11 พ.ค. เวลา 14:55 • ข่าวรอบโลก

996 ถึงทางตัน? เมื่อ 'มังกร Gen Z' คำรามหา Work-Life Balance เขย่าวัฒนธรรมทำงานจีน 🇨🇳⚖️🧘

"996" ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ "รหัสลับ" ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความทะเยอทะยานและ "เครื่องยนต์" ขับเคลื่อนความสำเร็จอันน่าทึ่งของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเศรษฐกิจจีนในภาพรวม
"996" หมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม (9 PM) เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ รวมแล้วคือการตรากตรำทำงานหนักถึง 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์!
หลายคนคงเคยทึ่งปนสงสัยใช่ไหมครับว่า ทำไมเศรษฐกิจและนวัตกรรมของจีนถึง "ก้าวกระโดด" พัฒนาไปได้ไวดุจจรวดในหลายๆ ด้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา? หนึ่งในคำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ "ความทุ่มเทแบบสุดขั้ว" หรือ "การทำงานถวายชีวิต" ของพนักงานในยุคหนึ่ง ที่ยอมสละ "เวลาส่วนตัว" และ "สุขภาพ" เพื่อแลกกับ "ความก้าวหน้า" ขององค์กรและประเทศชาติ
72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์! โอ้โห...แค่ได้ยินตัวเลขก็รู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูก "ดูด" ไปครึ่งหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ? ใครที่บ่นว่าทำงานหนักในบ้านเรา ลองเทียบกับวัฒนธรรม 996 ดู อาจจะรู้สึกว่าชีวิตการทำงานของเรามัน "สบาย" ขึ้นมาทันทีเลยก็ได้นะ
แต่วัฒนธรรมที่เคยเป็นเหมือน "สูตรสำเร็จ" นี้ กำลังเผชิญกับ "แรงสั่นสะเทือน" ครั้งใหญ่ครับ เมื่อ "ค่านิยม" ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ "มังกร Gen Z" (และ Gen Z ปลายๆ) เริ่มส่งเสียงคำราม แสดงความไม่เห็นด้วย และโหยหา "ชีวิตที่สมดุล" มากขึ้น
ผมจะขอพาทุกท่านไปสำรวจปรากฏการณ์ "996 ถึงทางตัน?" และผลกระทบที่กำลังเขย่ารากฐานวัฒนธรรมการทำงานในจีน (ซึ่งอาจจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับพวกเราในประเทศอื่นๆ ด้วยครับ)
====
💸 "ความสำเร็จที่ต้องจ่ายแพง": บาดแผลจากยุค 996 ที่ (เคย) ถูกมองข้าม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวัฒนธรรม 996 มีส่วนอย่างมากในการ "ปั้น" บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนหลายแห่งให้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลก และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง แต่ "ทุกความสำเร็จย่อมมีต้นทุนที่ต้องจ่าย" และต้นทุนของ 996 นั้นก็ "หนักหนา" เอาการครับ
* สุขภาพกายและใจที่โรยรา: การทำงานหนักต่อเนื่องยาวนาน ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งความเหนื่อยล้าสะสม, การพักผ่อนไม่เพียงพอ, และความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ นอกจากนี้ สุขภาพจิตก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกละเลย ทั้งภาวะหมดไฟ (Burnout), ความเครียดระดับสูง, และการขาดสมดุลในชีวิตอย่างรุนแรง
* แรงกดดันทางสังคมและความคาดหวังที่บิดเบี้ยว: ในยุคที่ 996 รุ่งเรือง มันได้สร้าง "บรรทัดฐาน" และ "แรงกดดัน" ในสังคมการทำงาน ที่มองว่าการอุทิศตนให้กับงานคือ "ความดีงาม" การเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงาน หรือความกลัวที่จะ "น้อยหน้า" ยิ่งผลักดันให้หลายคนต้องกระโจนเข้าสู่วังวนนี้
* คำถามถึง "คุณค่าของชีวิต" ที่มากกว่างาน: เมื่อความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนอง คนรุ่นใหม่ (ที่อาจจะไม่ได้เผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจเท่าคนรุ่นพ่อแม่) ก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นว่า "ชีวิตที่ดีคืออะไร?" ความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียตัวตน, เวลาส่วนตัว, สุขภาพ, และความสัมพันธ์...มัน "คุ้มค่า" จริงหรือ?
====
🌊 "คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง": เมื่อ "มังกร Gen Z" ปฏิเสธการ "ถวายชีวิต" ให้กับงาน
"กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง"ฉันใด "ค่านิยมของคน" ก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยฉันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ "คนรุ่นใหม่" ของจีน กลุ่ม Gen Z และ Gen Z ปลายๆ ที่เติบโตมาในยุคที่จีนเชื่อมต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น ได้รับอิทธิพลจาก "วัฒนธรรมและแนวคิดจากโลกตะวันตก" อย่างต่อเนื่อง
* "Work-Life Balance" ไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่คือ "สิ่งที่โหยหา": แนวคิดเรื่อง "ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว" ได้กลายเป็น "กระแสหลัก" ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ
* พวกเขามองว่า "ความสุขส่วนตัว", "สุขภาพที่ดี", "เวลาสำหรับครอบครัวและเพื่อนฝูง", และ "การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก" เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของ "ชีวิตที่สมบูรณ์" ไม่น้อยไปกว่าความสำเร็จในหน้าที่การงาน
* เสียงสะท้อนจาก "กรณี Baidu" และแรงต้านในโลกออนไลน์: เหตุการณ์ที่ตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ กรณีที่เกิดขึ้นกับ Baidu บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เมื่อช่วงปี 2023-2024 ก็เกิดกรณีวิพากย์วิจารณ์ในสังคมจีน
* เมื่อผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง (Qu Jing, อดีตหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์) ได้แสดงความคิดเห็นผ่านวิดีโอที่สนับสนุนวัฒนธรรมการทำงานหนักแบบสุดขั้ว และดูเหมือนจะ "ไม่แคร์" ความรู้สึกหรือชีวิตส่วนตัวของพนักงาน
* เช่น การบอกว่า "ฉันไม่ใช่แม่ของเธอ" กับพนักงานที่ปฏิเสธการเดินทางไปทำงานด่วนเพราะเรื่องครอบครัว หรือการพูดถึงความคาดหวังให้พนักงานพร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
* คำพูดเหล่านี้ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลมีเดียของจีน ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แสดงความไม่พอใจและมองว่าทัศนคติเช่นนี้มัน "ล้าสมัย" และ "ไม่เคารพความเป็นมนุษย์"
* จนท้ายที่สุดผู้บริหารท่านนั้นก็ต้องออกจากบริษัทไป เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า "บรรทัดฐานเดิม" เรื่องการทำงานหนักแบบ 996 กำลังถูก "ท้าทาย" อย่างรุนแรง และ "เสียงของคนรุ่นใหม่" ก็ดังพอที่จะสร้างแรงกดดันให้องค์กรต้องรับฟัง
* ปรากฏการณ์ "Tang Ping" และ "Bai Lan" สัญญาณแห่งความเบื่อหน่าย: ก่อนหน้านี้ เราก็ได้เห็นปรากฏการณ์ทางสังคมในจีน เช่น
* กระแส "Tang Ping" (躺平 - นอนราบ คือการไม่ดิ้นรน ไม่แข่งขัน ทำงานเท่าที่จำเป็น)
* หรือ "Bai Lan" (摆烂 - ปล่อยให้เน่า/ไม่แคร์แล้ว คือการยอมแพ้ต่อแรงกดดันและไม่พยายามอีกต่อไป)
* ซึ่งแม้จะเป็นการแสดงออกของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็สะท้อนถึงความรู้สึก "เหนื่อยล้า", "ท้อแท้", และ "การตั้งคำถาม" ต่อวัฒนธรรมการแข่งขันที่ดุเดือดและการทำงานหนักเกินพอดีในสังคมจีนได้อย่างชัดเจน
====
🏢 องค์กรจีนเริ่ม "ฟัง" หรือยัง? อนาคตการทำงานที่ (อาจจะ) ไม่เหมือนเดิม
การเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและ "เสียงเรียกร้อง" ของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อ "องค์กร" และ "ตลาดแรงงาน" ในจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
* โจทย์ใหญ่ในการ "ดึงดูด" และ "รั้ง" คนเก่งรุ่นใหม่ (Talent War)
* องค์กรที่ยังคง "ยึดมั่น" กับวัฒนธรรม 996 โดยไม่ปรับตัว อาจจะเริ่มเจอปัญหาในการ "หาคน" โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน
* หรือที่ยากกว่านั้นคือการ "รักษา" พวกเขาให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว เพราะพวกเขามี "ทางเลือก" มากขึ้น และ "กล้า" ที่จะเลือกนายจ้างที่ให้ความสำคัญกับ "คุณภาพชีวิต" ของพวกเขา
* สัญญาณ "การปรับตัว" ขององค์กร (แม้จะยังไม่ทั่วถึง)
* มีรายงานว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนบางแห่ง เริ่มมีการ "ทบทวน" หรือ "ปรับลด" ชั่วโมงการทำงานลงบ้าง
* หรือพยายามนำเสนอ "ความยืดหยุ่น" ในการทำงานมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของพนักงาน (แม้ว่าในทางปฏิบัติจริงจังแค่ไหน และครอบคลุมเพียงใด ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป)
* มุ่งสู่ "Productivity" ที่ไม่ได้วัดแค่ "ชั่วโมง" แต่เน้น "ผลลัพธ์"
* องค์กรที่มองการณ์ไกลเริ่มให้ความสำคัญกับการทำงานอย่าง "ชาญฉลาด (Work Smart)" และ "มีประสิทธิภาพ (Effective)" มากขึ้น
* เช่น การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยลดงานรูทีน, การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ลีนและคล่องตัว, และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พนักงานสามารถ "ปลดปล่อยศักยภาพ" และสร้างผลงานที่มีคุณภาพได้โดยไม่จำเป็นต้อง "สังเวย" ชีวิตส่วนตัว
* "บทเรียนข้ามพรมแดน" สำหรับทุกองค์กรทั่วโลก
* ปรากฏการณ์ "996 ถึงทางแยก?" ที่กำลังเกิดขึ้นในจีนนี้ เป็นเหมือน "กรณีศึกษาที่มีชีวิต" ที่สะท้อนให้ประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยของเรา ได้เห็นถึง "พลวัต" ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมการทำงานครับ ในวันที่ "คนรุ่นใหม่" ก้าวเข้ามาเป็น "กำลังหลัก" ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม
* องค์กรใดที่ไม่สามารถ "ปรับตัว" ให้เข้ากับ "ค่านิยม" และ "ความคาดหวัง" ใหม่ๆ เหล่านี้ได้ ก็อาจจะ "เสียโอกาส" หรือ "สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน" ในการดึงดูดและรักษา "คนที่มีคุณภาพ" ไปในที่สุด
====
🧘 ดังนั้น "ความสมดุล" คือเข็มทิศใหม่ของอนาคตการทำงานสำหรับคน GenZ ทั่วโลก
วัฒนธรรมการทำงานแบบ "996" ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น "สัญลักษณ์" ของความทะเยอทะยานและการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจจีนนั้น กำลังเผชิญกับ "จุดเปลี่ยน" และ "ความท้าทาย" ครั้งสำคัญอย่างแท้จริงครับ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมของ "คนรุ่นใหม่" ที่เริ่มให้ความสำคัญกับ "คุณภาพชีวิต", "ความสุขที่จับต้องได้", และ "ความสมดุล" ระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของการ "ตัดสินว่าแนวคิดไหนถูกหรือผิด" นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความทุ่มเททำงานหนักของคนในรุ่นก่อนเพื่อสร้างชาติและสร้างอนาคต หรือความปรารถนาของคนรุ่นใหม่ในวันนี้ที่โหยหา Work-Life Balance และความหมายของชีวิตที่มากกว่าแค่เรื่องงาน แต่มันคือ "วิวัฒนาการ (Evolution)" ของสังคมและค่านิยม ที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย, บริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป, และอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทั่วโลกที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น
ความท้าทายที่แท้จริงของ "องค์กร" และ "ผู้นำ" ในศตวรรษที่ 21 นี้ จึงไม่ใช่การพยายาม "บังคับ" หรือ "ยัดเยียด" ให้ทุกคนต้องคิดเหมือนกัน หรือทำงานในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด แต่คือการ
* "เปิดใจรับฟัง"
* "ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง" และ "ร่วมกันค้นหาจุดสมดุล" ที่จะทำให้ทั้ง "คนทำงาน" (ไม่ว่าจะเป็น Gen ไหนก็ตาม)
* และ "องค์กร" สามารถ "เติบโต", "สร้างสรรค์", และ "ประสบความสำเร็จ" ไปพร้อมกันได้อย่าง "มีความสุข" และ "ยั่งยืน" ในระยะยาว
"ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนในโลกยุคใหม่ อาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นจาก 'การอดนอน' หรือ 'การสละชีวิตส่วนตัว' เสมอไป...
บางที 'การทำงานอย่างมีความสุข มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีสมดุลที่ดี' ต่างหาก ที่จะจุดประกาย 'ความคิดสร้างสรรค์', 'นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง', และ 'ความผูกพันที่แท้จริง' ของคนในองค์กร"
ยุคสมัยของ "996 ทำงานเกินร้อย" อาจจะกำลังค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา แต่ "จิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่น" ที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าให้กับตัวเอง, องค์กร, และสังคม ควรจะยังคงเป็น "พลังขับเคลื่อน" ที่สำคัญ...
เพียงแต่เราอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะ "ปลดปล่อยศักยภาพ" นั้นออกมาในรูปแบบที่ "เคารพความเป็นมนุษย์", "ให้คุณค่ากับชีวิตในทุกมิติ", และ "สร้างความยั่งยืนให้กับทุกสิ่ง" มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเองครับ
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#วัฒนธรรม996
#WorkLifeBalance
#GenZatWork
#FutureofWork
โฆษณา