11 พ.ค. เวลา 11:27 • ประวัติศาสตร์

จาก Dikir สู่ลิเก​ : เสียงสะท้อนจากแหลมมลายูสู่เวทีไทย

ศิลปะพื้นบ้านไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างลอยๆ หากแต่มันคือผลลัพธ์ของการเดินทาง — ทั้งของผู้คน วัฒนธรรม และศรัทธา
ลิเกของไทย และ Dikir Barat ของมาเลเซียและภาคใต้ของไทย ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นคนละเรื่องกันคนละทาง แต่เมื่อเราย้อนรอยกลับไปยังแหลมมลายู จุดเริ่มต้นของทั้งสองคือเสียงเดียวกัน เสียงแห่งศรัทธาที่กลายมาเป็นศิลปะแห่งชุมชน
#จุดกำเนิด: จากพิธีสวดศาสนาอิสลามสู่การแสดง
ต้นทางของทั้งลิเกและ Dikir Barat คือคำว่า "Zikir" ในภาษาอาหรับ หมายถึงการสวดสรรเสริญพระอัลลอฮ์ พิธีกรรมนี้แพร่หลายจากตะวันออกกลาง ผ่านเปอร์เซีย สู่หมู่เกาะอินโดนีเซีย และคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะในยุคอาณาจักรมะละกา (คริสต์ศตวรรษที่ 15) ที่ศาสนาอิสลามแผ่ขยายอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อ Zikir เข้าสู่พื้นที่มลายู เสียงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็น "Dikir" หรือ "Djiké" พร้อมเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างรำมะนา การสวดเหล่านี้บางครั้งจัดเป็นกลุ่ม มีการขับกลอน ใช้จังหวะเป็นหลัก กลายเป็นรากของ Dikir Barat และเป็นต้นเค้าของ “ยี่เก” ซึ่งต่อมากลายเป็น “ลิเก”
#ลิเก: เมื่อพิธีกรรมกลายเป็นศิลปะพื้นบ้านไทย
ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมจากเปอร์เซีย อินเดีย และแหลมมลายูอพยพเข้าสู่ในบริเวณกรุงเทพฯ และนนทบุรีในปัจจุบัน พร้อมนำรูปแบบการสวด Zikir เข้ามาด้วย พิธีกรรมนี้ในสำเนียงไทยกลายเป็นคำว่า “ยี่เก” และต่อมาเพี้ยนเป็น “ลิเก”
หลักฐานสำคัญคือใน สมัยรัชกาลที่ 5 (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19) ชาวมุสลิมในกรุงเทพฯ แสดงลิเกถวายพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ โดยใช้รำมะนาและบทสวดอิสลาม นั่นคือรูปแบบลิเกยุคแรก หรือ “ลิเกบันตน” ซึ่งยังคงความเป็นมลายู-มุสลิมอย่างชัดเจน ใช้บทเพลงปันตุน (pantun) และการร้องกลอนออกภาษา
รูปแบบที่โดดเด่นในลิเกยุคดั้งเดิมคือ “การออกแขก” การแสดงเบิกโรงที่ผู้แสดงแต่งชุดมุสลิม ใช้รำมะนา และบางครั้งมีล่ามแปลภาษาสร้างความขบขัน ซึ่งเป็นพยานยืนยันถึงต้นตอของลิเกจาก Dikir
#Dikir Barat: เสียงที่กลั่นจากชุมชน
Dikir Barat ถือกำเนิดในรัฐกลันตันและปัตตานี พื้นที่ชายแดนที่ผสานวัฒนธรรมมลายู-ไทยมายาวนาน การแสดงนี้ใช้โครงสร้างกลุ่ม ผู้เล่นหลักได้แก่ Tukang Karut (ผู้เปิดกลอน), Tok Juara (ผู้ตอบกลอน), และกลุ่ม Awok-Awok ที่ร้องประสานเสียง Dikir Barat โดดเด่นด้วย กลอนสด จังหวะรำมะนา และเนื้อหาที่ทั้งสนุกและสอนใจ
ในยุคอาณานิคมอังกฤษ Dikir Barat กลายเป็นเครื่องมือแสดงออกของชาวบ้าน ทั้งสะท้อนปัญหาสังคม การเมือง และวัฒนธรรมท้องถิ่น จนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีการปรับให้ร่วมสมัยด้วยเครื่องเสียงหรือท่าเต้นใหม่ๆ แต่หัวใจเดิมของ Dikir กลอนและเสียงผสาน ยังคงเด่นชัด
#เส้นเชื่อมสำคัญ: ศิลปะที่มีรากเดียวกัน
รากศัพท์ร่วมกัน: ทั้ง "ลิเก" และ "Dikir" มาจากคำว่า Zikir
เสียงรำมะนา: เครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลาม กลายเป็นเครื่องประกอบหลักของทั้งสองการแสดง
กลอนและปันตุน: การด้นสดที่ปรากฏทั้งในลิเกออกภาษา และ Dikir Barat
การออกแขก: การเบิกโรงของลิเกที่จำลองแบบจากพิธี Dikir โดยตรง
#วิวัฒนาการแยกทาง แต่ยังเห็นเงากันและกัน
แม้ทั้งลิเกและ Dikir Barat จะเติบโตไปในทิศทางต่างกัน ลิเกกลายเป็นละครพื้นบ้านที่ใช้ปี่พาทย์ ท่ารำ และชุดวิจิตร ส่วน Dikir ยังคงรูปแบบกลุ่ม เน้นเนื้อหาสะท้อนชีวิต แต่สายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์จากแหลมมลายูก็ยังปรากฏชัดในโครงสร้าง เสียง และจิตวิญญาณของการแสดงทั้งสอง
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมองกลับไปยังจุดเริ่มต้นของศิลปะเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจตัวมันมากขึ้น แต่ยังทำให้เราเห็นว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่ได้แยกเราออกจากกัน หากแต่เชื่อมโยงเราผ่านเสียงเดียวกัน เสียงของศรัทธาและการเล่าเรื่อง
โฆษณา