ่งข้างข้างห้องอาหาร สักพักหนึ่ง หมอกก็หนาทึบจนมองอะไรไม่เห็น
ต่อมาก็หายไปอีกแล้ว กลับมาเห็นอาคารอื่นๆอย่างชัดเจน
เด็กเด็กออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กับหมอกที่เคลื่อนตัวรวดเร็วที่สนามหญ้าข้างข้างห้องอาหาร
โรงแรมดุสิตธานีหิมาลายันรีสอร์ท ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก สามารถเห็นได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นจากเทือกเขาหิมาลัย และพระอาทิตย์ตกทางด้านล็อบบี้ของโรงแรม
เป็นอีกจุดที่พักที่เราแนะนำ สำหรับผู้ที่สนใจจะซึมซับบรรยากาศของเทือกเขาหิมาลัย ชื่นชมและสัมผัสทะเลหมอกตลอดจนอากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย นับเป็นมนตราแห่งประเทศเนปาล
ท่องเที่ยว
ไลฟ์สไตล์
ข่าวรอบโลก
2 บันทึก
12
5
2
12
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย