Multitasking ไม่ใช่คำตอบ! การจดจ่อกับงาน คือทักษะผู้นำยุคใหม่
ในยุคที่การทำงานไม่เคยหลับใหล ความสามารถในการ "โฟกัส" หรือจดจ่อกับงานจนทำงานเสร็จ! กลายเป็นหนึ่งในทักษะผู้นำที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ขณะที่สมาธิของคนเราสั้นลง แต่ความคาดหวังกลับยิ่งสูงขึ้น ผู้นำจำนวนมากจึงต้องรับมือกับงานหลายด้านในเวลาเดียวกัน
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ เมื่อปี 2022 ระบุว่า พนักงานทั่วไปสลับทำงานไปมาทุกๆ 3 นาที และต้องใช้เวลานานถึง 23 นาทีในการดึงสมาธิกลับมาหลังถูกรบกวน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสลับบริบทและทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) แต่นั่นอาจทำให้การทำงานเชิงลึกและการคิดเชิงกลยุทธ์หายไป
ขณะเดียวกัน ทุกวันนี้หลายองค์กรยังคงให้รางวัลกับคนที่ดูเหมือนจะจัดการทุกอย่างได้พร้อมกัน ทั้งตอบอีเมลกลางที่ประชุม รับโทรศัพท์ขณะเขียนรายงาน หรือสลับประชุม Zoom ติดต่อกันทั้งวันโดยไม่มีเวลาคิดทบทวน แต่การทำแบบนี้กลับสวนทางกับการทำงานของสมอง ที่ต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีคุณภาพ
📌 เมื่อ Multitasking ทำให้สมองล้า และผู้นำหลุดโฟกัส
นักประสาทวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านประสิทธิภาพต่างวิจารณ์มัลติทาสก์มายาวนาน เพราะการสลับงานบ่อยๆ ทำให้เสี่ยงตัดสินใจผิดพลาดมากขึ้น และมีงานวิจัยมากมายเตือนว่า Multitasking แบบที่ต้องสลับไปมาระหว่างงานที่ต้องใช้สมอง (Cognitive switching) ทำให้สมองล้า ประสิทธิภาพลดลง และเกิดข้อผิดพลาดมากขึ้นถึง 40% ตามข้อมูลของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน
ดร.แดเนียล เลวิติน (Daniel Levitin) ผู้เขียนหนังสือ The Organized Mind อธิบายว่า การสลับงานไปมาบ่อยๆ ทำให้สมองใช้พลังงานมากกว่าปกติ เพราะต้องใช้กลูโคสจำนวนมากในการเปลี่ยนโหมดความคิด ส่งผลให้สมองเหนื่อยล้าเร็ว หลุดโฟกัส และตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายโดยเฉพาะในบทบาทของผู้นำ
📌 ทำไม Multitasking ถึงส่งผลเสียต่อภาวะผู้นำ
ผู้นำที่พยายามจัดการหลายอย่างพร้อมกัน มักสูญเสีย "การมีอยู่จริง" (presence) ซึ่งเป็นรากฐานของความไว้วางใจในทีม ดร.ฟรานเซส ฟรี (Frances Fre) จาก Harvard Business School เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้นำดูเหมือนวอกแวก แม้จะกำลังทำงานหนัก ทีมงานก็อาจมองว่าเขาไม่ใส่ใจ หรือไม่เห็นความสำคัญของคนตรงหน้า
สิ่งนี้อาจทำให้การสื่อสารผิดพลาด ความสัมพันธ์ในทีมอ่อนแอลง และขาดเวลาในการคิดเชิงกลยุทธ์
อย่างไรก็ตาม แม้ Multitasking โดยทั่วไปจะมีข้อเสีย แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่การทำงานสองอย่างพร้อมกันสามารถใช้ได้จริง หากจัดการอย่างตั้งใจและเหมาะสมกับธรรมชาติของงาน เช่น
1. จับคู่กิจกรรมที่ใช้สมองต่างกัน: ฟังพอดแคสต์ระหว่างจัดแฟ้ม หรือเดินประชุม ช่วยเพิ่มพลังใจโดยไม่รบกวนโฟกัส
2. ทำสิ่งที่ฝึกมาจนเป็นอัตโนมัติคู่กับงานหลัก: อย่างการจดโน้ตขณะคุยโทรศัพท์ ซึ่งไม่รบกวนสมาธิเพราะเป็นทักษะที่คุ้นเคยแล้ว
กรณีนี้มักเรียกว่า “dual-task processing” ซึ่งต่างจาก Multitasking ที่มั่วซั่วและสร้างภาระให้สมอง
📌 ผู้นำควรตั้งขอบเขตเพื่อปกป้องโฟกัสของตัวเอง
หลายองค์กรชื่นชมคนที่ทำงานได้คล่องตัว ตอบกลับรวดเร็ว ทำได้ทุกอย่างพร้อมกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง "สตีเฟน ไวท์" (Stephen White) จาก Center for BrainHealth มองต่างออกไป เขาเชื่อว่าผู้นำควรสร้างพื้นที่เพื่อการคิด ไม่ใช่แค่ทำ โดยแนะนำให้ผู้นำฝึกทักษะการโฟกัสให้ดีขึ้น ดังนี้
1. จัดสรรเวลาสำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูงโดยเฉพาะ
2. สนับสนุนการสื่อสารแบบไม่ต้องตอบทันที (asynchronous)
3. ลดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น
4. จำกัดจำนวนการประชุมให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
นอกจากนี้ ผู้นำควรเน้นแนวคิดการทำงานที่ว่า “ไม่ใช่แค่ทำงานได้เยอะ แต่ต้องทำงานได้อย่างมีสติ”
การบริหารหลายหน้าที่ในเวลาเดียวกันอาจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้นำยุคนี้ แต่จุดต่างอยู่ที่ว่า ผู้นำรู้จักใช้ Multitasking อย่างมีเป้าหมาย หรือเพียงแค่ตอบสนองตามแรงกระตุ้น อีกทั้งการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรรวมงานเข้าด้วยกัน เมื่อไหร่ควรแยก และเมื่อไหร่ควรหยุดทุกอย่างเพื่อใส่ใจทีทมงานให้เต็มที่ เหล่านี้ก็คือ ทักษะสำคัญที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมีเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปคือ Multitasking ไม่ผิด…ถ้าคุณควบคุมมันได้อย่างดี ไม่ใช่ปล่อยให้มันควบคุมคุณ บางครั้งการทำหลายอย่างพร้อมกันก็ไม่ใช่ผู้ร้ายต่อประสิทธิภาพงานเสมอไป แต่อยู่ที่ผู้นำจะเลือกใช้มันอย่างมีสติหรือไม่ต่างหาก
การสร้างวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับ "สมาธิ" มากกว่า "ความพร้อมตลอดเวลา" คือสิ่งที่จะช่วยให้ทีมงานเติบโต แข็งแกร่ง และมีผลงานที่ยั่งยืนมากกว่าแค่การวิ่งตามความเร่งรีบในแต่ละวัน
- 5
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
