12 พ.ค. เวลา 07:35 • ศิลปะ & ออกแบบ

ภูมิปัญญาไพหญ้าคา: สู่ระบบเปลี่ยนหลังคาเถียงนา 3 โซน

เรื่อง: แตงโม สกลนคร
บ้านนาในทรงจำเมื่อ 30 กว่าปี
สวัสดีครับทุกคน พบกับผม แตงโม สกลนคร บทความนี้เราจะมาขุดคุ้ยเรื่องราวจากผืนดิน สู่ภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษ วันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปสัมผัสวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น เรื่องราวของ "วิศวกรรมหญ้าคาฉบับชาวนา" ครับ
ใครที่เติบโตมากับบ้านหลังคามุงหญ้า... อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า "เถียงนา" หรือเป็นบ้านหลังแรกในชีวิตของใครบางคน หนึ่งในนั้นคือผมเอง มีภาพความทรงจำวัยเด็กของผม มันผูกพันอยู่กับกลิ่นดิน กลิ่นฝน และกลิ่นหญ้าคา
ถามว่าตอนนั้นลำบากไหม... ในความทรงจำของเด็กชายอย่างผม มันไม่ได้มีความรู้สึกขัดสนเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะพ่อกับแม่คอยวางแผน จัดการทุกอย่างให้เราพอมีพอกิน มีความมั่นคงทางอาหาร ในยุคนั้นมันอาจจะไม่ได้วัดกันที่เงินในกระเป๋า แต่มันอยู่ที่ข้าวในยุ้ง ปลาในหนอง
ผ่านมาสามสิบกว่าปี... ผมยังคงตั้งคำถามกับตัวเองว่า ชีวิตในอดีตกับปัจจุบัน มันแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นช่วงปี 2540 ที่ร้านค้าเริ่มมีอาหารแห้งมาวางขายอย่างเช่น มาม่า ที่แสนอยากกินจนทรมาน และร้านค้ามันไม่ได้มีให้เห็นดาษดื่นเหมือนวันนี้
ค่าของเงินบาทในความรู้สึกตอนนั้น มันเลยดูเลือนราง... ทำให้เราคุ้นชินกับการอยู่แบบพอเพียง ใกล้หมดก็ค่อยหาใหม่ สไตล์ "Survival Mode" ขนานแท้
"วิศวกรรมหญ้าคาฉบับชาวนา: จากหลังคารั่ว สู่ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน"
เอาล่ะครับ... เข้าเรื่อง "วิศวกรรมหญ้าคา" ของชาวนากันดีกว่า แถวบ้านผมเนี่ย หลังคาเถียงนาก็ใช้วัสดุจากธรรมชาตินี่แหละครับ "ไพหญ้าคา" ปีไหนฝนกระหน่ำ หลังคารั่ว นั่นคือสัญญาณเตือนจากธรรมชาติว่าวัสดุของเรามันเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ถ้ามุงกันแบบหนาแน่นหน่อย ก็พอจะยืดอายุการใช้งานไปได้ 4-5 ปี... แต่ไม่ต้องสงสารกันนะครับ เพราะพ่อผมเนี่ย... เขาคือสุดยอด "วิศวกร" ในการจัดการหลังคาเถียงนา
พ่อจะแบ่งพื้นที่หลังคาออกเป็นโซนๆ ครับ โซนที่เรานอน โซนทำครัว หรือโซนเก็บเครื่องมือการเกษตร ผมว่านี่แหละคือ "นวัตกรรมภูมิปัญญา" ที่ถูกคิดค้นและส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนหลังคาแต่ละครั้ง พ่อจะให้ความสำคัญกับโซนที่นอนก่อนเสมอ จะเอาไพหญ้าคาใหม่ๆ มามุงตรงนั้น แล้วค่อยเอาหญ้าคาเก่าจากโซนที่นอน ไปใช้งานต่อในโซนครัว ส่วนหญ้าคาที่เก่ามากๆ จากโซนครัว... ก็จะถูกนำไปทิ้ง
เหตุผลเบื้องหลังการจัดการแบบนี้ มันอาจจะมาจากการที่เราเก็บเกี่ยวหญ้าคาได้แค่ปีละครั้ง ไอ้สัญญาณ "หลังคารั่ว" เนี่ย มันคือการเตือนล่วงหน้าว่าเราต้องเตรียมวัสดุใหม่แล้วนะ ถ้าไม่อยากจะนอนตากฝนกันทั้งเถียงนาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
Back to Basic: ภูมิปัญญาหญ้าคาสู่สถาปัตยกรรมเถียงนา ที่คุณต้องรู้!
แรงงานครอบครัวเดินเครื่องเริ่มขั้นตอนไพหญ้าคา
พอเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ต้นหญ้าคาที่ขึ้นเองตามไร่นาก็จะแก่เต็มที่พอดี พ่อกับพี่ชายก็จะช่วยกันไปเกี่ยวมากองไว้เป็นจุดๆ ตากแดดให้แห้งสนิทประมาณหนึ่งอาทิตย์ ข้อสำคัญคืออย่าปล่อยไว้นาน เดี๋ยวปลวกจะมากินหมด พอได้ปริมาณที่คาดการณ์ว่าเพียงพอแล้ว ก็จะใช้รถไถนาขนมากองเก็บไว้ใต้ร่มไม้แถวเถียงนา ขั้นตอนต่อไปก็เป็นหน้าที่ของแม่... ค่อยๆ สางหญ้าคาให้เป็นเส้นที่สวยงาม พร้อมสำหรับการใช้งาน
ระหว่างที่แม่สางหญ้าคา พ่อก็จะไปหาไม้มาทำเป็นโครงสำหรับยึดหญ้าคา และที่สำคัญคือการหา "วัสดุยึดเหนี่ยว" แทนเชือก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเครือย่านางที่ขึ้นตามป่าละเมาะ เมื่อวัสดุทุกอย่างพร้อมสรรพ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการสร้าง "เครื่องมือ" หรือ "เทคโนโลยี" แบบบ้านๆ ของเรา เพื่อช่วยในการมัด จับ และเรียงเส้นหญ้าคาแต่ละไพให้มันสวยงามและได้ขนาดเท่ากัน
ก่อนที่จะลงมือ "ผลิต" ไพหญ้าคา พ่อจะกำชับเสมอว่าต้องเอาเครือย่านางไปแช่น้ำให้นิ่มเสียก่อน แล้วก็พรมน้ำที่หญ้าคาให้พอหมาดๆ มันจะช่วยให้ถักง่ายขึ้น และเสร็จเร็ว ขั้นตอนนี้ต้องใช้แรงมือในการมัดให้แน่นที่สุด เพราะถ้าไพไม่ดี... ปีหน้าก็ต้องเจอกับปัญหารั่วซ้ำซาก
ประโยชน์ของไพหญ้าคาในการมุงหลังคา
ในปัจจุบัน... มันคือฉนวนกันความร้อนจากธรรมชาติชั้นดีเลยนะครับ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีความต้องการมากขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะนำไปสร้างกระท่อมเล็กๆ ไว้นั่งเล่นพักผ่อน สร้างอาคารใช้งานชั่วคราวตามริมทาง หรือแม้แต่เป็นส่วนประกอบของงานดีไซน์ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไพหญ้าคาสมัยนี้ราคาสูงขึ้นมาก ตกไพละ 30-40 บาท เนื่องจากแหล่งหญ้าคาตามธรรมชาติมันลดน้อยลง เพราะมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปทำการเกษตรเชิงเดี่ยว แถมคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สืบทอดองค์ความรู้นี้แล้ว เพราะมีวัสดุมุงหลังคาสมัยใหม่เข้ามาทดแทน
เรื่องราวของหญ้าคาและการสร้างเถียงนา อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวของความยากลำบากในอดีต... แต่ในความอดทน ดิ้นรน และการปรับตัวของคนในยุคนั้น มันได้สร้าง "Soft Power" ที่เป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่า...
แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหน แต่การเรียนรู้ที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค... ก็ยังคงเป็น "ทักษะที่ยั่งยืน" ที่เราทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัยครับ.
——-
อ่านบทความต้นฉบับ: https://tangmo-sakon.blogspot.com/2024/03/moskn.html

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา