ลิเกของไทย และ Dikir Barat ของมาเลเซียและภาคใต้ของไทย ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นคนละเรื่องกันคนละทาง แต่เมื่อเราย้อนรอยกลับไปยังแหลมมลายู จุดเริ่มต้นของทั้งสองคือเสียงเดียวกัน เสียงแห่งศรัทธาที่กลายมาเป็นศิลปะแห่งชุมชน
#จุดกำเนิด: จากพิธีสวดศาสนาอิสลามสู่การแสดง
ต้นทางของทั้งลิเกและ Dikir Barat คือคำว่า "Zikir" ในภาษาอาหรับ หมายถึงการสวดสรรเสริญพระอัลลอฮ์ พิธีกรรมนี้แพร่หลายจากตะวันออกกลาง ผ่านเปอร์เซีย สู่หมู่เกาะอินโดนีเซีย และคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะในยุคอาณาจักรมะละกา (คริสต์ศตวรรษที่ 15) ที่ศาสนาอิสลามแผ่ขยายอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อ Zikir เข้าสู่พื้นที่มลายู เสียงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็น "Dikir" หรือ "Djiké" พร้อมเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างรำมะนา การสวดเหล่านี้บางครั้งจัดเป็นกลุ่ม มีการขับกลอน ใช้จังหวะเป็นหลัก กลายเป็นรากของ Dikir Barat และเป็นต้นเค้าของ “ยี่เก” ซึ่งต่อมากลายเป็น “ลิเก”
รูปแบบที่โดดเด่นในลิเกยุคดั้งเดิมคือ “การออกแขก” การแสดงเบิกโรงที่ผู้แสดงแต่งชุดมุสลิม ใช้รำมะนา และบางครั้งมีล่ามแปลภาษาสร้างความขบขัน ซึ่งเป็นพยานยืนยันถึงต้นตอของลิเกจาก Dikir
#Dikir Barat: เสียงที่กลั่นจากชุมชน
Dikir Barat ถือกำเนิดในรัฐกลันตันและปัตตานี พื้นที่ชายแดนที่ผสานวัฒนธรรมมลายู-ไทยมายาวนาน การแสดงนี้ใช้โครงสร้างกลุ่ม ผู้เล่นหลักได้แก่ Tukang Karut (ผู้เปิดกลอน), Tok Juara (ผู้ตอบกลอน), และกลุ่ม Awok-Awok ที่ร้องประสานเสียง Dikir Barat โดดเด่นด้วย กลอนสด จังหวะรำมะนา และเนื้อหาที่ทั้งสนุกและสอนใจ
ในยุคอาณานิคมอังกฤษ Dikir Barat กลายเป็นเครื่องมือแสดงออกของชาวบ้าน ทั้งสะท้อนปัญหาสังคม การเมือง และวัฒนธรรมท้องถิ่น จนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีการปรับให้ร่วมสมัยด้วยเครื่องเสียงหรือท่าเต้นใหม่ๆ แต่หัวใจเดิมของ Dikir กลอนและเสียงผสาน ยังคงเด่นชัด
กลอนและปันตุน: การด้นสดที่ปรากฏทั้งในลิเกออกภาษา และ Dikir Barat
การออกแขก: การเบิกโรงของลิเกที่จำลองแบบจากพิธี Dikir โดยตรง
#วิวัฒนาการแยกทาง แต่ยังเห็นเงากันและกัน
แม้ทั้งลิเกและ Dikir Barat จะเติบโตไปในทิศทางต่างกัน ลิเกกลายเป็นละครพื้นบ้านที่ใช้ปี่พาทย์ ท่ารำ และชุดวิจิตร ส่วน Dikir ยังคงรูปแบบกลุ่ม เน้นเนื้อหาสะท้อนชีวิต แต่สายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์จากแหลมมลายูก็ยังปรากฏชัดในโครงสร้าง เสียง และจิตวิญญาณของการแสดงทั้งสอง