At the U.N., mining groups tout protections for Indigenous peoples
🪨✨ เนื้อหาสรุปโดยละเอียด
🔻 จุดเริ่มต้นของข้อขัดแย้ง
กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้อนุมัติโครงการเหมืองทองแดงขนาดใหญ่ในรัฐแอริโซนา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนพื้นเมืองเผ่าอาปาเช่ (San Carlos Apache) ที่รู้จักกันในชื่อ Chi’chil Biłdagoteel หรือ Oak Flat ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญด้านจิตวิญญาณและวัฒนธรรม
โครงการนี้ดำเนินการโดย Resolution Copper ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างยักษ์ใหญ่เหมืองแร่ Rio Tinto และ BHP จากออสเตรเลียและอังกฤษ ซึ่งมีประวัติทำลายแหล่งวัฒนธรรมของชาวอะบอริจินในออสเตรเลียมาก่อน
🔻 คำมั่นในเวทีโลก กับความจริงที่สวนทาง
แม้บริษัทเหล่านี้จะปรากฏตัวในเวที UN Permanent Forum on Indigenous Issues เพื่อแสดงจุดยืนว่าเคารพสิทธิชุมชนพื้นเมือง และอ้างว่าดำเนินนโยบาย "ความยินยอมโดยเสรี ล่วงหน้า และมีข้อมูลครบถ้วน (FPIC)" ตามแนวทางของ ICMM (International Council on Mining and Metals) แต่ในความเป็นจริง หลายโครงการกลับไม่ได้รับการยินยอมจากชนพื้นเมืองอย่างแท้จริง
📌 หากไทยต้องการเป็นแหล่งแร่สำรองของ EV และพลังงานสะอาด การมีระบบตรวจสอบสิทธิชนเผ่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติตรวจสอบก่อนลงทุนในอนาคต
📉 ผลกระทบต่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET และ mai)
📌 กลุ่มที่ได้ประโยชน์
แม้ไทยยังไม่มีเหมืองลิเธียมหรือโคบอลต์ขนาดใหญ่ แต่หากรัฐผลักดันนโยบายส่งเสริมแร่หายากหรือแร่สำหรับแบตเตอรี่ หุ้นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่พลังงานสะอาดอาจได้รับความสนใจ เช่น EA และ GPSC ที่มีการลงทุนในโรงงานแบตเตอรี่ STA และ NER ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบยางในภาคยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึง OR และ PTG ที่รุกธุรกิจสถานีชาร์จ EV—แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำเหมือง แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในโฟกัสของนักลงทุนที่จับตาโอกาสเติบโตจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด