เมื่อวาน เวลา 07:04 • ธุรกิจ

อาณาจักร ‘รวยไม่หยุด’ ปีนี้มีทั้งหมด 18 แบรนด์เน้นขายแมส ราคาไม่แพง

ถึงคราวเจ้าแม่อาหารเกาหลีปรับทัพครั้งใหม่! เครือร้านอาหาร “รวยไม่หยุด” เร่งเสริมพอร์ตอาหารไทยราคาไม่แรง เผย ปีนี้เศรษฐกิจทรุดหนัก-กำลังซื้อลด-เงินในกระเป๋าลูกค้าหาย ใช้วิธีเปิดแบรนด์ใหม่สู้ศึก มั่นใจปีนี้รายได้ทะลุพันล้านหลังสยายปีกครบ 18 แบรนด์ในเครือ
เกือบ 10 ปีที่แล้ว ปิ้งย่างเกาหลียังไม่ใช่อาหารที่หาทานได้ทั่วไปตามท้องตลาด มีเพียงเชนใหญ่ไม่กี่แห่งยึดครองมาร์เก็ตแชร์ แต่ถัดจากนั้นอีก 2 ปีให้หลังก็มี “nice 2 Meat u” แฟรนไชส์น้องใหม่ส่งตรงจากเกาหลีเข้ามาบุกเมืองไทย ปักหมุดใจกลางสยามสแควร์ซอย 3 โดดเด่นด้วยเนื้อชิ้นโตๆ พร้อมกับแบรนดิ้งที่ดูสดใหม่ไม่เหมือนใคร
ใช้เวลาเพียงไม่นาน “nice 2 Meat u” ได้รับการบอกต่อปากต่อปาก จนกลายเป็นร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ขยายสาขาออกไปแล้ว 14 แห่ง พร้อมกับเติมแบรนด์อื่นๆ เข้ามาในพอร์ตโฟลิโออีกมากมาย นับจนถึงตอนนี้อาณาจักร “รวยไม่หยุด” บริษัทแม่ปิ้งย่าง nice 2 Meat u ของ “เกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร” และ “แนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์” มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 10 แบรนด์ พร้อมกับเป้าหมายเปิดเพิ่มอีก 8 แบรนด์ เท่ากับว่า ปีนี้เราจะได้เห็นเครือรวยไม่หยุดกรุ๊ปมีร้านอาหารในพอร์ตมากถึง 18 แบรนด์
1
จากจุดเริ่มต้นที่ “เกศ” ได้เจอกับ “แนท” ในคอร์สเรียน สู่วันที่ร่วมหัวจมท้ายในฐานะพาร์ทเนอร์ธุรกิจ จากเป้าหมายเดิมกับการเป็นที่สุดของร้านอาหารเกาหลี มาวันนี้ทั้งคู่ต้องปรับตัว และไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิมอีกต่อไป “เกศ” บอกว่า ด้วยจำนวนคู่แข่งร้านปิ้งย่างเกาหลีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป เงินในกระเป๋าผู้บริโภคที่น้อยลง และความมาไวไปไวของเทรนด์การกิน
หลังจากนี้ “รวยไม่หยุด” ไม่ได้ต้องการเป็นเบอร์ 1 ร้านอาหารเกาหลีอีกแล้ว ขอมุ่งหน้าสู่การเปิดร้านอาหารเอเชียนในราคาจับต้องได้มากขึ้น ตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ บะหมี่ป๊อกป๊อก ไปจนถึงข้าวแกงที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 29 บาทเท่านั้น
1
ความสำเร็จของ “nice two Meat u”ทำให้ “เกศ” เคยตั้งเป้าอยากเป็นเบอร์ 1 ร้านอาหารเกาหลีในไทย ทว่า ปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว แทนที่จะขยายสาขาจากร้านเดิมมากขึ้น กลยุทธ์ของเครือรวยไม่หยุดปีนี้ คือการสร้างแบรนด์เพิ่มอีก 8 แบรนด์ มีร้านพรีเมียมในหมวดปิ้งย่างเกาหลี 2 แห่ง ได้แก่ “Cheongdam” และ “Hannam”
และอีก 6 แบรนด์ที่เหลือทำขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มแมสโดยเฉพาะ ตั้งแต่ “เกศเตี๋ยวป๊อกป๊อก & ต้มยำ” ร้านบะหมี่ป๊อกป๊อกย้อนวัย “ข้าวแกง & ปลาทู” ร้านข้าวราดแกง ราคาเริ่มต้น 29 บาท “Standard Bun” ร้านขนมปังเกาหลี “Chago” คาเฟ่ร้านชา “Daelim Korean Noodle” ร้านบะหมี่เกาหลี และร้านซูชิ-อิซากายะ ทั้งหมดนี้ประเมินว่า ใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท
1
“เกศ” ฉายภาพสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังว่า เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจตกต่ำมาพักใหญ่โดยเฉพาะ 2-3 ปีหลังมานี้ วัดได้จากทราฟิกในห้างที่ลดลง คนส่วนใหญ่เลือกออกมาเดินห้างแค่เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดยาวเท่านั้น จำนวนการใช้จ่ายต่อหัวและต่อบิลก็ลดลงด้วย บางส่วนใช้จ่ายไปกับเทรนด์แฟชั่นมากกว่าจะทุ่มให้กับค่าอาหารในแต่ละวัน
แม้ร้านอาหารในพอร์ต “รวยไม่หยุด” จะจับกลุ่ม “Medium to high” แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่กลุ่มระดับบนก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว ทางรอดของธุรกิจร้านอาหารหลังจากนี้ คือการบุกตลาดแมส ขายของที่กินได้ทุกวัน พิสูจน์จาก “เกศเตี๋ยว” ที่คืนทุนได้ภายในเวลาเพียง 3 เดือน แถมยังมีลูกค้าแวะเวียนมาครบทุกกลุ่ม
จากตอนแรกที่คาดการณ์ไว้ว่า “เกศเตี๋ยว” น่าจะถูกใจนักเรียนนักศึกษาและกลุ่มแมสเท่านั้น กลายเป็นว่า ตอนนี้มีลูกค้าครบทุกกลุ่ม ตั้งแต่ตลาดบน กลุ่มแมส คนทำงานออฟฟิศ นักเรียน ไปจนถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีให้เห็นทุกวัน จนถึงตอนนี้ “แนท” บอกว่า รายได้สะสมของ “เกศเตี๋ยว” อยู่ที่ 30 ล้านบาท เกินกว่าที่คาดไว้มากๆ ขึ้นแท่น Top 3 แบรนด์ทำเงินในเครือไปเรียบร้อย
เมื่อถามว่า ร้านจะสูญเสียจุดยืนเรื่องความพรีเมียมไปหรือไม่หลังจากหันมาจับตลาดแมสมากขึ้น “เกศ” และ “แนท” ไม่ได้มองเช่นนั้น คิดว่า เป็นการปรับพอร์ตให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจมากกว่า ด้วยเศรษฐกิจและทิศทางแบบนี้แบรนด์ต้องทำอาหารที่คนจับต้องได้ ต้องปรับตัว ฝืนเสริมพอร์ตอาหารเกาหลีเข้ามามากๆ ไม่ได้แล้ว ต้องดูเทรนด์และหาสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการมาอุดช่องโหว่ให้ได้
“คนไทยอยากลองอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ขี้เบื่อมากขึ้น ร้านที่อยู่ได้ระยะยาวต้องมีคุณภาพจริงๆ หลายร้านที่เปิดมา 3-4 เดือน พอกระแสหายก็เริ่มไปหมด ดูจากเทรนด์ที่เกาหลีจะเห็นเลยว่า ธุรกิจร้านอาหารเป็นฟาสต์แฟชั่นมากๆ ไม่มีร้านไหนทำเกิน 1-2 สาขา ส่วนใหญ่มีสาขาเดียว ตอนนี้ประเทศไทยใกล้จะเป็นแบบนั้น เราเลยไม่เน้นขยายสาขาเยอะๆ ในแบรนด์เดิม เพราะอาจจะทำให้เขารู้สึกว่า เข้าถึงง่าย กินเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องกินวันนี้ก็ได้ไม่เป็นไร เราอยากทำอะไรใหม่ๆ แล้วให้ลูกค้ามาหามากกว่า อาจจะมีแค่ 1-2 แห่ง ให้เขาตั้งใจมากิน”
สำหรับผลประกอบการทั้งเครือปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 770 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าคาดการณ์ นอกจากสาเหตุหลักจะมาจากกำลังซื้อที่ลดลง “แนท” ยังเปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า ปีที่แล้วมีการเปิดสาขาใหม่ตามห้างแถวชานเมืองค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็พบว่า ผลตอบรับไม่เป็นไปตามคาด กลุ่มลูกค้าไม่แมตช์กับแบรนด์ หลังจากนี้การเปิดสาขาใหม่ๆ ต้องดูจังหวะเวลาที่ใช่ ไม่ด่วนตัดสินใจเร็ว คิดว่า หลักๆ ร้านในเครือยังต้องเจาะกลุ่มคนเมือง
อ่านต่อ:
โฆษณา